บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 843: โครงกระดูกวิญญาณร้าย
ตอนที่ 843: โครงกระดูกวิญญาณร้าย
ตอนที่ 843: โครงกระดูกวิญญาณร้าย
ภายในบ้านท่ามกลางรัตติกาล ตะเกียงดับไปแล้ว ทว่ายังพอมีแสงจากท้องฟ้าอยู่บ้าง
แต่เวลานี้ เมื่อราตรีในวันที่สิบห้าเดือนเจ็ดมาเยือน ทั้งหกเขตสิบสามแดนดินแห่งภูมิมืดมิดต่างตกอยู่ในความมืดสนิท
ไม่เหลือแสงสว่างแม้แต่น้อย!
ภาพพิศวงนี้ชวนขนลุกอย่างไม่ต้องสงสัย
“จุดตะเกียง”
ท่ามกลางความมืดมิด เสียงราบเรียบของซูอี้ดังขึ้น
จากนั้น ชุยฉางอันตวาดลั่น “จุดตะเกียง!”
เสียงนั้นสะท้อนไปทั่วฟ้าดิน
ทันใดนั้น โคมสวรรค์มหาวิถีใหญ่ที่มีรูปลักษณ์สารพัดขนาดหลายสิบจั้ง ก็ส่องสว่างบนท้องฟ้าเมืองตาข่ายม่วง
เปลวเพลิงลุกโชติ ขับไล่ความมืดมิดออกไป
ประหนึ่งทางช้างเผือกเจิดจ้า พาดผ่านนภาของเมืองตาข่ายม่วง ส่องสว่างไปทั่วหล้าทาบทับทั้งเมือง
โคมสวรรค์มหาวิถีเป็นของอาคมที่หล่อด้วยเคล็ดวิชาลับ นอกจากขจัดความมืดได้แล้ว ยังป้องกันภัยร้าย ปัดป้องภูตผีปีศาจได้อีกด้วย
ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ทุกครั้งที่มีเทศกาลหมื่นโคมไฟ กลุ่มอิทธิพลใหญ่ในภูมิมืดมิดต่างเตรียมโคมสวรรค์มหาวิถีไว้ล่วงหน้าจำนวนมาก เพื่อปัดเป่าเคราะห์ร้าย
ในฐานะตระกูลชุยแห่งโบราณกาล ย่อมไม่ขาดแคลนโคมสวรรค์มหาวิถี
เวลานี้ โคมไฟนับไม่ถ้วนรวมกลุ่มกันใต้นภา ด้วยแสงอันเจิดจ้า ส่องสว่างสิบทิศ ดูงดงามยิ่งใหญ่
การมองเห็นกลับมาชัดเจนอีกครั้ง
“นี่มัน…”
เมื่อได้เห็นภาพนอกเมืองที่ห่างออกไปไกลแล้ว ผู้นำตระกูลชุยสูดปากอย่างอดไม่ได้ หัวใจหนาวสะท้านขึ้นมาอย่างระงับไม่อยู่
ท่ามกลางความมืดมิดที่ห่างออกไป หมอกพิฆาตหนาแน่น กลิ่นอายโลหิตโถมทับ วิญญาณร้ายรูปร่างพิสดารจำนวนมากรวมตัวเป็นกองทัพใหญ่ หลั่งไหลเข้ามาทางเมืองตาข่ายม่วง
เยอะมาก!
ยั้วเยี้ยเรียงราย ราวกับไร้ที่สิ้นสุด
ประหนึ่งว่าในฟ้าดินทมิฬนอกเมืองผืนนั้น ได้เปิดประตูที่เชื่อมต่อกับดินแดนพิศวงอันชั่วร้าย จนมีวิญญาณร้ายฉวยโอกาสนี้บุกออกมาไม่หยุดหย่อน!
วิญญาณร้ายเหล่านั้นบ้างกลายร่างเป็นอสูรปักษานับพันนับหมื่น หมอกโลหิตห้อมล้อมอยู่รอบตัว เมื่อกระพือปีก เปลวเพลิงที่พร้อมกัดกร่อนกลืนกินสาดลงมาดั่งฝน จนต้นไม้ใบหญ้าที่พื้นกลายเป็นเถ้าธุลี กระทั่งแผ่นดินยังถูกกัดกร่อนเป็นหลุมอันน่ากลัวหลุมแล้วหลุมเล่า
วิญญาณร้ายบางตนเปรียบดั่งปีศาจมารร้ายที่บุกออกมาจากนรกโลกันตร์ แต่ละตนเปี่ยมไปด้วยลมปราณชั่วร้ายท่วมฟ้า บ้างวิ่งอยู่บนพื้นดิน บ้างโบยบินอยู่บนท้องฟ้า บ้างย่ำอยู่บนสายเลือดไหลหลาก…
ครืน! ครืน!
ฟ้าดินสั่นสะเทือน กลิ่นอายคาวเลือดพร้อมกับวิญญาณร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนโถมทับเข้ามายังเมืองตาข่ายม่วงจากทั่วทุกทิศประหนึ่งพายุร้าย
ขอบข่ายนั้นเทียบเท่ากองกำลังนับล้านเข้ามาล้อมเมือง!
“พลังพิศวงสยองเช่นนี้ ไม่อาจเทียบกับสิ่งที่เคยพานพบ…”
สีหน้าของชุยฉางอันวูบไหว
ต่อให้ผ่านพ้นอะไรมามาก เห็นความนองเลือดจนชินชา ซ้ำยังก้าวสู่ขอบเขตจักรพรรดิมานานหลายปี แต่เมื่อได้เห็นภาพชวนผวานี้ มือเท้าชุยฉางอันยังคงเย็นวาบขึ้นมา
ไม่ต้องสงสัย การปรากฏตัวของอีกาเก้ามืดมิดทำให้ภัยร้ายยิ่งยวดในคืนนี้น่าหวาดกลัวกว่าเก่ามาก!
“ไม่ต้องแตกตื่นไป พลังพิศวงนี้ล้วนเป็นปราณชั่วร้ายที่สั่งสมอยู่ในแหล่งกำเนิดภูมิมืดมิดเท่านั้น”
ซูอี้ลุกจากเก้าอี้หวายอย่างไม่รีบร้อน ไพล่มือไว้ที่หลัง สายตาทอดมองไปไกล ท่าทางมั่นใจ ราวกับว่าต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายก็ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว
ชุยฉางอันสูดหายใจเข้าลึก จิตใจเคร่งเครียดอึดอัดในตอนแรกค่อย ๆ เยือกเย็นลง
จวบจนกองทัพวิญญาณร้ายขนาดใหญ่ห่างจากประตูเมืองเพียงพันจั้ง ซูอี้จึงหยิบกระดานหมากค่ายกลอี้ออกมา กรีดนิ้วผ่านกระดานหมาก
กำแพงโบราณรอบด้านเมืองตาข่ายม่วงพลันเสมือนตื่นจากนิทราอันยาวนาน ประกายสีทองส่องแสงระยิบระยับอยู่นับไม่ถ้วน อักขระเร้นลับแห่งค่ายกลต้องห้ามผสานเข้าด้วยกัน กลายเป็นเกลียวคลื่นเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายลึกลับโบราณของค่ายกลต้อมห้าม ปลดปล่อยออกมาฉับพลัน
ค่ายกลปักษาทองปราบเภทภัยแสดงอานุภาพอีกครั้งหลังผ่านมานับพันปี!
ตู้ม…!
เมื่อมองลงจากฟ้าไกล รอบเมืองอันกว้างใหญ่นี้มีแสงเทวะสีทองพวยพุ่งขึ้นมา ทลายรัตติกาล ส่องสว่างไปทั่วผืนดิน
เมืองแห่งนี้สว่างจ้าราวกับเป็นเวลากลางวัน รุ่งโรจน์ไร้ที่สิ้นสุด
ส่วนพลังแสงเทวะสีทองที่พวยพุ่งออกไปนั้น เสมือนพายุที่พร้อมกระหน่ำสิบทิศ เปี่ยมไปด้วยอานุภาพอันพร้อมจะทลายฟ้าดิน
เมื่ออยู่เบื้องหน้าพลังที่สามารถล้มล้างปฐพีได้นี้
ม่านหมอกพิฆาตสีเลือดที่ปกคลุมผืนฟ้าแผ่นดินพลันมลาย
ในรัศมีสามพันจั้งนอกเมืองตาข่ายม่วง ร่างวิญญาณร้ายมากมายที่โถมทับเข้ามาดั่งสายน้ำไม่ทันได้ตั้งตัว ก็โดนแผดเผาจนสิ้น!
คลื่นหลงสุดสยองกระจายออกไป จนทั้งปฐพีต้องสะท้าน
ด้วยการโจมตีนี้ จำนวนวิญญาณร้ายที่เข่นฆ่าได้นับหมื่นทีเดียว!
นี่แหละ ฤทธิ์เดชของค่ายกลปักษาทองปราบเภทภัย
ค่ายกลนี้ได้บรรพชนตระกูลชุยหล่อหลอมขัดเกลาเพิ่มพลังไม่หยุด ในเทศกาลหมื่นโคมไฟที่เกิดขึ้นปีละครั้ง ทะลวงเข่นฆ่าพลังพิศวงไปไม่รู้เท่าไร คุ้มครองตระกูลชุยให้พ้นภัยมาได้จวบจนวันนี้!
เพียงแต่ ไม่ว่าจะเป็นซูอี้หรือชุยฉางอัน ต่างก็ไม่ดีใจเสียทีเดียว
เนื่องด้วยวิญญาณร้ายมีมากเกินไป!
เพิ่งกำจัดไประลอกหนึ่ง ก็มีวิญญาณร้ายอีกระลอกพุ่งมาจากผืนฟ้าแผ่นดินทมิฬที่อยู่ห่างไกล ดั่งสายน้ำไหลหลาก
ถึงแม้วิญญาณร้ายเหล่านี้จะไม่นับว่าเก่งกาจนัก อย่างมากก็แค่ตัวรับแรงปะทะที่ไม่มีจิตสำนึก
ทว่าภาพการณ์นี้ ยังดำเนินต่อไปตั้งแต่คืนนี้จวบจนรุ่งเช้า!
ไม่หนำซ้ำ คล้อยตามเวลาที่ล่วงเลย จะมีวิญญาณร้ายอันน่ากลัวกว่านี้ปรากฏ!
ไม่มีผู้ใดริอ่านชะล่าใจ
ครืน!
นอกเมือง หมอกโลหิตหนาแน่น ปิดบังฟ้าดิน กองทัพวิญญาณร้ายยิ่งใหญ่เกรียงไกร บ้างคำราม บ้างกู่ร้อง ทั้งหมดพุ่งเข้ามาอย่างไม่เกรงกลัวความตาย
รอบ ๆ เมืองตาข่ายม่วง ลำแสงจากค่ายกลปักษาทองปราบเภทภัยทะยานขึ้นฟ้า พลังที่ปลดปล่อยออกมาพร้อมทำลายปฐพี กวาดล้างสิบทิศ
กองทัพวิญญาณร้ายกลายเป็นเถ้าธุลี
จากนั้น ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง…
ท่ามกลางรัตติกาลมืดมิด ราวกับมีวิญญาณร้ายซ่อนอยู่นับไม่ถ้วน พลังพิศวงที่ฆ่าไม่หมด
มิหนำซ้ำ เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป วิญญาณร้ายที่โผล่ออกมาจากสารทิศก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ
เดิมเมื่อยืมพลังจากค่ายกลปักษาทองปราบเภทภัย กองทัพวิญญาณร้ายนั้นขอเพียงปรากฏตัวอยู่ในรัศมีสามพันจั้งนอกเมือง จะโดนเข่นฆ่าทำลายอย่างง่ายดาย
แต่เพียงครึ่งชั่วยามให้หลัง กองทัพวิญญาณร้ายก็พุ่งเข้ามาในรัศมีห่างจากกำแพงเมืองสองพันจั้งแล้ว
หนึ่งชั่วยามให้หลัง กองทัพวิญญาณร้ายพุ่งมาอยู่ในรัศมีพันจั้งนอกกำแพงเมืองสำเร็จ!
เหตุการณ์ตรงหน้าส่งผลให้ชุยฉางอันสัมผัสถึงแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามาทั่วทุกทิศ สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา
เพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น พลังของกองทัพวิญญาณร้ายที่ปรากฏตัวเหนือจากก่อนหน้านี้มาก!
ต่างจากชุยฉางอัน ในหนึ่งชั่วยามนี้ ซูอี้กลับไปนั่งที่เก้าอี้หวายอีกครั้ง ขณะหิ้วน้ำเต้าสุราขึ้นมาดื่มด้วยท่าทีเกียจคร้าน
ศึกใหญ่เช่นนี้ ดูอันตรายยิ่ง
แต่ในสายตาเขา กลับดูน่าเบื่อหน่ายสุด ๆ
เป็นฝ่ายตั้งรับอย่างเดียว สนุกตรงไหนกัน?
สำหรับนักดาบ การรุกต่างหากคือการป้องกันที่ดีที่สุด!
และสะใจที่สุด!
ทว่า ต่อให้ซูอี้เบื่อหน่ายเพียงใด ก็ได้แต่ใจเย็นอดกลั้น
ศึกใหญ่คืนนี้ เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของตระกูลชุย จะทำตามใจเขาไม่ได้เด็ดขาด
เมื่อเห็นกองทัพวิญญาณร้ายใกล้ทลายแนวป้องกันที่ห่างจากเมืองไปพันจั้งแล้ว ซูอี้ก็หยิบกระดานหมากค่ายกลอี้ออกมาอีกครั้ง พร้อมกรีดนิ้วออกไป
ครืด!
ตารางบนกระดานหมาก ที่ไขว้หากันราวกับถูกจุดประกาย
ขณะเดียวกัน รอบ ๆ กำแพงเมืองตาข่ายม่วงพลันส่องแสงเทวะที่มีพลังลมปราณทำลายล้างอันน่ากลัว
จากนั้น ท้องฟ้าเหนือจตุรทิศมีแสงเทวะสีทองท่วมฟ้าปรากฏ กลายเป็นภาพเงาอสูรปักษาสีทองอร่าม!
ร่างของอสูรปักษานั้นสูงนับร้อยจั้ง เมื่อสยายปีก มีขนาดใหญ่เท่าเมฆบนนภา ทั้งตัวเหมือนประทับด้วยทองเทวะ อาบอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงเทวะอันไร้ที่สิ้นสุด
ปักษาทอง!
อสูรปักษาวิญญาณแท้ที่ลือกันว่าควบคุมเปลวเพลิงเทวะแห่งดวงอาทิตย์ ถูกมองเป็นทายาทของดวงตะวัน สยายปีกหนึ่งครั้ง สามารถทำลายปฐพีนับหมื่นลี้ แผดเผาสรรพสิ่งเป็นจุณ!
ทว่า ปักษาทองสี่ตัวนี้หาใช่ปักษาวิญญาณแท้ของจริงไม่ เป็นตัวตนที่แปลงจากพลังค่ายกลต้องห้ามเท่านั้น
แม้จะเป็นเช่นนั้น เมื่อปักษาสีทองสี่ตัวนี้ปรากฏตัวสู่โลกหล้า ความทรงพลังของมันยังคงสยดสยองถึงขีดสุด
พวกมันกระพือปีกโฉบตัวออกไปนอกเมือง เปลวเพลิงเทวะอัดแน่นอยู่บนท้องฟ้าประหนึ่งฝนที่เทลงมา ปกคลุมอยู่ทั่วฟ้าดิน วิญญาณร้ายมากมายนับไม่ถ้วนถูกแผดเผาจนสิ้นในพริบตาเดียว กระทั่งท้องฟ้ายังโดนแผดเผาจนสะท้อนเป็นประกายไฟสีทองเจิดจรัส
มิหนำซ้ำ เมื่อมีปักษาสีทองบินวนอยู่นอกเมือง ต่อให้วิญญาณร้ายยังคงหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุดหย่อน แต่ล้วนแล้วถูกเปลวเพลิงเทวะแผดเผาจนสิ้น อันตรายอย่างที่สุด
“เฮอะ!”
ทันใดนั้น ท่ามกลางฟ้าดินมืดมิดที่ห่างออกไปไกล เสียงเย็นเยียบเสียงหนึ่งดังแค่นขึ้น ประหนึ่งอัสนีทุ้มต่ำดังก้อง สะท้อนจนสั่นสะท้านไปทั้งปฐพี
ซูอี้ผู้นอนอย่างเกียจคร้านอยู่บนเก้าอี้หวายคลี่ยิ้ม เจ้าอีกาน้อยมาจริง ๆ ด้วย!
ตู้ม!!
ทันทีที่เสียงแค่นนั้นหายไป ท่ามกลางกองทัพวิญญาณร้ายที่เปรียบดั่งสายน้ำไหลหลาก พลันปรากฏเงาโครงกระดูกดำเงาหนึ่ง กระดูกนวลเนียนดั่งหยกดำ เบ้าตาคู่นั้นมีเปลวเพลิงสีเขียวเร้นลับลุกโชนอยู่
โครงกระดูกวิญญาณร้ายตนนี้มือจับง้าวกระดูกสีดำแท่งหนึ่ง ขณะที่เหินอากาศ ลมปราณดุดันชั่วร้ายกลายเป็นภาพอเวจีเซินหลัวมากมาย สะท้านไปถึงวิญญาณ
ฟึ่บ!
ทันทีที่โครงกระดูกวิญญาณร้ายปรากฏตัว ร่างของเขาได้กลายเป็นอัสนีสีดำ มือถือง้าวกระดูกดำ ทะยานไปฆ่าปักษาทอง
ตู้ม!!
ท่ามกลางการปะทะสะท้านฟ้าดินนั้น ร่างสูงร้อยจั้งของปักษาทองโดนง้าวกระดูกดำทะลวงแหลกลาญ กลายเป็นฝนแสงต้องห้ามล้นฟ้ากระจัดกระจายลงมา
มิติรอบข้างระเบิดออกกลายเป็นคลื่นพลังหนาแน่น เมื่อกระแทกกับกำแพงเมือง กระทั่งพลังค่ายกลต้องห้ามบนกำแพงเมืองยังสั่นสะเทือนอย่างหนัก
“วิญญาณร้ายที่เทียบเท่ากับตัวตนในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ!!”
ม่านตาชุยฉางอันหดลง หัวใจสะท้าน
หากเป็นเทศกาลหมื่นโคมไฟในอดีต วิญญาณร้ายน่ากลัวปานนี้มักปรากฏตัวตอนท้ายสุด
แต่คราวนี้ต่างออกไปเห็น ๆ!
“เป็นวิญญาณร้ายที่หลอมรวมจากบาปกรรมนับไม่ถ้วนหรือนี่”
ซูอี้ผงะ
พลังบาปกรรมสถิตอยู่ในส่วนลึกของแม่น้ำผิดบาปแห่งยมโลก เป็นหนึ่งในพลังที่ชั่วร้ายที่สุดแห่งภูมิมืดมิด
หากผู้ฝึกตนแปดเปื้อนพลังนี้ พลังวิถีจะถูกกัดกินในพริบตา จนวิญญาณสลาย!
“พลังระดับนี้ปล่อยให้เสียเปล่าไม่ได้เด็ดขาด”
ขณะครุ่นคิด ซูอี้นำโคมไฟดอกบัวอาญาออกมา
วาบ!
คล้อยตามการหมุนวนของแสงโคมไฟดอกบัว บุรุษในชุดผ้าหรูขาดรุ่งริ่ง รูปโฉมคล้ายเด็กหนุ่ม กระนั้นใบหน้ากลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งกาลเวลาปรากฏตัวกลางอากาศ
หนึ่งในอสุรกายเฒ่าผู้ถูกกำราบอยู่ใต้ภูเขาเตาสวรรค์
“ตาเฒ่า เจ้านำสมบัติชิ้นนี้ไปจัดการโครงกระดูกนั่น”
ขณะที่พูด ซูอี้ยกมือโยนเตาเผาสีเลือดขนาดเท่ากำปั้นไปให้
เตาโลหิตโตวเทียน!
สมบัติอสูรขั้นสูงที่ซูอี้ได้มาจากร้านจำนำ
มีแหล่งกำเนิดที่ ‘หุบเขาอสูรโลกา’ ซึ่งเป็นกองกำลังชั่วช้าชั้นนำแห่งเก้ามหาดินแดน พลังดุดันแผ่ขยายปกคลุมท้องฟ้า เมื่อแผลงฤทธิ์ก็สามารถชโลมเลือดใส่ปฐพี หลอมละลายสรรพวิญญาณ
ในอดีต หุบเขาอสูรโลกาใช้สมบัติอสูรโบราณนี้หลอมละลายวิญญาณผู้กล้าของเหล่าศัตรูไปไม่รู้เท่าใด ชื่อเสียงโจษจัน
“ย่อมไม่ทำให้ท่านผิดหวัง!”
บุรุษผู้นั้นจัดแจงเสื้อผ้า ก่อนจะรับเตาโลหิตโตวเทียนมาด้วยสองมือ รับคำสั่งด้วยสีหน้าขึงขัง