บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 85 จะดีหรือแย่ อยู่ที่คนนำพา
ตอนที่ 85: จะดีหรือแย่ อยู่ที่คนนำพา
ขณะเรือสั่นไหวอย่างรุนแรง โต๊ะเก้าอี้บนชั้นเก้าล้วนเอนเอียงและพลิกคว่ำ จานเหยือกปลิวว่อนก่อนตกแตก เสียงแตกร้าวดังไม่หยุดหย่อน
“ระวัง!”
“บัดซบ เกิดอะไรขึ้น?”
เสียงอุทานดังตามมา
ผู้คนลุกขึ้นด้วยความแตกตื่น ต่างหลบเลี่ยงและวิ่งไปรอบด้าน เป็นฉากที่วุ่นวายพักใหญ่
เกือบจะในวินาทีแรกที่เกิดการสั่นไหวขนาดใหญ่บนเรือโดยสาร จางตั้วเหมือนกับแมวดาว ก้าวย่างเพียงครั้งเดียวก็ถึงตัวชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วง กันอีกฝ่ายไว้ข้างหลัง สายตามองรอบข้าง มีความระแวดระวังยิ่ง
พวกซูอี้ลุกขึ้นอยู่นานแล้วเช่นกัน พวกเขาประคองร่างกาย มองฉากที่เกิดปุบปับตรงหน้า แล้วก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้
เกิดอะไรขึ้นที่นี่?
ตอนนี้ ท้องฟ้ามืดมิด ราตรีคล้อยต่ำ เป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นว่าเรือโดยสารชนอะไรหากมองจากอาคารสูงเก้าชั้น
“โฮก~~~”
ทันใดนั้น เสียงคำรามของสัตว์ปีศาจดังขึ้น เสียงแล้วเสียงเล่า เปี่ยมด้วยบรรยากาศที่ดุร้ายและรุนแรง
หลังจากนั้น ตั้งแต่ชั้นหนึ่งถึงชั้นเก้าของตึกหลักบนเรือโดยสาร มีเสียงกรีดร้องด้วยความแตกตื่นดังขึ้น
“ไม่ได้การ สัตว์ปีศาจที่ถูกจองจำทั้งหมดนั่นหลุดออกมาแล้ว! หนีเร็ว!”
“สารเลว ใครเป็นคนเปิดกรงพวกมัน???”
“เร็วเข้า!”
เสียงกรีดร้องดังสนั่นอื้ออึงในราตรี
บางครั้งจะมีเสียงกรีดร้องโหยหวน ราวกับใครบางคนถูกไล่ล่าโดยสัตว์ปีศาจ!
ฉากนี้ ทำให้ทุกคนบนชั้นเก้าแตกตื่น เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ทุกคนรู้ดี ว่ามีสัตว์ปีศาจมากกว่าแปดร้อยตนถูกจองจำอยู่บนเรือลำนี้!
ถ้าพวกมันทั้งหมดหนีออกมาได้… เมื่อคิดถึงฉากนั้นก็ทำให้เกิดอาการขนลุก
“จู่ ๆ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร…”
ใบหน้างดงามของหยวนลั่วซีเคร่งขรึมเช่นกัน
เฉิงอู้หย่งกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “คุณหนูไม่ต้องห่วง บนเรือนี้มีจางอี้เหรินกับลูกน้องฝีมือดีของเขา การจัดการสัตว์ปีศาจพวกนั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องยาก”
“ข้าเกรงว่าเรื่องราวจะไม่ง่าย… แค่เพียงจัดการพวกสัตว์ปีศาจคงจะยังไม่จบ”
หวงเฉียนจวินถอนหายใจ
เห็นได้ชัดว่ามีคนจงใจเปิดกรงที่ขังสัตว์ปีศาจเอาไว้ ช่างชั่วร้ายยิ่งนัก!
ซูอี้ลูบไล้ฝักดาบไม้ไผ่ข้างเอว มองกลุ่มคนแตกตื่นที่อยู่ใกล้เคียง สีหน้ายังคงราบเรียบ ไม่พูดอะไรสักคำ
“คณหนูหยวนอย่าได้กังวล ข้าอยู่ที่นี่แล้ว ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บแน่!”
ตอนนี้ ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงเข้ามา เผยรอยยิ้มสบายอารมณ์ ดูสงบเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าหนุ่มคนนี้ช่างพูดจาใหญ่โตนัก!”
หวงเฉียนจวินลอบสบถกับตัวเอง
หยวนลั่วซีขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวว่า “ขอบคุณมาก แต่ในความเห็นข้า สิ่งสำคัญที่สุดคือการปกป้องตัวเจ้าเองก่อน!”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงยิ้มอย่างไม่แยแส กล่าวว่า “แค่เฉพาะปีนี้ข้าประสบกับอันตรายนับไม่ถ้วน ดังนั้นนับประสาอะไร …กับฉากตรงหน้าที่เล็กน้อยแค่นี้”
“ขอพูดหยาบคายเสียหน่อย ถ้าแม้แต่ข้ายังไม่สามารถคลี่คลายอุบัติเหตุนี้ได้ เกรงว่าทุกคนบนเรือจะไม่รอดจากหายนะครั้งนี้”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เขายิ้มอีกครั้ง “แน่นอน เรื่องเช่นนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นแน่”
หวงเฉียนจวินตกตะลึงไปครู่ จากนั้นจึงเข้าใจความหมายของคำพูดอีกฝ่าย จนอดที่จะหัวเราะไม่ได้ หมอนี่กำลังบอกว่าเขาคือบุคคลที่ทรงพลังที่สุดบนเรืออย่างนั้นหรือ?
เขาอดที่จะมองซูอี้ผู้อยู่ด้านข้างไม่ได้ แต่กลับพบว่าสีหน้าของอีกฝ่ายเฉยชา ราวกับไม่ได้ฟังสิ่งที่ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงพูด
หวงเฉียนจวินอดที่จะลอบกล่าวไม่ได้ว่า “จงดูเสีย ขนาดระดับพี่ซูของข้า ยังไม่สนใจเจ้าแม้แต่น้อย!”
ตอนนี้ เรือใต้เท้าไม่โงนเงนอีกต่อไป มันหยุดนิ่งบนแม่น้ำต้าฉางอย่างมั่นคง
ทว่าเสียงคำรามของสัตว์ปีศาจราวกับอสนีบาต มันยังคงดังท่ามกลางราตรี เป็นเสียงกรีดร้องที่ดังและวุ่นวายมาจากพื้นที่ต่าง ๆ ของอาคาร
นี่ทำให้ใบหน้าของทุกคนเคร่งขรึมเล็กน้อย
โชคดีที่นี่เป็นชั้นที่เก้า จึงเป็นการยากที่สัตว์ปีศาจเหล่านั้นจะขึ้นมาถึงได้ในเวลาอันสั้น
ทันใดนั้น ผู้ชายในชุดรบคนหนึ่งได้วิ่งมาถึงชั้นเก้า เขามาหยุดอยู่หน้าชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงอย่างร้อนรน กระซิบบางสิ่งข้างหูของชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วง
หลังจากนั้น ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงก็สั่งว่า “บอกพวกเขา อย่าห่วงเรื่องความปลอดภัยของข้า หลังจากรวมกลุ่มกันแล้ว ไปช่วยจางอี้เหรินล่าสัตว์ปีศาจ ยุติความยุ่งเหยิงนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“ขอรับ!”
ผู้ชายในชุดรบรับคำสั่งก่อนจากไป
“คนในชุดรบเมื่อครู่คือผู้อยู่ขั้นปลายของขอบเขตรวบรวมลมปราณเช่นกัน!”
ดวงตาของเฉิงอู้หย่งหรี่ลงเล็กน้อย
ทว่าชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงกล่าวกับหยวนลั่วซีทั้งรอยยิ้มว่า “ลูกน้องข้าได้รับข่าว ว่ากันว่ามีโจรเพิ่งไปเปิดกรงของสัตว์ปีศาจที่ถูกขังไว้ ตอนนี้จางอี้เหรินกำลังลงมือพร้อมกับลูกน้องของเขา ข้าจึงส่งลูกน้องของตัวเองไปช่วยเช่นกัน เชื่อว่าคงใช้เวลาไม่นาน เรื่องวุ่นวายนี้จะสามารถคลี่คลายได้”
เขาพูดจาฉะฉาน เปี่ยมด้วยความมั่นใจและสงบนิ่ง
แต่ตอนนี้ ซูอี้พลันกล่าวว่า “พวกเราควรไปได้แล้ว”
เมื่อกล่าวเช่นนั้น เขาก็ก้าวมาข้างหน้า
ไปตอนนี้หรือ?
หยวนลั่วซี หวงเฉียนจวิน เฉิงอู้หย่งตกตะลึง ถึงแม้จะสงสัย แต่พวกเขายังตามไปอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงแข็งค้าง รู้สึกไม่ยินดีอยู่ภายใน เขากำลังหาโอกาสสนทนาอย่างอบอุ่นกับหยวนลั่วซีแท้ ๆ ใครจะคาดคิดว่า ซูอี้จะบอกว่าไปได้แล้ว!
ถ้าไปเพียงคนเดียวก็ว่าไปอย่าง แต่เขาดันพาพวกหยวนลั่วซีไปด้วย
นี่ทำให้ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงไม่สามารถปั้นสีหน้าเอาไว้ได้ จนอดที่จะต่อว่าอย่างเย็นชาไม่ได้ว่า
“มีสัตว์ปีศาจอยู่ในเรือ แต่เจ้ากลับจะไปตอนนี้ ช่างโง่เขลานัก! อีกอย่าง เจ้ารนหาที่ตายคนเดียวก็ว่าไปอย่าง แต่กลับลากคนอื่นให้ตายตามไปด้วย ไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยหรือ!?”
ตอนนี้เขาโกรธา จนถึงขั้นปล่อยกลิ่นอายสูงศักดิ์ข่ม ราวกับว่าเขาคือผู้ที่อยู่เหนือผู้อื่นมาตั้งแต่เกิด
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงทราบข้อมูลของซูอี้มาจากองครักษ์แล้ว รู้ว่าซูอี้เป็นเพียงลูกเขยธรรมดาในตระกูลหนึ่งของเมืองกว่างหลิง แถมยังมีระดับการบ่มเพาะอยู่เพียงขอบเขตโคจรโลหิตเท่านั้น
สิ่งเดียวที่ควรค่าแก่การชื่นชม อาจจะมีแค่เรื่องที่เกิดไม่กี่วันก่อน ตอนที่ชายหนุ่มคนนี้เพิ่งชนะจนได้อันดับหนึ่งในงานประลองประตูมังกร
แต่ในสายตาของชนชั้นสูงเช่นเขา ความสำเร็จเล็กน้อยนี้ ไม่ควรค่าที่จะมาสนใจ
ดังนั้น เมื่อเผชิญหน้ากับซูอี้ เขาจึงกล้าที่จะตำหนิโดยไม่กลัวเกรง
สีหน้าของหยวนลั่วซีเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ทว่าซูอี้กลับกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบว่า “ขอพูดหยาบคายเสียหน่อย เพราะเจ้าอยู่ที่นี่ จึงทำให้ที่นี่เป็นสถานที่อันตรายที่สุด เจ้าคงรู้อยู่แก่ใจแล้ว ว่าทำไมสัตว์ปีศาจพวกนั้นถึงถูกปล่อยออกจากกรงในยามราตรีเช่นนี้”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
ใบหน้าของชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงหมองลง ประกายเย็นเยือกปรากฏในดวงตา เพียงแค่คำพูด แต่เหมือนกับสะท้านไปถึงหัวใจ
พวกหยวนลั่วซีอดที่จะประหลาดใจไม่ได้ คุณชายซูสังเกตเห็นบางสิ่งหรือ?
“ใต้ฟ้าเหนือปฐพีไม่มีดีหรือเลว มีเพียงผู้คนเท่านั้นที่เรียกขานพวกมัน เจ้าควรหาทางรอดด้วยตัวเองจะดีกว่า”
ซูอี้ส่ายหน้า ก่อนก้าวไปข้างหน้า
แต่จางตั้วผู้เป็นคนของชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงมาหยุดเขาเอาไว้ ก่อนกล่าวด้วยสายตาเย็นชาว่า “ชายหนุ่มเอ๋ย ก่อนจากไปเจ้าควรพูดให้ชัดเจนเสียก่อน!”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยการคุกคาม
เฉิงอู้หย่งก้าวมาข้างหน้าทันที กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “สหายเอ๋ย มันเป็นเพียงวาทศิลป์เท่านั้น ทำไมถึงเดือดร้อนนัก? ทุกคนถอยคนละก้าว อย่าทำให้เรื่องมันบานปลายจะดีกว่า!”
จางตั้วเมินอีกฝ่าย เขามองเพียงชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วง
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงหงุดหงิดเล็กน้อย สายตาจับจ้องซูอี้ก่อนกล่าวว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะไว้หน้าคุณหนูหยวน ข้าก็เกียจคร้านเกินกว่าจะเอ่ยห้ามเจ้าให้ไป แต่ในเมื่อเจ้ารนหาที่ตาย ก็เชิญไปเพียงคนเดียว อย่าลากผู้อื่นลำบากไปกับเจ้าด้วย!”
“พวกข้ากำลังรนหาที่ตายหรือ พูดอะไรของเจ้า?”
หวงเฉียนจวินเย้ยหยัน
“โอหัง!”
ใบหน้าของจางตั้วหมองหม่น แต่เมื่อเขากำลังจะพูดต่อ ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงโบกมืออย่างหงุดหงิด “ช่างมัน! ให้พวกเขาไปด้วยกัน นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นใครหยิ่งทะนงเช่นนี้!”
เขามองหยวนลั่วซี กล่าวคำสาบานว่า “คุณหนูหยวน อย่ากังวลไป ข้าขอรับปากว่าที่นี่เป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุด!”
ทว่าหยวนลั่วซีส่ายหน้า ก่อนจะกล่าวเสียงแข็ง “ไม่ ข้าจะไปกับคุณชายซู!”
หลังจากนิ่งไป นางเสริมว่า “นายน้อยจือหลี ในฐานะที่เราต่างไม่รู้จักกัน ข้าแนะนำให้เจ้าสงบสติหน่อย คิดให้ดีว่าทำไมคุณชายซูถึงพูดเช่นนี้ อย่าทำตัวเดือดดาลอย่างไร้เหตุผล ความเดือดดาลจะทำให้การตัดสินของเจ้าแย่เอาได้!” นางพูดอย่างเถรตรง
เพราะนางประสบกับบทเรียนที่คล้ายกันในตอนแรก คำพูดเหล่านี้จึงมาจากใจจริงของนาง
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงนิ่งสักพัก ราวกับไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ในใจเกิดความรู้สึกไม่สมเหตุสมผล
นางคือคุณหนูหยวนผู้งามสง่า แต่กลับเลือกไปตายกับเจ้าหนุ่มขอบเขตโคจรโลหิต แทนที่จะเชื่อคำพูดของเขาอย่างนั้นหรือ?
ยิ่งกว่านั้น… นางแนะนำให้เขาสงบสติ คิดถึงสิ่งที่ ‘คุณชายซู’ พูด…
ทันใดนั้น ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงอดที่จะหัวเราะอย่างเกรี้ยวกราดไม่ได้ ด้วยสถานะอันสูงส่งของตน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับบทเรียนเช่นนี้
สิ่งที่ทำให้หงุดหงิดมากที่สุด คือผู้ที่มาสอนสั่งเขา กลับเป็นสาวงามงดที่เขาชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง!
ท้ายที่สุด ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงคล้ายกับหมดอารมณ์ ก่อนถอนหายใจออกมา “คิดว่าเป็นบุตรีคนสุดท้องของตระกูลหยวนจะแตกต่างจากคนธรรมดาเสียอีก ไม่คิดเลยว่าจะเป็นคนที่มีมุมมองคับแคบเช่นนี้ ก็ได้ พวกเจ้าไปให้หมดเลย!”
เขารู้สึกโดดเดี่ยวโดยไร้ผู้ใดล่วงรู้
ไม่นึกเลยคนของมหานครอวิ๋นเหอ และยังเป็นบุตรีของตระกูลหยวน กลับกลายเป็นพวกที่มีดวงตามืดบอด ไม่แม้แต่จะระแคะระคายว่าตัวเขานั้นสูงศักดิ์เพียงไหน!
เขาเต็มใจให้พึ่งพิง เป็นพรที่ผู้อื่นได้แต่ใฝ่ฝันถึง แต่ที่น่าขันคือ คนเหล่านี้ไม่แม้แต่จะรู้…
ช่างโง่เขลานัก!
ในเมื่อพวกเขาเบื่อชีวิตนัก เช่นนั้นก็ปล่อยไปเสีย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ความโกรธในใจของชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงก็ทุเลาลงเช่นกัน
ซูอี้ไม่หยั่งทราบ ในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้อารมณ์ของชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงเปลี่ยนกลับไปมาวุ่นวายหลายตลบ
แต่ต่อให้ทราบรู้ เขาก็ไม่สนใจอยู่แล้ว
เพราะในสายตาของเขา ชายคนนี้ผู้มี ‘ตราประทับบอกตำแหน่ง’ ยิ่งเป็นตัวตนยิ่งใหญ่เท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นปัญหามากเท่านั้น!
แต่น่าเสียดาย เมื่อกลุ่มพวกเขามาถึงบันไดที่พาไปชั้นล่าง กลับต้องหยุดนิ่ง
“ทุกท่าน โปรดกลับไปแต่โดยดี ไม่เช่นนั้น อย่าโทษข้าที่ต้องลงมือ”
ชายวัยกลางคนผู้ดูเหมือนบัณฑิต ยืนอยู่ในเงามืดใต้บันได
แก้มของเขาตอบ ดวงตาหลุบ ทอประกายระยิบระยับ มือขวาจับด้ามดาบที่เอว บรรยากาศเย็นเยือกดุจสายลมยามเหมันต์
ด้านหลังของเขา มีกลุ่มคนอยู่ จำนวนมากกว่าสิบคน แต่ละคนปล่อยจิตสังหาร แผ่กลิ่นอายดุร้ายและกระหายเลือดออกมา
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูอี้อดที่จะถอนหายใจไม่ได้ “ยังช้าไปก้าวหนึ่งสินะ ดูท่า พวกจางอี้เหรินจะไม่สามารถทำให้สัตว์ปีศาจบนเรือสงบลงในเวลาอันสั้นได้”
หัวใจของหยวนลั่วซี เฉิงอู้หย่ง หวงเฉียนจวินตกไปอยู่ตาตุ่มเช่นกัน พวกเขาสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ดูท่าคืนนี้จะมีมากกว่าสัตว์ปีศาจ แต่ยังมีโจรที่ฉวยโอกาสจากความโกลาหลเพื่อวางแผนทำเรื่องชั่วร้ายอีกด้วย!
“คุณชายซู พวกเราควร…”
หยวนลั่วซีกำลังจะถามว่าเขาอยากฝืนฝ่าออกไปหรือไม่
แต่นางเห็นซูอี้กล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “กลับขึ้นไปก่อนก็แล้วกัน สถานการณ์ตอนนี้ ไม่ว่าจะไปที่ไหน มีแต่ถูกกำหนดให้เจอปัญหา แทนที่จะเป็นแบบนั้น สู้รอที่ข้างบนจะดีกว่า ใจเย็น ๆ รอดูการเปลี่ยนแปลง”
เมื่อกล่าวจบ เขาเดินกลับขึ้นไปเส้นทางเดิม
เมื่อเห็นเช่นนี้ คนอื่นตามกลับไป
ชายวัยกลางคนผู้เหมือนบัณฑิตตกตะลึงไปครู่ เขาไม่คาดคิดว่าพวกซูอี้จะเชื่อฟังขนาดนี้
เขาพ่นลมออกจมูกแล้วส่ายหน้าทันที คิดว่าจะเป็นคนเก่งเสียอีก ก็แค่กลุ่มคนขี้ขลาดเท่านั้น
เมื่อเห็นพวกซูอี้ถอยกลับมา ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงตกตะลึงสักพักเช่นกัน จากนั้นมีร่องรอยเย้ยหยันที่ริมฝีปาก ดวงตาเผยแววนึกสนุก