บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 854: วายร้ายน่ารังเกียจนี้ช่างน่าขัน
ตอนที่ 854: วายร้ายน่ารังเกียจนี้ช่างน่าขัน
เรือล่องล้อเมฆาค่อย ๆ เทียบลงตรงหน้าประตูทิศตะวันออกของเมืองตาข่ายม่วง
ชายวัยกลางคนในชุดสีม่วงก้าวลงจากเรือก่อนใคร
เขาเหลือบมองสองรูปสลักหินเซี่ยจื้อและปี้อั้นซึ่งอารักขาประตูทั้งสองด้าน ก่อนจะกล่าวชมเชย
“ตระกูลชุยนั้นควรค่าเป็นตระกูลโบราณซึ่งอยู่รอดนับแต่อดีตถึงปัจจุบัน พวกเขามีมรดกเหนือธรรมดา แม้แต่รูปปั้นหินทั้งสองก็มีพลังแห่งเทพแล้ว!”
กลุ่มยอดฝีมือเบื้องหลังชายวัยกลางคนในชุดสีม่วงต่างตอบเห็นด้วยผ่านรอยยิ้ม สีหน้าของพวกเขาเจือความเกรงขาม
“สหายเต๋าหร่าน นี่คือครั้งแรกที่ข้าและเหล่าสหายเต๋ามายังเมืองตาข่ายม่วง ดังนั้นคงต้องรบกวนเจ้านำทางแล้ว”
ชายวัยกลางคนในชุดสีม่วงมองไปยังคนผู้หนึ่ง
ชายผู้นี้สวมชุดดำ ถือขลุ่ยหยกไว้ในมือ
เขาคือหร่านเทียนเฟิง ผู้อาวุโสจากสำนักนภายมโลก
ผู้ฝึกฝนกายเนื้อซึ่งพ่ายด้วยมือของซูอี้!
“ใต้เท้าโปรดอย่าถ่อมตน นี่เป็นสิ่งที่คนแซ่หร่านควรทำอยู่แล้ว”
หร่านเทียนเฟิงตอบรับด้วยสีหน้าจริงจัง
จากนั้น เขาก็เดินตรงไปสู่ประตูเมือง
ที่นั่นมีกองกำลังยอดฝีมือจากตระกูลชุยประจำการอยู่
ผู้นำเป็นชายรูปร่างกำยำในชุดเกราะหนัก
“รบกวนสหายให้ติดต่อเจ้าตระกูลหน่อย ว่าหร่านเทียนเฟิงจากสำนักนภายมโลกพาแขกผู้มีเกียรติกลุ่มหนึ่งจากพันธมิตรเสวียนจวินแห่งเก้ามหาแดนดินมาขอเข้าพบ”
หร่านเทียนเฟิงโค้งหัวทักทายเล็กน้อย และแจ้งเจตนาของเขา
ชายร่างกำยำพลันตกใจ ไม่กล้าละเลย เขากุมกำปั้นคำนับและกล่าวว่า “ใต้เท้าโปรดรอสักครู่”
…
ตระกูลชุย
หอพินิจอุดร
“หร่านเทียนเฟิงจากสำนักนภายมโลกมาเยือนพร้อมยอดฝีมือจากพันธมิตรเสวียนจวินแห่งเก้ามหาแดนดินหรือ?”
ชุยฉางอันตกใจ คิ้วย่นเข้าหากัน “พวกเขาบอกจุดประสงค์ของตนหรือไม่?”
พ่อบ้านเฒ่าผู้มารายงานข่าวส่ายหน้า “ไม่ขอรับ”
ชุยฉางอันครุ่นคิดเล็กน้อย และกล่าวว่า “เจ้ารอที่นี่ก่อน”
กล่าวจบ เขาก็ลุกขึ้นและรีบร้อนออกไปจากหอพินิจอุดร
…
“พรุ่งนี้ ข้าจะมอบยันต์ลับให้เจ้าถือติดตัวไว้”
ในศาลา ซูอี้ใช้หนึ่งมือไพล่หลัง อีกมือถือกรรไกรตัดแต่งต้นไม้เขียวชอุ่มในกระถางข้างหน้าต่าง
“ขอรับ”
ชายชราตาบอดตอบรับ
แต่เดิมเขาวางแผนจะออกจากเมืองตาข่ายม่วงวันนี้ และออกสู่แดนบรรพชนของเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพ
ทว่า อวิ๋นจือจิ่วก็อดมิได้ที่จะอยู่ต่อตามวาจาของซูอี้
“คุณชายซู ท่านมีแผนใดต่อหรือ?”
อวิ๋นจือจิ่วเอ่ยถาม
“เจ้ายังจำเจ้าหนูเย่ซุ่นนั่นได้หรือไม่? อีกสักพักข้าว่าจะไปยังเขตจัตุรัสผีเพื่อส่งเขาคืนเผ่าปีศาจงู แล้วก็… รับสมบัติอีกชิ้นคืนด้วย”
ซูอี้กล่าวพลางตัดแต่งต้นไม้
สมัยก่อนที่เขาจะเวียนวัฏสงสาร เขาเคยมอบ ‘ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์’ อันภาคภูมิที่สุดเล่มหนึ่งในอดีตชาติของเขาแก่เย่น้อยให้เก็บไว้
และครั้งนี้ย่อมเป็นการขอรับมันคืน
ทันใดนั้นเอง ชุยฉางอันก็รีบร้อนเข้ามา และเมื่อเขาเห็นชายชราตาบอดก็อดลังเลไม่ได้
เมื่อเห็นเช่นนี้ ชายชราก็บอกลาจากไป
“เกิดอันใดขึ้น?”
ซูอี้ถาม
ยามนั้นเอง ชุยฉางอันจึงตอบว่า “คุณชายซู ข้าได้รับข่าวก่อนหน้านี้ว่าหร่านเทียนเฟิงจากสำนักนภายมโลกพายอดฝีมือกลุ่มหนึ่งจากพันธมิตรเสวียนจวินแห่งเก้ามหาแดนดินมาเยือน”
พันธมิตรเสวียนจวิน!
การเคลื่อนไหวของซูอี้หยุดชะงักและขมวดคิ้วน้อย ๆ
พันธมิตรเสวียนจวินที่ว่านี้คือขุมกำลังอันสร้างจากศิษย์คนแรกของเขาในอดีตชาติ ผีหมัว โดยใช้ร่มธงนามซูเสวียนจวินของเขาร่วมกับสำนักหกมหาวิถีในเก้ามหาแดนดิน
จุดประสงค์ของพันธมิตรเสวียนจวินคือการชิง ‘ถ้ำเสวียนจวิน’ คืนมาจากศิษย์น้องเล็กชิงถัง และมอบโทษแก่ชิงถังผู้ฮุบสมบัติสำนักไว้แต่เพียงผู้เดียว
มันฟังดูมีเกียรติและเป็นธรรม ทว่าในสายตาของซูอี้ การกระทำของผีหมัวนั้นไม่มากไปกว่าการรวมกลุ่มต่อสู้กับชิงถังผู้ดูแลถ้ำเสวียนจวินอยู่เลย
“พวกเขามาทำอันใดที่นี่?”
ซูอี้ถาม
“ไม่ทราบขอรับ”
ชุยฉางอันส่ายหน้า
ชายหนุ่มถามต่อ “ว่าไป เมื่อครู่เจ้าบอกใช่ไหมว่าหร่านเทียนเฟิงจากสำนักนภายมโลกเป็นผู้นำพวกเขามา?”
ชุยฉางอันพยักหน้า “ถูกต้องขอรับ”
“ข้าว่าข้าเข้าใจแล้ว”
แววตาของซูอี้วูบไหว “พวกเขาน่าจะมาที่นี่เพราะเฒ่าตาบอด”
เขายังจำได้ว่าขณะเดินทางมายังตระกูลชุย หร่านเทียนเฟิงเคยติดตามและพยายามจับกุมตัวผู้สืบเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพมาก่อน
ทว่าสุดท้ายก็พ่ายด้วยน้ำมือเขา
ยามนั้น ซูอี้คาดว่าเหตุที่สำนักนภายมโลกหมายหัวอวิ๋นจือจิ่วก็คงเป็นเพราะถูกผีหมัวสั่งการ!
ยามนี้ เมื่อหร่านเทียนเฟิงปรากฏอีกครั้ง เขายังพากลุ่มยอดฝีมือจากพันธมิตรเสวียนจวินแห่งเก้ามหาแดนดินมาด้วย
นี่ย่อมยืนยันการอนุมานของซูอี้
นั่นคือ หลังผ่านไปแสนนาน ผีหมัวก็ยังไม่คิดเลิกราไล่ล่าหาผู้สืบเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพ
และจุดประสงค์สูงสุดในการทำเช่นนี้ของผีหมัว ที่แท้ก็เพื่อหาว่าซูเสวียนจวินยังอยู่หรือตายแล้ว
เพราะมิตรภาพระหว่างเขาและผีเฒ่าแบกโลง ผู้ก่อตั้งเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพแห่งภูมิมืดมิดนั้นเกี่ยวพันแยกมิออก
และผีเฒ่าแบกโลงยังนับได้ว่าเป็นหนึ่งในน้อยคนที่เข้าใจ ‘เคล็ดเวียนวัฏสงสาร’ อีกด้วย!
กล่าวสั้น ๆ ก็คือ ผีหมัวดูเหมือนจะเสาะหาเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพ ทว่าที่จริงแล้ว เป้าหมายสูงสุดของเขาคือยืนยันความเป็นความตายของซูอี้
เพราะเหตุนี้ เมื่อหลายร้อยปีก่อน อู่จั้ง นายแห่งโลงศพโลหิต อาจารย์ของอวิ๋นจือจิ่วจึงถูกผีหมัวฆ่าตายอย่างน่าอนาถ
สิ่งนี้ทำให้ซูอี้รู้สึกผิดต่อเฒ่าบอดเล็กน้อย
ท้ายที่สุดแล้ว เชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพก็ประสบเคราะห์เพราะเขา
ชุยฉางอันเองก็ตระหนักถึงปัญหา และครุ่นคิด “งั้นท่านลุงคิดว่าอยากพบพวกเขาหรือไม่ขอรับ?”
“ไปสิ”
ซูอี้กล่าว “ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”
ชุยฉางอันกล่าวอย่างเป็นกังวลเล็กน้อย “ท่านลุง ในกรณีที่ท่านถูกคนจากพันธมิตรเสวียนจวินจำได้…”
ซูอี้โบกมือกล่าว “ไม่ต้องกังวลหรอก”
เห็นเช่นนี้ ในที่สุดผู้นำตระกูลชุยก็พยักหน้า
…
หอพินิจอุดร
ชุยฉางอันนั่งบนเก้าอี้ประธานกลางโถง และซูอี้ยืนอยู่ข้างเขา
ไม่นานนัก หร่านเทียนเฟิงก็พากลุ่มชายวัยกลางคนในชุดสีม่วงมาถึง
“หร่านเทียนเฟิง ผู้อาวุโสสำนักนภายมโลกคารวะเจ้าตระกูลชุย”
หร่านเทียนเฟิงออกตัวทักทายด้วยความนอบน้อม
ด้วยตัวตนของชุยฉางอัน เขาถือว่าอยู่ในระดับเดียวกับเจ้าสำนักนภายมโลกของพวกเขา ดังนั้นหร่านเทียนเฟิงย่อมไม่กล้ากระทำการสุ่มสี่สุ่มห้า
ทว่า เมื่อเขาเห็นซูอี้ยืนอยู่ข้างชุยฉางอัน หร่านเทียนเฟิงก็ตะลึงงัน สีหน้าดูไม่สบายใจเล็กน้อย
เขาจะลืมยามที่พ่ายด้วยดาบซูอี้ได้เช่นไร?
ซูอี้เมินเฉยราวไม่เห็นหร่านเทียนเฟิง
ชุยฉางอันผู้นั่งเป็นประธานพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนกล่าวขึ้นว่า “สหายเต๋าหร่าน สหายเต๋าเหล่านี้มาจากพันธมิตรเสวียนจวินแห่งเก้ามหาแดนดินหรือ?”
“ถูกต้อง!”
หร่านเทียนเฟิงพยักหน้า ก่อนจะหันไปแนะนำตัวชายวัยกลางคนชุดม่วงและคณะข้างกาย
เห็นเช่นนั้นชายวัยกลางคนชุดม่วงก็หัวเราะกล่าวทักทายเป็นพิธี “ข้าน้อยเถาเชียนชิว คารวะเจ้าตระกูลชุย”
เขาวางตัวสบาย ๆ อย่างมั่นใจ ไร้ซึ่งการสำรวมกิริยา
ผู้นำตระกูลชุยถามด้วยสีหน้าทื่อ ๆ “ใต้เท้าและผู้นำพันธมิตรผีหมัวสัมพันธ์กันเช่นไรหรือ?”
ยามนี้ หร่านเทียนเฟิงกระซิบว่า “เจ้าตระกูลชุย สหายเต๋าเถาเป็นศิษย์ลำดับเจ็ดของใต้เท้าผีหมัว และยามนี้ก็เป็นหนึ่งในสามสิบหกผู้ดูแลของพันธมิตรเสวียนจวิน รู้จักในสมญา ‘จักรพรรดิดาบนภาเมฆ’”
ชายวัยกลางคนสวมใส่ชุดม่วงที่มีนามว่าเถาเชียนชิวขยับมุมปากเล็กน้อย “สหายเต๋าหร่านประเมินข้าสูงเกินไป คนแซ่เถาผู้นี้เป็นเพียงผู้น้อยรับใช้ท่านอาจารย์ ไม่ควรค่ากล่าวถึงเลย”
วาจานี้กล่าวออกไปโดยแฝงความภาคภูมิอันถูกสะกดกลั้นไว้
ชุยฉางอันส่งเสียงโอ้ ขณะที่แอบคิดในใจว่า ‘ตามหลักอาวุโสแล้ว ไอ้หนูนี่ก็แค่ศิษย์หลานของท่านลุงซู ท่านลุงซูอาจไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ มีสิ่งใดให้ภาคภูมิ!’
เขาอดเหลือบมองไปทางซูอี้ซึ่งยืนอยู่ข้างกายไม่ได้ ทว่าท่าทางอีกฝ่ายกลับเมินเฉยราบเรียบ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ซูอี้ไม่ได้มีเถาเชียนชิวผู้นี้ในสายตาสักนิด
“แล้วสหายเต๋าเหล่านั้นเล่า?”
ชุยฉางอันหันไปมองผู้คนข้างกายเถาเชียนชิว
หร่านเทียนเฟิงรีบตอบว่า “สหายเต๋าเหล่านี้มาจาก ‘โถงดาบเทียบเทวะ’ จากเก้ามหาแดนดิน”
ในขณะที่เขากำลังจะแนะนำตัวแต่ละคนนั้นเอง ชุยฉางอันก็กล่าวขัดว่า “ข้ารู้แล้วว่าโถงดาบเทียบเทวะคือหนึ่งในหกกลุ่มเต๋าใหญ่แห่งเก้ามหาแดนดิน ทุกท่านเชิญนั่งเถิด”
ท่าทีเฉยเมยไม่แยแสนี้ทำให้เหล่ายอดฝีมือจากโถงดาบเทียบเทวะขมวดคิ้ว รู้สึกไม่ชอบใจนัก
ทว่าสุดท้ายก็ยั้งใจสงบท่าที
ที่นี่คือตระกูลชุย ตระกูลโบราณซึ่งอยู่ยงมาแต่บรรพกาล!
“ไม่จำเป็นต้องนั่งหรอก ข้ามาที่นี่เพื่อหารือกับเจ้าตระกูลชุยสักหน่อย และจะจากไปหลังจบเรื่อง”
เถาเชียนชิวกล่าวยิ้ม ๆ
ชุยฉางอันพยักหน้ากล่าว “งั้นเชิญกล่าวเถิด”
เถาเชียนชิวยิ้มน้อย ๆ กล่าวว่า “ไม่นานนี้ เมื่อข้ากำลังท่องภูมิมืดมิด ข้าก็ได้ข่าวจากสำนักนภายมโลกมาว่ามีเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพผู้หนึ่งอยู่ในตระกูลชุยในขณะนี้ เจ้าตระกูลชุยก็รู้ว่าอาจารย์ข้าเคยเข้ามาในภูมิมืดมิดเพื่อตามหาผู้สืบเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพมาก่อน”
หลังหยุดพูดครู่สั้น ๆ เขาก็กล่าวต่อ “ในเมื่อท้ายที่สุดก็มีข่าวคราว คนแซ่เถาผู้นี้จึงหวังว่าเจ้าตระกูลชุยจะสามารถมอบคนผู้นี้ให้ข้าเพื่อนำกลับไปพบท่านอาจารย์ ณ เก้ามหาแดนดินได้”
ดวงตาของชุยฉางอันวูบไหว ลอบกล่าวในใจว่าท่านลุงซูว่าไว้ไม่ผิด คนเหล่านี้มาหาชายชราตาบอดจริง ๆ ด้วย!
เขากล่าวโดยไร้ลังเล “คนผู้นี้อยู่ในตระกูลชุยของข้าสักพักจริง ๆ ทว่าเมื่อสองสามวันก่อน เขาจากไปแล้ว”
“จากไปแล้ว?”
เถาเชียนชิวตกใจ คิ้วขมวดเล็กน้อยและกล่าวอย่างครุ่นคิด “เจ้าตระกูลชุย เท่าที่ข้ารู้ บรรพชนของข้าปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินคือเพื่อนสนิทของบิดาท่าน และยามนี้ ผู้สืบเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพผู้นี้ก็มีประโยชน์มากต่ออาจารย์ข้า โปรดเอื้ออำนวยแก่เราด้วยเถิด”
แววตาของซูอี้วูบไหวเล็กน้อย
ไอ้สารเลวที่ไม่รู้มาเป็นศิษย์ผีหมัวตั้งแต่เมื่อไรผู้นี้ฉวยโอกาสใช้นามเขามากดดันตระกูลชุย กล้าไม่เบาเลย!
ชุยฉางอันเกือบหลุดหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้
ทว่าปากของเขาก็แค่หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา ร่างของเขาเต็มไปด้วยอำนาจกดดันยิ่งใหญ่ และกล่าวอย่างจริงจัง “เจ้าสงสัยว่าคนแซ่ชุยผู้นี้โกหกหรือไร?”
บรรยากาศในโถงพลันกดดัน
เถาเชียนชิวดูไม่กลัวเลยสักนิด กล่าวยิ้มๆ อย่างแสนมั่นใจ “เจ้าตระกูลชุยโปรดอย่าโกรธเคือง คนแซ่เถาผู้นี้ไม่ได้ตั้งใจล่วงเกิน เพียงแค่อยากขอให้ท่านเห็นแก่หน้าบรรพชนของข้าและชี้แนะหนทางสักหน่อย เช่น… ผู้สืบเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพเดินทางไปยังหนใดแล้ว?”
ชุยฉางอันมองพินิจเถาเชียนชิวตั้งแต่หัวจรดเท้า และสุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเยาะ หัวเราะลั่นจนร่างไหวเอนไปมา น้ำตาแทบไหล
เป็นแค่ศิษย์ผู้หนึ่งของผีหมัว แต่ต่อหน้าเขากับท่านลุงซูกลับกล้าใช้อำนาจข่มขู่ ไม่ว่าจะมองเช่นไรวายร้ายน่ารังเกียจนี้ช่างน่าขันนัก
อีกฝ่ายจะรู้หรือไม่ว่าในสายตาตัวเขาและท่านลุงซู การกระทำนี้ไม่ต่างจากเป็นตัวตลกแลบลิ้นปลิ้นตา?
ทุกผู้ตะลึงอึ้ง ไม่ทราบว่าผู้นำตระกูลชุยผู้นี้หัวเราะเพราะสิ่งใด และดูสำราญยิ่ง
เถาเชียนชิวขมวดคิ้วเล็กน้อย หัวใจหม่นหมอง ในสายตาชุยฉางอัน สิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่น่าขำเพียงนั้นเลยหรือ!?