บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 850: ตัวข้าในอดีตชาติ หาใช่ตัวข้า ณ ยามนี้ไม่
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 850: ตัวข้าในอดีตชาติ หาใช่ตัวข้า ณ ยามนี้ไม่
ตอนที่ 850: ตัวข้าในอดีตชาติ หาใช่ตัวข้า ณ ยามนี้ไม่
อีกเพียงครึ่งชั่วยาม อรุณรุ่งก็จะมาเยือน
บนกำแพงเมืองรอบ ๆ เมืองตาข่ายม่วง ค่ายกลปักษาทองปราบเภทภัยกระเพื่อมคลื่นพลังดุจดั่งเพลิงสวรรค์แผดนภาทลายปฐพี
ทัพวิญญาณร้ายซึ่งเดิมบุกรุกเข้ามาในเมืองถูกแสงดาบจากดาบเงากระจ่างสลายไปนานแล้ว
ภายนอกเมืองยังคงมีวิญญาณร้ายมากมายพุ่งมาจากโลกาอันมืดมิดไกลแสนไกล แต่พวกมันต่างดูเหมือนมังกรไร้หัว ไม่ได้เป็นภัยมากนัก
เหนือประตูทิศตะวันออก
จ้าวมังกรนทีปรภพ จักรพรรดิปีศาจเทียนจี และชายในชุดจีนมองไปทางซากโบราณกองตัดสินไกลออกไปด้วยสีหน้าซับซ้อนยิ่ง
แม้จะไม่อาจเห็นการต่อสู้ได้อย่างชัดเจน แต่มารเฒ่าทั้งสามก็กระจ่างดีว่าวิญญาณร้ายอันน่าสะพรึงกลัวซึ่งมีเพียงในตำนานเช่นทูตรับใช้กาฬราตรีถูกสังหารลง!
ส่วนอีกาเก้ามืดมิด นักพรตมารชั่วร้ายและบุตรมารวิบากกรรมนั้นก็คงไม่รอดเช่นกัน!
“ใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจ หายนะซึ่งเพียงพอจะล่มเมืองตาข่ายม่วง และทำลายตระกูลชุยก็ถูกซู… ตัวตนนั้นแก้ได้แล้ว…”
ชายในชุดจีนพึมพำ
“มันจบแล้วสินะ?”
จักรพรรดิปีศาจเทียนจีกระซิบ
เมื่อสัตว์ประหลาดเฒ่าซูลงมือ ในโลกหล้าจะยังมีเรื่องใดที่เขาจบไม่ลงอีกหรือ?
“ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว ว่าเหตุใดสัตว์ประหลาดเฒ่าซูจึงสั่งอพยพคนจากประตูทิศตะวันออกเมื่อกาลก่อน เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการจับเต่าในไห กวาดล้างทุกศัตรูที่มาในคืนนี้!”
ชายชรารำพึง
ทั้งชายในชุดจีนและจักรพรรดิปีศาจเทียนจีต่างพยักหน้า
ยามที่ทูตรับใช้กาฬราตรีปรากฏขึ้นคราแรก หากสัตว์ประหลาดเฒ่าซูลงมือทันที เขาจะทำให้เหล่าจักรพรรดิจากขุมกำลังใหญ่แตกตื่นหนีหายแน่แท้
ในทางกลับกัน การปล่อยศัตรูร้ายเหล่านั้นเข้ามาในเมืองตาข่ายม่วงนั้นเหมือนกับการเชิญเจ้าสู่ไห ด้วยวิธีการของสัตว์ประหลาดเฒ่าซูก็จะเพียงพอจัดการกับศัตรูร้ายเหล่านี้ได้
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่พิสูจน์แล้ว
“โชคร้ายที่เราไร้โอกาสให้หลบหนี…”
ชายในชุดจีนรำพึงอย่างขมขื่น
วาจาของเขาเสียดแทงใจของมังกรเฒ่าและจักรพรรดิปีศาจเทียนจี สีหน้าของทั้งสองดูยากคากเดา
“ไม่ว่าอย่างไร พวกเจ้าก็นับได้ว่ามีผลงานในคืนนี้ เมื่อชุยหลงเซี่ยงกลับมา เขาอาจพิจารณาลดโทษพวกเจ้าก็ได้นะ”
เสียงสุขุมพลันดังขึ้น
ด้วยวาจานั้น สามมารเฒ่าพลันตกใจ และรีบเก็บอารมณ์ของตนเองทันที สายตามองขึ้นไปด้านบน
และเห็นซูอี้ยืนอยู่บนกลางเวหา
สามมารเฒ่าแปลกใจเมื่อบรรยากาศรอบกายซูอี้ไม่ได้ร้ายกาจเยี่ยงกาลก่อนแล้ว แต่กลับไปเป็นตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณเหมือนเช่นกาลก่อน
แม้จะรู้สึกแปลกใจ ทว่าก็ไม่มีผู้ใดกล้าคิดเป็นอื่น
ไม่มีผู้ใดกล้าฉวยโอกาสนี้ทดสอบวิถีเต๋าอันแท้จริงของซูอี้
“ข้าอดซาบซึ้งกับสิ่งที่ใต้เท้าซูพูดไม่ได้จริง ๆ ขอรับ”
ชายชราทักทายอย่างนอบน้อม
จักรพรรดิปีศาจเทียนจีและชายในชุดจีนเองก็มีท่าทางพินอบพิเทาดุจหนูต่อหน้าแมว
ซูอี้หยิบโคมไฟดอกบัวอาญาออกมา และกล่าวว่า “จบเรื่องพวกเจ้าแล้ว เข้าไปซะ”
“ขอรับ/เจ้าค่ะ!”
มารเฒ่าเหล่านี้ไม่กล้าขัดขืน
จักรพรรดิปีศาจเทียนจีและชายในชุดจีนแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปในโคมไฟดอกบัวอาญาก่อน
จ้าวมังกรเฒ่ายังคงลังเลชั่วขณะ “ใต้เท้าซู ในเมื่อทูตรับใช้กาฬราตรีปรากฏขึ้นคืนนี้ หมายความว่า ‘ยมบาล’ ซึ่งลือกันว่าปกครองยมโลกมืดมิดในสมัยโบราณ… ยังมีชีวิตอยู่หรือขอรับ?”
จากคำร่ำลือ ทูตรับใช้กาฬราตรีเป็นข้ารับใช้ของยมบาล!
และ ‘ยมบาล’ ที่ว่านั่นก็เป็นตัวตนอันร้ายกาจยิ่งนัก กล่าวกันว่าสมัยโบราณ ครั้งหนึ่งเขาเคยครอบครองเป็นหนึ่งในภูมิมืดมิด!
ซูอี้เหลือบมองชายชรา และกล่าวว่า “เหตุใดยมบาลจึงไม่ยอมปรากฏมาก่อนหากยังมีชีวิต?”
คนถูกถามครุ่นคิดเล็กน้อย และกล่าวว่า “คงเป็นเพราะเกิดปัญหาขึ้นบางอย่าง บางทีเขาอาจถูกกักไว้ที่ใดสักที่โดยไม่อาจออกมา หรือบาดเจ็บสาหัสและยังไม่ฟื้นตัวก็เป็นได้ขอรับ”
ชายหนุ่มกล่าวอย่างเฉยเมย “งั้นเจ้าคิดว่า แม้ตัวตนนี้จะยังมีชีวิตอยู่ แต่จะเป็นภัยได้สักเพียงไร?”
“นี่…”
ชายชราผอมแห้งพลันอับจนวาจา
เขาเห็นได้ว่าตัวตนในตำนานตรงหน้าเขาซึ่งครั้งหนึ่งเคยสยบสวรรค์แทบเท้าไม่ได้ใส่ใจกับ ‘ยมบาล’ แม้แต่น้อย!
ชายชราสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวว่า “ใต้เท้าซู ตาเฒ่าผู้นี้มีคำขออันไร้เมตตา หวังว่าท่านจะ…”
ซูอี้กล่าวขัด “สัตว์เลื้อยคลานเฒ่า ในเมื่อรู้ว่ามันเป็นคำขออันไร้เมตตา อย่าคิดเชียวว่าข้าจะช่วยเจ้าในคืนนี้ เพราะข้าเมตตาพวกเจ้าโดยมีเหตุมาจากเรื่องของข้า กล่าวได้ว่าเป็นการผ่อนปรนถ้อยอาศัย นับเป็นการให้เกียรติเจ้าที่ช่วยเหลือ เข้าใจหรือไม่?”
ชายชราดูสลดไปครู่หนึ่ง พึมพำตอบว่า “เข้าใจแล้ว”
เขาเปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งเข้าไปในโคมไฟดอกบัวอาญา
ขณะนั้น ร่างของชุยฉางอันก็ทะยานเข้ามาแล้ว
นอกจากผู้นำตระกูลชุย ยังมีเฟ่ยคงถงและเฟ่ยเหยียนจือมาด้วย
“ท่านลุงซู”
ชุยฉางอันก้าวออกมาทักทายเขา
เฟ่ยคงถงเองก็รีบร้อนคำนับเขา และกล่าวอย่างตื้นตัน “ขอบคุณใต้เท้าซูที่เมตตา ให้อภัยไว้ชีวิตหลานสาวของข้าด้วย!”
“ขอบคุณใต้เท้าซูที่ไว้ชีวิต!”
เฟ่ยเหยียนจือผู้บาดเจ็บสาหัสเองก็ก้มหัวคำนับเขา
เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำจากเผ่ามารโห่วได้เรียนรู้ตัวตนของซูอี้จากปากของเฟ่ยคงถงเป็นที่เรียบร้อย ยามเผชิญหน้าซูอี้ในครานี้ สีหน้าของนางจึงเต็มไปด้วยความหวาดกลัวยำเกรง
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “โทษตายละเว้นได้ แต่โทษเป็นไม่อาจเลี่ยง จากนี้ไป เจ้าก็ควรไปสำนึกตนในเรือนจำกองตัดสินเสีย และรอชุยหลงเซี่ยงกลับมาบัญญัติโทษให้เจ้า”
ด้วยวาจานั้น เฟ่ยเหยียนจือก็อึ้งราวถูกอสนีบาตฟาด
เฟ่ยคงถงสูดหายใจลึก ๆ และตำหนิ “นับเป็นมหาลาภแล้วที่เจ้าได้ใต้เท้าซูไว้ชีวิต เหยียนจือ เจ้ายังไม่รีบขอบคุณอีกหรือ?”
เฟ่ยเหยียนจือตัวสั่น และกล่าวอย่างขมขื่น “ขอบคุณใต้เท้าซูที่เมตตา!”
ชายหนุ่มไม่พูดพล่าม เขากักขังเฟ่ยคงถงและเฟ่ยเหยียนจือไว้ในโคมไฟดอกบัวอาญาทันที
เขาไร้ปรานีสำหรับศัตรู
แม้อีกฝ่ายจะก้มหัวยอมแพ้ แต่ก็ต้องชดใช้การกระทำเก่าก่อน
“อย่าได้เผยสิ่งที่ข้าทำในคืนนี้”
ซูอี้หันไปกล่าวกับชุยฉางอัน
ชุยฉางอันอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มอย่างขมขื่น “ท่านลุงซู ศึกก่อนหน้านี้ พวกผู้เฒ่าในตระกูลชุยของข้าเห็นกันหมดแล้ว ข้าเกรงว่า… คงยากจะซ่อนได้นะขอรับ”
ซูอี้หัวเราะ “เจ้าบื้อ สำหรับคนอื่น ๆ ตัวข้าในอดีตชาติเหมือนข้าในปัจจุบันนักหรือ?”
จากนั้น เขาก็หันหลังจากไป
ความปั่นป่วน ณ คืนนี้จบลง
ทว่า ในใจซูอี้ไร้ทั้งความเศร้าหมองและปรีดา
ท้ายที่สุดแล้ว เหตุผลที่เขาปราบเหล่าศัตรูในคืนนี้ล้วนมาจากพลังมหาวิถีจากอดีตชาติของเขาทั้งสิ้น
มันไม่ต่างจากการใช้อำนาจภายนอกเลย
จนกระทั่งร่างของซูอี้หายลับไป ชุยฉางอันจึงพลันเข้าใจและกล่าวกับตนเอง
“นั่นสิ ทุกวันนี้มีใครบ้างที่รู้ว่าท่านลุงซูเวียนวัฏสงสาร? เรื่องในวันนี้ ขอเพียงเกี่ยวกับตัวตนในอดีตชาติของเขาก็พอแล้ว”
“ยิ่งกว่านั้น ในศึกที่ผ่านมา ตัวตนที่ได้เห็นรูปลักษณ์อันชัดเจนของท่านลุงซู ไม่ตายก็ถูกผนึกไว้ทั้งสิ้น…”
…
คืนนั้น เหล่าคนใหญ่คนโตตระกูลชุยล้วนถูกส่งไปอารักขาประตูทิศตะวันออกด้วยกัน
จนกระทั่งรุ่งสาง
ทัพวิญญาณร้ายท่ามกลางความมืดทั่วโลกหล้าเริ่มล่าถอย เมื่อเห็นเช่นนี้ ทุกผู้ในตระกูลชุยล้วนโล่งใจปรีดา
ทุกคนล้วนรับรู้ว่าหายนะคืนนี้สลายไปแล้ว และในที่สุดก็ผ่านพ้นค่ำคืนอันมืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์นี้ไปเสียที
และตระกูลชุยของพวกเขารอดพ้นหายนะ รับแสงตะวันรุ่งวันถัดไป!
“ชนะแล้ว! ฮ่า ๆๆ ชนะแล้วโว้ย!!!”
ใครบางคนตื่นเต้นเสียจนลุกขึ้นมาเสสรวลเต้นรำ
“แม้เมืองตาข่ายม่วงจะเสียหายหนัก แต่ใครเล่าจะกล้าเชื่อว่าตระกูลชุยไร้ผู้บาดเจ็บล้มตาย?
บางผู้ขมวดคิ้วท่ามกลางเสียงโห่ร้องตื่นเต้น
“นี่คือชัยชนะอันไม่เคยปรากฏ! ไม่เพียงปราบทัพวิญญาณร้าย แต่กระทั่งจักรพรรดิจากขุมกำลังใหญ่ยังโดนเชือดแทบเกลี้ยง!”
“เรื่องในคืนนี้จะต้องกระฉ่อนไปทั่วโลกหล้าเป็นแน่แท้ และขุมอำนาจใหญ่ซึ่งเป็นปรปักษ์กับเราก็เกรงว่าคงต้องรีบจัดงานศพกันแล้ว!”
“เรื่องในคืนนี้ไม่ควรถูกเพิกเฉย พวกเขาต้องชดใช้!”
…
ท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่ เสียงหนึ่งพลันถามขึ้น “เจ้าตระกูล ก่อนหน้านี้ ท่านใดหรือคือผู้อาวุโสที่ช่วยเราขจัดเภทภัย?”
ด้วยวาจานั้น ทุกสายตาก็เบนมายังชุยฉางอัน
พวกเขาทั้งหมดรู้ดีว่าการที่ตระกูลชุยของพวกเขารอดคืนนี้โดยไร้ผู้บาดเจ็บล้มตายนั้น ต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากบุคคลปริศนาผู้จุติลงมาดุจเทพเซียน
คงไม่เป็นการกล่าวเกินไปหากจะพูดว่าบุคคลลึกลับนี้ช่วยตระกูลชุยสยบหายนะอันไม่เคยปรากฏตราบนาน!
ยิ่งกว่านั้น พวกเขาในค่ายกลยังเห็นถนัดตาว่าบุคคลลึกลับผู้นั้นสามารถสังหารจักรพรรดิอย่างง่ายดาย!
ด้วยเหตุนี้ ใครเล่าจะไม่สงสัยถึงตัวตนของบุคคลลึกลับผู้นี้?
มีเพียงเซวียฮว่าหนิงที่ดูไม่สบายใจเล็กน้อย
นางย่อมรู้ว่าบุคคลลึกลับผู้นั้นเป็นใคร แต่นางรู้ดีว่าฐานะของตัวตนนั้นไม่อาจถูกเปิดเผยเยี่ยงนี้
ทว่า ชุยฉางอันกลับกล่าวอย่างเฉยเมย “ข้าว่าเจ้าถามโดยรู้อยู่แล้วกระมัง ในภูมิมืดมิดนี้ เจ้าเคยได้เห็นผู้ใดมีวิชาดาบแข็งแกร่งถึงเพียงนี้บ้าง?”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าว รอบข้างพลันเงียบสงัด
หลายคนพอจะเดาบางอย่างได้แล้ว สีหน้าของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความตกตะลึง
“หรือจะเป็น… ใต้เท้า… เป็นใต้เท้าซูจริง ๆ หรือ!?” ผู้เฒ่าบางคนกล่าวขึ้นเสียงสั่นตะกุกตะกัก
ชุยฉางอันพยักหน้า
มันเป็นเพียงการผงกหัว แต่บรรยากาศรอบข้างพลันเดือดพล่านขึ้นมา
กระทั่งเหล่าตัวตนบรรพกาลที่มีชีวิตแสนนานยังตื่นเต้นไร้วาจา
ที่แท้ก็เป็นปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน!!!
ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยได้เห็นเบาะแสบางอย่าง และพอคาดเดาได้ในใจ ทว่าพวกเขาไม่อาจปักใจเชื่อ
ทว่ายามนี้ เมื่อได้รับการยืนยันจากผู้นำตระกูล ใครเล่าจะไม่ตะลึงตื่นเต้น?
“ท่านเจ้าตระกูล ใต้เท้าซูอยู่หนใดแล้วขอรับ? ข้าต้องไปกราบของพระคุณท่านเพื่อแสดงความตื้นตันด้วยตนเอง!”
ใครบางคนกล่าวอย่างตื่นเต้น
ชุยฉางอันถอนหายใจ “ทุกคน สิ่งที่ลงมือเมื่อครู่เป็นเพียงพลังมหาวิถีที่ท่านลุงซูทิ้งไว้ในตระกูลชุยเรานะ”
หลังจากกล่าวจบ เขาก็อธิบายเรื่องของดาบเงากระจ่าง และศิลาธำรงวิถี
ผู้เฒ่ามากมายในตระกูลชุยเองก็รู้เรื่องนี้ และยามนี้เองที่ในที่สุด พวกเขาก็เข้าใจ
ทว่าเมื่อรู้คำตอบ มันก็ทำให้ทุกคนซึ่งรับฟังอยู่รู้สึกจนใจเหลือแสน
ที่แท้นี่ก็ไม่ใช่การกลับมาของตำนานสูงสุดแห่งกาลก่อน แต่เป็นเพียงเสี้ยวพลังมหาวิถีที่เขาทิ้งไว้ในตระกูลชุย…
จากนั้นจึงเกิดเสียงรำพึงขึ้นในบริเวณ
ทุกคนต่างผิดหวัง
มีเพียงชุยฉางอันและเซวียฮว่าหนิงที่มองหน้ากันอย่างผ่อนคลาย
ผ่านไปได้เสียที!