บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 853: เก้ายมบาลต้องห้าม วงล้อแห่งชะตา
ตอนที่ 853: เก้ายมบาลต้องห้าม วงล้อแห่งชะตา
ผอซัวเอื้อมมือไปรับขนนกสีดำที่เสียหายมา และกล่าวว่า “อำนาจดั้งเดิมของขนนกนี้สิ้นแล้ว เหลือเพียงปราณที่เกี่ยวเนื่องกับหายนะอยู่บ้างเท่านั้น…”
นางกล่าวถึงตรงนี้ก็ส่งเสียงเบา ๆ ดูเหมือนจะค้นพบสิ่งใหม่
หลังครุ่นคิดสักพัก แต้มชาด ณ หว่างคิ้วของนางพลันวูบไหวดุจกระเพื่อม และคู่เนตรลึกล้ำดุจนภาพร่างดาวก็ปรากฏแสงสีทองเรื่อ
ครึ่งอึดใจถัดมา ผอซัวก็กล่าวอย่างแปลกใจ “มีตราประหลาดที่ยากตรวจจับอยู่ในขนนกนี้ด้วย สหายเต๋าดูสิ”
นิ้วเรียวของนางแตะที่ขนนกสีดำ
วูบ!
ขนนกสะท้านไหว เพลิงศักดิ์สิทธิ์สีเทาขาวปะทุขึ้น และอักขระต้องห้ามก็ค่อย ๆ ควบแน่นเป็นสายกลางอากาศ วูบไหวเป็นรูปร่างคล้ายวงล้อลึกลับ
เพียงแค่ว่าภาพนั้นเลือนรางเกินไป กระทั่งอักขระต้องห้ามยังจางลง
ทว่าซูอี้มองปราดเดียวก็จำได้ว่าวงล้ออักขระต้องห้ามนี้เองที่ช่วยอีกาเก้ามืดมิดหนีไปได้!
“ข้าได้ยินว่าเมื่อสมัยโบราณ ยมบาลมีสมบัติวิเศษต้องห้ามเก้าอย่าง เรียกว่า ‘เก้ายมบาลต้องห้าม’”
ซูอี้กล่างพลางลูบคาง “หนึ่งในสมบัติวิเศษเหล่านั้นมีรูปร่างคล้ายวงล้อศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสลักแผนที่ลับวิถีทั้งหกและประทับขุมนรกทั้งเก้าเอาไว้ จึงถูกเรียกว่า ‘วงล้อแห่งชะตา’ หรือจะเป็นสิ่งนี้?”
เก้ายมบาลต้องห้าม!
ในสมัยโบราณ มีสมบัติต้องห้ามเก้าชิ้นซึ่งเพียงพอจะทำให้เหล่าจักรพรรดิทั่วโลกหล้าตัวสั่น
ทว่า หลังจากล่วงเลยไปหลายต่อหลายปี เก้ายมบาลต้องห้ามก็หลงเหลือเพียงตำนาน ไม่อาจจับต้อง
ในอดีตชาติ ซูอี้ไม่เคยได้เห็นสมบัติเหล่านี้ด้วยตาตนเองยามท่องทั่วภูมิมืดมิด
“ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน และพอจะตัดสินได้ว่าพลังต้องห้ามนี้เกี่ยวพันกับวงล้อแห่งชะตาจริง ๆ”
ผอซัวกล่าวอย่างนุ่มนวล “เพราะจากคำร่ำลือ อำนาจของวงล้อแห่งชะตานั้นไม่อาจคาดเดา และยังสามารถบดขยี้ผลกรรมเก่าก่อน แก้หายนะให้แก่โลกหล้า แสวงลาภเลี่ยงเคราะห์ได้”
“บางที อาจเป็นเพราะพลังของวงล้อแห่งชะตาที่ทำให้อีกาเก้ามืดมิดมีโอกาสหนีพ้นจากมือเจ้า”
นางคือจิตวิญญาณอันเกิดจากพฤกษาหมื่นวิถีซึ่งอยู่มาแต่โบราณ ความลับที่นางรู้จึงย่อมกว้างไกลเกินเทียบกับคำว่าธรรมดาได้
ซูอี้กล่าวอย่างครุ่นคิด “หากเจ้าว่าเช่นนั้น ยมบาลผู้แต่เดิมทำให้ชีวิตหลายร้อยล้านในภูมิมืดมิดหวาดกลัวก็คงยังมีชีวิตอยู่จริง ๆ และยามนี้ก็เป็นไปได้มากว่าเขากำลังซ่อนตัวในพื้นที่ต้องห้ามแห่งหนึ่งในเมืองมรณะ”
ผอซัวเก็บขนนกแตกหักนั้นคืนให้ซูอี้ แล้วเม้มปากเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ในเมื่อเจ้าสนใจเรื่องนี้ ไฉนเล่าจึงไม่ไปเมืองมรณะด้วยตนเอง?”
ซูอี้ถอนใจเบา ๆ “การฝึกฝน ณ ยามนี้ของข้ายังอ่อนแอเกินไป ต้องเกิดอุบัติเหตุขึ้นแน่แท้”
ผอซัวกล่าวด้วยแววตาแปลก ๆ “หากจักรพรรดิซึ่งตายด้วยมือสหายเต๋าเมื่อคืนมาได้ยินวาจาเหล่านี้เข้า ข้าล่ะไม่รู้จริง ๆ ว่าจะรู้สึกเช่นไรกัน”
ชายหนุ่มหัวเราะกล่าว “ชัยชนะวันนี้ไม่ต่างกับการใช้อำนาจจากภายนอกเลย แต่หากเจ้าจะไปเมืองมรณะกับข้าล่ะก็ ข้าจะยินดีนัก”
องค์วิญญาณไท่ซู่อดยิ้มเย้าไม่ได้ “ไม่มีทาง หากข้าไปยังเมืองมรณะแล้วถูกสหายเต๋าลักพาตัวขึ้นมา ข้าจะทำเช่นไร?”
ซูอี้ขมวดคิ้ว “ในความคิดเจ้า ข้าเป็นพวกคิดร้ายเช่นนั้นหรือ?”
หญิงสาวกล่าวอย่างนุ่มนวล “เจ้าเป็นเช่นนั้นในสายตาชุยหลงเซี่ยง”
ซูอี้ “…”
เขายิ้มอย่างขมขื่น และกล่าวว่า “ช่างเถิด ไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว”
กล่าวจบ เขาก็นำโคมไฟดอกบัวอาญาออกมาส่งให้ผอซัว “ในนี้มีโครงกระดูกวิญญาณร้ายและราชาโฉดแห่งนรกทมิฬผนึกอยู่ ตนแรกเต็มไปด้วยบาปกรรม ตนหลังมีที่มาแห่งมหาวิถีเกี่ยวพันกับขุมนรก”
ผอซัวชะงักไปครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “ใช้งานข้าอีกแล้วหรือ?”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “ผู้มากฝีมือทำงานหนักเสมอ และอำนาจที่เจ้ามีก็สูงส่งห่างไกลจากตัวตนต่ำต้อยในขอบเขตวงล้อวิญญาณเช่นข้านัก”
นางระเบิดหัวเราะออกมา “หากเจ้า ซูเสวียนจวินเป็นตัวตนต่ำต้อย นั่นไม่ทำให้ผู้ต่ำต้อยยิ่งกว่าเจ้าทั่วโลกหล้าจมดินไปเลยหรือไร?”
สำหรับสตรีผู้นี้ นางไม่ได้สนใจระดับฝึกฝนของซูอี้แม้แต่น้อย
ยิ่งกว่านั้น ตัวตนเยี่ยงซูเสวียนจวินจะถูกวัดค่าด้วยระดับการฝึกฝนได้เช่นไร?
ในขณะที่กำลังพูด ผอซัวก็รับโคมไฟดอกบัวอาญามาแล้ว นางมองมันผ่าน ๆ และตอบว่า “การหล่อหลอมอำนาจชั่วร้ายเช่นนี้คงต้องใช้เวลานาน”
ซูอี้พยักหน้า ลุกขึ้นจากเก้าอี้หวายพลางกล่าว “จากนี้สักพัก ข้าจะออกจากเมืองตาข่ายม่วงไปยัง ‘เขตจัตุรัสผี’ หากเจ้าอยากท่องโลกกว้าง จะไปกับข้าก็ย่อมได้”
กล่าวจบ เขาก็ก้าวเดินจากไปแล้ว
“คนผู้นี้คิดพาตัวข้าไปอีกแล้ว…”
ผอซัวพึมพำกับตนเอง ก่อนจะถามว่า “สหายเต๋าจะไปทำสิ่งใดที่เขตจัตุรัสผีหรือ?”
“ไปเผ่าปีศาจงู”
เสียงของซูอี้ยังสะท้อนอยู่ ทว่าตัวของเขาออกจากพิมานเครือทองไปแล้ว
“เผ่าปีศาจงู เขาจะไปหาแม่นางเย่อวี๋หรือ?”
ผอซัวแปลกใจ
…
เมื่อแสงอรุณทะลวงความมืดมิดแห่งภูมิ ค่ำคืนเทศกาลหมื่นโคมก็สลายหาย
หลังจากจากจร วิญญาณร้ายประหลาดซึ่งกระจายอยู่ทั่วโลกหล้าก็มีนับไม่ถ้วน
ท่ามกลางแสงรุ่งเช้า
นอกเมืองตาข่ายม่วงมีซากปรักหักพังอยู่ทุกที่
ไม่รู้ว่ามีถนนตรอกซอยมากเพียงไรในเมืองที่เหลือเพียงซาก ไม่รู้กี่อาคารที่ถูกลบหายจากพื้นในหายนะเมื่อคืนก่อน
ทุกสิ่งล้วนเป็นสื่อถึงโศกนาฏกรรมเมื่อคืนวาน!
ทว่าใบหน้าของสมาชิกตระกูลชุยกลับเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
พวกเขาล้วนรู้ว่าหลังเหตุหายนะเมื่อคืน ด้วยอำนาจของตระกูลชุย คงใช้เวลาไม่นานก่อนที่เมืองตาข่ายม่วงนี้จะกลับมารุ่งเรืองเฟื่องฟูดังเดิม!
และในวันเดียวกัน ข่าวเกี่ยวกับ ‘ศึกเมืองตาข่ายม่วง’ ก็แพร่กระจายราวติดปีก ทำให้เกิดเสียงฮือฮา
โลกหล้าตะลึง!
“ใครเล่าจะคิดว่าไม่เพียงตระกูลชุยจะรอดคืนเทศกาลหมื่นโคม แต่ยังชนะอย่างขาดลอย!”
บางผู้อัศจรรย์ใจ
ก่อนการมาถึงของเทศกาลหมื่นโคม ตระกูลชุยแห่งเมืองตาข่ายม่วงได้ดึงดูดความสนใจจากทั่วโลกหล้าดุจตาแห่งพายุ
ทุกคนรู้ว่าเมื่อไร้ชุยหลงเซี่ยงดูแล ตระกูลชุยย่อมต้องได้รับความเสียหายยามอีกาเก้ามืดมิดมาเยือน
ทว่าไม่มีผู้ใดคาดเลยว่ายามผ่านราตรีนั้น เมืองตาข่ายม่วงจะไม่ได้แตกพ่าย และตระกูลชุยก็ไม่ได้ถูกทำลาย ในทางกลับกัน ทัพวิญญาณร้ายและเหล่าจักรพรรดิจากขุมกำลังใหญ่เสียเองที่ล้มตายมลายสูญ!
เรื่องนี้ร้ายกาจอย่างไม่อาจปฏิเสธ!
“จักรพรรดิสิบสี่คนล้มตาย และสี่ในนั้นยังอยู่ในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำด้วย!?”
“ในภูมิมืดมิดทั้งมวล นานเพียงไรแล้วที่ไร้ศึกนองเลือดน่าหวาดหวั่นเพียงนี้?”
“วิถีลึกล้ำเป็นดั่งสรวง จักรพรรดิเป็นดุจเทพ ไม่ว่าผู้ใดในพวกเขาล้วนคือยักษ์ใหญ่ผู้ยืนสูงสุดในโลกหล้า ทว่ายามนี้ จักรพรรดิเหล่านี้กลับล้มตายในเมืองตาข่ายม่วง! นี่ก็ช่างน่าเหลือเชื่อ…”
เสียงฮือฮาโกลาหลเกิดขึ้นทั่วเขตแดนและเมืองสำคัญทั่วเขตราชาหกวิถี
ผู้ฝึกตนทุกผู้ที่ได้ยินข่าวต่างรู้สึกเหมือนฝันเกินจริง
เพราะการล้มตายของจักรพรรดิเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง
ทว่าคืนก่อน กลับมีกลุ่มจักรพรรดิล้มตายกันเป็นเบือในเมืองตาข่ายม่วง ข่าวเช่นนี้จึงชวนอกสั่นขวัญแขวนยิ่งนัก!
ด้วยข่าวแพร่ออกไป ความจริงและรายละเอียดบางอย่างก็เริ่มเป็นที่ล่วงรู้
“คืนก่อนในเมืองตาข่ายม่วง ปรากฏว่าผู้ที่สังหารกลุ่มจักรพรรดิและกำจัดทัพวิญญาณร้าย… ที่แท้ก็เป็นพลังมหาวิถีที่ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินทิ้งไว้ในตระกูลชุย!!”
ความจริงนี้ทำให้โลกผู้ฝึกตนในเขตราชาหกวิถีเดือดพล่านระเบิดตู้มโดยพลัน
ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน!
สมญานามนี้สื่อถึงตำนานไร้เทียมทานสยบสวรรค์!
ในสายตาของเหล่าจักรพรรดิ เขาคือราชันย์เหนือจักรพรรดิทั้งมวล
ในสายตานักดาบ เขาคือจุดสูงสุดแห่งนักดาบในโลกหล้า ไร้เทียบทั้งในอดีตและปัจจุบัน!
ในสายตาของกลุ่มเต๋าต่าง ๆ เขานั้นเหมือนนายเหนือวิถีนับหมื่น เป็นปรมาจารย์หนึ่งเดียวผู้ยืนค้ำเหนือขอบเขตจักรพรรดิ!
หลังจากรับรู้ว่าคืนก่อน เป็นฝีมือพลังมหาวิถีของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินซึ่งทิ้งไว้ช่วยตระกูลชุยแห่งเมืองตาข่ายม่วงแก้วิกฤต สังหารเหล่าจักรพรรดิและปราบทัพวิญญาณร้าย
ในขณะที่คนทุกผู้ตกตะลึง พวกเขาเองก็โล่งใจ
ด้วยอำนาจของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน ตระกูลชุยจะถูกทำลายได้เช่นไร?
จักรพรรดิเหล่านั้นและทัพวิญญาณร้ายจะเอาสิ่งใดไปสู้?
จริงอยู่ที่ผู้คนทั่วโลกหล้าต่างรู้ว่าปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินจากไปอย่างเป็นปริศนาตั้งแต่ห้าร้อยปีก่อน ทว่าใครเล่าจะลืมความร้ายกาจของตำนานไร้พ่ายนี้ได้?
ใครเล่าจะลืมว่ายามเมื่อเขาท่องภูมิมืดมิด ทุกกลุ่มเต๋าต่างต้องตัวลีบมองเขาดุจเทพเจ้า?
เมื่อข่าวแพร่งพรายออกไป ทั่วเขตราชาหกวิถีและหกเขตสิบสามแดนดินทั่วภูมิมืดมิดก็เซ็งแซ่ฮือฮา
ตำนานนั้นจากไปแสนนาน
ทว่าอำนาจและเกียรติภูมิของมัน ใครเล่าจะกล้าลืม?
ณ วันเดียวกัน
สามตระกูลโบราณ ชวี หงและตั้นไถ รวมถึงเผ่ามารโห่วในเขตเทวากำสรวลต่างก็ตกตะลึงเช่นกัน
บรรยากาศของพวกเขามืดหม่นสิ้นหวัง ดูราวนางสนมไว้ทุกข์!
ศึกนี้ ไม่เพียงพวกเขาต้องเสียจักรพรรดิในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำไปฝ่ายละคนเท่านั้น แต่ยังเสียตัวตนจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำไปอีกมากมาย!
สำหรับขุมกำลังระดับสูงสุดเช่นพวกเขา นี่ถือเป็นความเสียหายใหญ่หลวงพอที่จะสั่นคลอนรากฐานกำลังของพวกเขาได้!
ควรค่าจดจำว่าตัวตนขอบเขตจักรพรรดินั้นไม่ใช่ผักกาดจีนอันหาได้ทั่วไป ในหมู่ผู้ฝึกตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณนับพันหมื่น อาจจะไม่มีผู้ใดในหมู่พวกเขาเลยก็ได้ที่สามารถพิสูจน์เต๋าขึ้นเป็นจักรพรรดิสำเร็จ!
และตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำนั้นก็ยิ่งหาได้ยากกว่างมเข็มในสมุทรแม้จะเป็นสำหรับขุมกำลังสูงสุดก็ตามที เมื่อใดที่สูญสิ้นไปสักคน นั่นหมายถึงเสียหายหนักไร้ใดเทียบ!
และยังเป็นวันนี้เองที่ตระกูลชวี ตระกูลหง ตระกูลตั้นไถและเผ่ามารโห่วได้รับจดหมายจากเจ้าตระกูลชุย ชุยฉางอัน
เนื้อหาในจดหมายแทบจะเหมือนกันหมด
หนึ่งคือ คืนสมาชิกตระกูลชุยซึ่งพวกเขาจับตัวไปได้กลับมาทั้งหมด
สอง ให้ขอขมาและชดใช้ความสูญเสียแก่ตระกูลชุย
หากไม่ทำเช่นนั้นในสิบวัน ตระกูลชุยจะต่อสู้กลับอย่างเต็มอัตรา!
และในขณะที่โลกหล้ากำลังสั่นสะท้านนี้เอง
นอกเมืองตาข่ายม่วง
แสงตะวันยามเย็นสาดส่อง รอบด้านหม่นแสงแผ่วบาง
เรือล่องล้อเมฆาขนาดร้อยจั้งลำหนึ่งบดเมฆาท่ามกลางพลบค่ำ ล่องลิ่วสู่เมืองตาข่ายม่วง
บนเรือล่องล้อเมฆานั้น
กลุ่มยอดฝีมือล้อมร่างของชายวัยกลางคนในอาภรณ์สีม่วงผู้หนึ่งดุจดาวล้อมเดือน ทำให้ชายวัยกลางคนชุดม่วงผู้นี้ดูเหนือธรรมดายิ่งนัก
ร่างของเขาสูงสง่า เปี่ยมอำนาจยิ่งใหญ่ และในขณะนี้ เขากำลังมองไปยังโครงสร้างของเมืองตาข่ายม่วงอันเก่าแก่จากระยะไกล
ครู่ต่อมาชายวัยกลางคนชุดม่วงก็กล่าวขึ้นว่า
“ช่างบังเอิญจริงแท้ที่ข้ามาที่นี่ ณ ยามนี้ ไม่เพียงมีเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพปรากฏกาย แต่กระทั่งพลังมหาวิถีของบรรพชนข้ายังพลิกกระแสฆ่าศัตรูในตระกูลชุยเมื่อคืนได้อีก…”