บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 846: กระชับวงล้อม
ตอนที่ 846: กระชับวงล้อม
ตอนที่ 846: กระชับวงล้อม
ประตูทิศบูรพาของเมืองตาข่ายม่วงแตกแล้ว!
ทัพวิญญาณร้ายอหังการทะลักไหลสู่ในตัวเมืองดุจกระแสสมุทร
ไกลออกไปในความมืดมิด กาดำขนาดสูงราวหนึ่งจั้งร่อนลงมาอย่างเงียบเชียบ คู่ปีกเรืองแสงสีดำประกายดุจรัตติกาล
ด้วยการขยับไหวเล็กน้อย มันก็ปรากฏขึ้น ณ ยอดเขาโลหิต บนบ่าของทูตรับใช้กาฬราตรีชุดดำผู้หนึ่ง
“แปลกแท้ ตระกูลชุยไม่ต่อต้านแล้วหรือไร? เฒ่ามู่ เจ้าคิดว่าในเมืองตาข่ายม่วงจะมีการซุ่มโจมตีอีกหรือไม่?”
นัยน์ตาสีเลือดของกาดำวูบไหว
“หากรู้ว่าเช่นไรก็แพ้ ใครเล่าจะยอมสูญเสียโดยไม่จำเป็น?”
ทูตรับใช้กาฬราตรีตอบด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์
เขาปกคลุมด้วยอาภรณ์ดำทั่วทั้งกาย เผยเพียงคู่เนตรสีน้ำตาลเทา เต็มไปด้วยปราณหายนะปั่นป่วน
เขากล่าวพลางโบกแขนเสื้อ
ตู้ม!
ภูเขาสีเลือดอันปกคลุมด้วยลวดลายเต๋านับไม่ถ้วนที่ใต้เท้าหดตัวลงจนเทียบเดิมมิได้ และในที่สุดก็เปลี่ยนเป็นตราประทับเต๋าสีแดงเลือดร่วงลงบนมือของทูตรับใช้กาฬราตรี
“ช่างเถอะ ต่อให้มีการลอบโจมตี ด้วยปัญญาของตระกูลชุยในขณะนี้ ไม่มีทางเป็นคู่ต่อกรเราได้เลย หากเราไปเยือนสักหน่อย ครานี้คงได้รับสมบัติที่ซ่อนในซากโบราณกองตัดสินได้แล้ว…”
เมื่ออีกาเก้ามืดมิดกล่าวถึงจุดนี้ มันก็หุบปากไปทันที
ทว่าเนตรสีเลือดของมันปรากฏความโหยหาและตื่นเต้นอย่างหาได้ยาก
“ไป”
ทูตรับใช้กาฬราตรีก้าวสู่อากาศและทะยานร่างสู่เมือง
มีนักพรตมารชั่วร้ายและบุตรมารวิบากกรรมติดตามไปเบื้องหลัง และไกลออกไปในความมืดมิดยังคงมีวิญญาณร้ายอันแข็งแกร่งทะยานออกมาไม่หยุดหย่อน
เป้าหมายของพวกมันคือซากโบราณกองตัดสิน!
…
“เมืองตาข่ายม่วงแตกแล้ว!”
ทางตอนเหนือของเมืองตาข่ายม่วง ไกลออกไปในความมืด มีเสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างตื่นเต้น
นับแต่อดีตจวบปัจจุบัน เมืองตาข่ายม่วงอันเป็นที่พำนักตระกูลชุยได้ประสบหายนะนับไม่ถ้วนระหว่างเทศกาลหมื่นโคม
ทว่าคืนนี้ เมืองตาข่ายม่วงถูกโจมตีโดยทัพวิญญาณร้าย!
“ทัพวิญญาณร้ายคืนนี้น่าหวาดหวั่นอย่างไม่ต้องสงสัย มีวิญญาณร้ายอันตรายยิ่งปรากฏขึ้นตนแล้วตนเล่า ความแข็งแกร่งของมันห่างไกลเกินเทียบได้กับอดีต”
“ข้าสงสัยว่าหากชุยหลงเซี่ยงยังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ เกรงว่าก็ยังไม่อาจหยุดการโจมตีเช่นนี้ได้”
บางคนกระซิบอย่างเย็นชา
“ตั้งแต่ชุยหลงเซี่ยงถูกฆ่าและอีกาเก้ามืดมิดปรากฏกลับสู่โลกหล้า เมืองตาข่ายม่วงก็ถูกกำหนดครรลองให้ต้องล่มสลายแล้ว!”
ใครอีกคนกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ทุกท่าน ได้เวลาคิดบัญชีกับตระกูลชุยแล้ว”
“ไปกันเถอะ!”
ท่ามกลางความมืด มีเงาร่างทะยานออกร่างแล้วร่างเล่า
ทั้งชายชราผู้หนึ่งในชุดจีนและเข็มขัดกว้าง ดูราวเทพเซียน
ทั้งชายผู้แบกกล่องดาบและหนวกเครารุงรัง
สตรีงามถือตะกร้าบุปผาในมือ รวบเส้นผมเป็นมวยสูง
และยังมี…
ตัวตนเหล่านี้ต่างมีรูปลักษณ์แตกต่าง ทว่าพวกเขาแต่ละคนต่างเปี่ยมปราณอันเป็นของจักรพรรดิ
พวกเขามาจากตระกูลโบราณชวี ตระกูลหง ตระกูลตั้นไถ และเผ่ามารโห่วซึ่งซ่อนตัวอยู่แสนไกลรอคอยก่อนรัตติกาลมาเยือน
พวกเขาย่อมได้พบเห็นว่าทัพวิญญาณร้ายล้อมโจมตีประตูทิศบูรพาของเมืองตาข่ายม่วงเช่นไร
เมื่อเมืองตาข่ายม่วงแตกพ่ายในครั้งนี้ เหล่าจักรพรรดิจากขุมกำลังใหญ่ต่างเริ่มลงมือโดยไร้ลังเล
สำหรับพวกเขาแล้ว คืนนี้คือโอกาสงามในการทำลายตระกูลชุยโบราณให้ราบคาบ!
…
ในเมืองตาข่ายม่วง
ทัพวิญญาณร้ายหนาแน่นทะลักไหลดุจคลื่นสมุทร จมถนนตรอกซอยไร้การกีดขวางไปตลอดทาง
ทว่าเมืองตาข่ายม่วงในวันนี้กลายเป็นเมืองร้างไปแล้ว ที่ใดก็ตามที่ทัพวิญญาณร้ายเคลื่อนผ่านล้วนไร้สัญญาณการต่อสู้ฆ่าฟัน
ตระกูลชุย
ตำหนักเรียงแถวชั้นแล้วชั้นเล่าต่างปกคลุมด้วยค่ายกลของตระกูล และท่ามกลางความมืดมิดคืนนี้ มันก็ให้บรรยากาศแห่งมนตร์ขลังโบราณ
“เมืองแตกแล้วหรือ!?”
“บัดซบ! เป็นเช่นนี้ได้เช่นไร?”
“ท่านเจ้าตระกูลเคยบอกจะปกป้องตระกูล ข้าก็คิดว่าเจ้าตระกูลจะชนะได้ ใครเล่าจะคิดว่านี่จะเป็นผลลัพธ์?”
…ในค่ายกลเกิดเสียงเซ็งแซ่เสียงแล้วเสียงเล่า
ด้วยการแตกพ่ายของประตูบูรพา เหล่าคนใหญ่คนโตในตระกูลชุยก็มิอาจนิ่งเฉย ทั้งหมดล้วนตกใจโกรธเคือง
เซวียฮว่าหนิงผู้กำลังควบคุมอำนาจค่ายกลอารักษ์ขมวดคิ้วและย้อนถาม “พวกเจ้าแตกตื่นกันเรื่องอันใด มันไม่ได้ร้ายแรงเท่าที่พวกเจ้าคิดสักหน่อย!”
เสียงของนางกังวานไปทั่วโถง ทุกผู้ต่างหุบปากลงโดยพร้อมเพรียง สีหน้ามึนงงไม่แน่ใจ
จากค่ายกลอารักษ์ของตระกูล พวกเขาเห็นได้ชัดเจนว่าทัพมหึมาของวิญญาณร้ายกำลังพุ่งเข้ามาหาตระกูลชุยจากทั่วสารทิศ
ปราณของมันแข็งแกร่ง ชั่วร้ายกระหายเลือด
แค่เห็นก็ทำให้ผู้คนรู้สึกสิ้นหวังแล้ว
ตู้ม!
ด้วยการทำงานของค่ายกลอารักษ์ แสงศักดิ์สิทธิ์สีเงินก็ทอประกายสาดจ้า เหล่าวิญญาณร้ายที่พุ่งเข้ามาล้วนสลายเป็นผุยผงไปตนแล้วตนเล่า
ทว่าหลังจากนั้น วิญญาณร้ายก็ทะยานเข้ามามากขึ้นอีก
ในหมู่พวกมันยังมีวิญญาณร้ายอันทรงพลังปนอยู่บ้าง พวกมันโจมตีต่อเนื่อง พยายามทำลายค่ายกลนี้
ภาพที่เห็นทำให้เหล่าคนใหญ่คนโตตระกูลชุยดูกังวล สีหน้าดูไม่ได้ขึ้นทุกที
ทว่า เซวียฮว่าหนิงกลับพูดอย่างใจเย็น “ยามนี้ เว้นเพียงคนเฒ่าคนแก่อย่างเรา สมาชิกตระกูลทั้งหมดที่เหลือก็ซ่อนตัวในพิมานเครือทองแล้ว ต่อให้เกิดสถานการณ์ย่ำแย่ที่สุด เราก็ยังยืมพลังพฤกษาหมื่นวิถีอพยพคนของเราออกจากเมืองตาข่ายม่วงได้”
ใครบางคนกล่าวอย่างเศร้าใจ “อพยพหรือ? เมืองตาข่ายม่วงถูกทำลายแล้ว แล้วตระกูลชุยของเราจะอพยพไปหนใดได้? ยิ่งกว่านั้น หากเมืองตาข่ายม่วงถูกทำลาย มรดกจากบรรพชนรุ่นต่าง ๆ ของตระกูลชุยเราไม่ถูกทำลายสิ้นหรือ?”
ใครบางคนดูมีสีหน้าซับซ้อน
อันที่จริง พวกเขาทั้งหมดล้วนตระหนักแล้วว่าภัยคุกคามอันเกิดขึ้นในคืนนี้น่ากลัวเกินไป และในเทศกาลหมื่นโคมครั้งก่อน ๆ ยังไม่เคยเกิดหายนะเช่นคืนนี้มาก่อน
หากไม่ใช่เพราะเจ้าตระกูลชุยฉางอันยืนกรานจะสู้ พวกเขาคงเตรียมการอพยพตระกูลออกนอกเมืองตาข่ายม่วงมาสักพักแล้ว
และยามนี้ เหตุการณ์ก็ย่ำแย่ถึงขีดสุด!
เซวียฮว่าหนิงดูจะเห็นว่าทุกคนกำลังรู้สึกหนักอึ้ง จึงกล่าวว่า “ทุกคนอย่าห่วงไป สิ่งที่ข้าพูดก่อนหน้านี้เป็นเพียงผลลัพธ์ที่แย่ที่สุด หากไร้อุบัติเหตุใด ๆ วิญญาณร้ายเหล่านั้นจะถูกกวาดล้างสิ้นแน่นอน”
ทุกคนตกใจ และลอบส่ายหน้า เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อ
ใครบางคนอดกล่าวไม่ได้ว่า “อย่าลืมนะว่าหายนะคืนนี้ นอกจากทัพวิญญาณร้ายที่บุกเข้ามาในเมืองแล้ว พวกตระกูลโบราณอย่างชวีกับหงยังไม่โผล่มาเลย!”
ด้วยหนึ่งประโยคนี้ อารมณ์ของผู้คนก็ยิ่งจมดิ่ง
เซวียฮว่าหนิงดูพิกล อดพึมพำไม่ได้ว่า “ข้าล่ะหวังนักว่าพวกนั้นจะโผล่มาไว ๆ…”
ทุกผู้ “???”
สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตกใจ นี่หมายความเช่นไร?
ก่อนที่จะมีผู้ใดได้พูด เซวียฮว่าหนิงก็กล่าวก่อน “ทุกคน ข้าเซวียฮว่าหนิงรับประกันได้ว่าเรื่องราววันนี้จะไม่แย่อย่างที่พวกเจ้าคิด ในทางตรงกันข้าม…”
กล่าวถึงตรงนี้ นางก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังค่ายกลอารักษ์ตระกูลอย่างคาดหวัง “ครานี้ ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณร้ายพวกนั้นหรือขุมกำลังใหญ่ที่พยายามปล้นบ้านเรายามไฟไหม้ พวกเขาย่อมต้องเสียหายหนักหน่วงแน่แท้!”
วาจาเฉยเมยนั้นเผยความมั่นใจเหลือประมาณ
ทุกผู้ตะลึงค้าง ไม่อาจจินตนาการได้ว่าสตรีผู้นี้ไปได้ความมั่นใจมาจากหนใด
“หรือเจ้าตระกูลจะมีตัวช่วยอื่น?”
บางผู้ครุ่นคิดในใจ และอดถามมิได้
คนอื่น ๆ ก็หันมองเซวียฮว่าหนิงเช่นกัน
พวกเขาไม่รู้ว่าประตูเมืองทิศตะวันออกแตกพ่ายได้เช่นไร
ไม่รู้กระทั่งว่าชุยฉางอันในวันนี้ยังอยู่หรือตาย ซึ่งทำให้หัวใจของทุกผู้บีบตัว กังวลในความได้เปรียบเสียเปรียบ
ทว่าปฏิกิริยาของเซวียฮว่าหนิงดูเยือกเย็นเกินไป
ทว่าก่อนที่ใครจะทันได้ถามให้กระจ่าง การเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นอย่างมหันต์นอกค่ายกลอารักษ์…
ตู้ม!
จักรพรรดิอันมีอำนาจมหาศาลกลุ่มหนึ่งทะยานเวหามาสู่ด้านนอกคฤหาสน์ตระกูลชุยดุจดังเทพเซียน
จักรพรรดิเหล่านี้มีมากกว่าสิบคน ต่างคนต่างรูปลักษณ์
ไม่ว่าจะเหยียบอยู่บนสายรุ้ง ถือดาบหรือสมบัติร้ายกาจในมือ ควบคุมวาตะอสนี ปราณของพวกเขาล้วนแข็งแกร่งไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
แค่มายืนเช่นนี้ อำนาจมหาศาลที่แผ่ออกมาจากร่างก็บดขยี้วิญญาณร้ายนับไม่ถ้วนจากทุกสารทิศจนสลายหาย
โดยเฉพาะสี่คนที่นำพวกเขามาซึ่งล้วนแล้วแต่มีปราณในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ!
สีหน้าของเหล่าคนใหญ่คนโตจากตระกูลชุยด้านในค่ายกลอารักษ์ต่างแปรเปลี่ยน
กระทั่งเซวียฮว่าหนิงผู้มั่นใจยังอดแปลกใจกับการจัดทัพเช่นนี้มิได้
“ชุยฉางอันพ่ายแล้ว ข้าแนะนำให้คนตระกูลชุยของเจ้าทิ้งการขัดขืนเสีย หาไม่ก็อย่าว่าข้ามิสุภาพเลย”
ชายเคราขาวในชุดสีม่วงกล่าวขึ้น เสียงของเขากังวานก้องทั่วนภาราตรี
เขาเหยียบอยู่บนน้ำเต้าทอง มือไพล่หลัง องอาจเยี่ยงเทพ
ชวีจ่างเฮิ่น
ผู้อาวุโสสูงสุดจากตระกูลชวีโบราณ ตัวตนบรรพกาลผู้ฝึกฝนวิถีเต๋ามานับแต่ช่วงเริ่มแรกของภูมิมืดมิดและไม่ได้ปรากฏสู่โลกหล้ามาแสนนาน
ทว่าขอเพียงเอ่ยถึง ‘จักรพรรดิน้ำเต้าวิญญาณ’ ก็ย่อมไร้ผู้ใดไม่รู้จัก!
“ตระกูลชุยจะถูกทำลายอยู่แล้ว หากยังฝืนดื้อดึง พวกเจ้าจะยิ่งเสีย”
ชายชราร่างเล็กผู้หนึ่งรำพึง
เขาดูโบราณ ดวงตามืดมัว ถือพัดใบลานในมือ รูปลักษณ์ดูไร้ความพิเศษ
แต่เมื่อเขาส่งเสียง วจีของเขากลับกังวานไกลทั่วสารทิศ ทำให้ค่ายกลอารักษ์ตระกูลชุยสั่นสะเทือนครืนคราง
หงจือเหวิน!
สัตว์ประหลาดเฒ่าในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำแห่งตระกูลหงโบราณ
“ในความคิดข้า ลงมือเลยดีกว่า”
อีกฟากหนึ่ง ชายผู้สะพายกล่องใส่ดาบไว้หนวดยาวดั่งกิ่งหลิวกล่าวเสียงอบอุ่น “ข้าอยากรู้มานานแล้วว่ากฎเกณฑ์อันใดที่ตระกูลชุยใช้ตัดสิน”
ตั้นไถเยี่ย!
ยักษ์ใหญ่ลึกลับจากตระกูลตั้นไถโบราณ!
“กล่าวได้ดี มันยังไม่สายไป ได้เวลารีบตัดสินใจแล้วล่ะ”
หญิงงามผู้หนึ่งผู้ถือตะกร้าบุปผา รวบผมขมวดมวยสูงกล่าวอย่างมาดร้าย
เฟ่ยเหยียนจือ!
ตัวตนบรรพกาลในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำจากเผ่ามารโห่ว
วาจาของนางแข็งกร้าวดุดัน ไม่ปิดบังจิตสังหารแม้แต่น้อย
นี่ทำให้สมาชิกตระกูลชุยซึ่งซ่อนอยู่ในค่ายกลอารักษ์ตระกูลรู้สึกหนาวเยือกในใจ
สี่ตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำพาจักรพรรดิมาอีกกลุ่ม ใครเล่าจะเห็นขุมกำลังเช่นนี้ได้โดยไม่ร่างสั่น?
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าในเมืองยังมีวิญญาณร้ายอาละวาดอยู่นับไม่ถ้วน!
และยังมีอีกาเก้ามืดมิดที่ยังไม่เคยเผยร่องรอยด้วย!
เมื่อเห็นเช่นนี้ เซวียฮว่าหนิงก็กล่าวเบา ๆ “ทุกท่าน ถึงเวลาตัดสินผลแล้ว”
ในขณะเดียวกัน…
ณ ชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมไกลออกไป ซูอี้จิบสุราในไหและกล่าวขึ้นว่า “เฟ่ยคงถง เจ้าก็เห็นแล้วว่าคนจากเผ่ามารโห่วของเจ้าก็อยู่ที่นี่ ข้าจะโอกาสเจ้าไปบอกพวกเขาให้ไปเสีย และข้าจะเมินเฉยต่อเรื่องในอดีต หาไม่ เจ้าก็ฆ่าพวกเขาเสียด้วยมือตน”
เฟ่ยคงถงสีหน้าเปลี่ยนโดยพลัน ก่อนจะกล่าวอย่างนอบน้อม “ขอรับ!”
มารเฒ่าผู้ถูกจองจำใต้ภูเขาเตาสวรรค์มาหลายหมื่นปีผู้นี้ไม่อาจอยู่เฉยต่อได้ เขาพลิ้วหายจากไปทันที