บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 855: ขวางทาง
ตอนที่ 855: ขวางทาง
ราวได้พบพานเรื่องตลกที่สุดในโลก
ชุยฉางอัน เจ้าตระกูลชุยหัวเราะลั่นเสียจนร่างโยกคลอนไปมา
เถาเชียนชิว หร่านเทียนเฟิง และคณะต่างมองหน้ากัน รู้สึกว่าเสียงหัวเราะนั้นช่างหยาบกระด้างไม่ใคร่สบายใจเลย
ซูอี้เอื้อมมือมาถูหว่างคิ้ว ลอบคิดในใจว่านับแต่เวียนวัฏสงสาร ผีหมัวคนทรยศก็ดูจะใช้นามเขากระทำการมาตลอด
หาไม่ ศิษย์ของผีหมัวคงมิทำเรื่องน่าขันไร้สาระเยี่ยงนี้
เถาเชียนชิวแค่นเสียงอย่างเย็นชา กล่าวขึ้นว่า “เจ้าตระกูลชุย ท่านหมายความเช่นไร?”
ชุยฉางอันกล่าวยิ้ม ๆ “ข้าว่าข้าเข้าใจจุดประสงค์ของเจ้าแล้ว บอกเจ้าได้ชัด ๆ เพียงว่า ต่อให้ผู้สืบเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพผู้นั้นจะอยู่ในตระกูลชุยของข้าจริง ๆ ข้าก็ไม่มีวันให้เจ้าพาเขาไปหรอก”
วาจาราบเรียบนั้นมีอำนาจไร้ข้อกังขา
เถาเชียนชิวขมวดคิ้ว ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวเตือน “เจ้าตระกูลชุย เท่าที่ข้ารู้ คืนเทศกาลหมื่นโคมที่ผ่านมา สิ่งที่ช่วยเจ้าตระกูลชุยพาตระกูลพ้นภัยมาได้ก็คือพลังมหาวิถีที่บรรพชนของข้าทิ้งไว้นะ! ไฉนเจ้าตระกูลชุยจึงไม่เต็มใจช่วยเราด้วยเรื่องเล็กน้อยนี้เล่า?”
สายตาของเหล่ายอดฝีมือจากโถงดาบเทียบเทวะและหร่านเทียนเฟิงต่างหันมองชุยฉางอัน
ในความคิดของพวกเขา คำขาดถูกยื่นแล้ว และหากชุยฉางอันยังปฏิเสธ เขาจะถือว่าไม่ไว้หน้าปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินและผีหมัว!
ทว่า ชุยฉางอันกลับจิบชาในถ้วยอย่างสำราญใจ และกล่าวขึ้นว่า “หากบรรพชนของเจ้ามาเยือนตระกูลชุยของข้า ตระกูลชุยของข้าย่อมเทิดทูนเขาดุจเทพ แต่เจ้าเป็นใคร ควรค่าเทียบเท่าบรรพชนเจ้าหรือ ถึงได้อยากมากดดันข้า?”
วาจานั้นเหยียดหยามอย่างไร้เมตตา!
เถาเชียนชิวและคณะตะลึงอึ้งไม่อยากเชื่อ ไม่มีผู้ใดคิดว่าเจ้าตระกูลชุยผู้ทรงเกียรติจะมีท่าทีเป็นปรปักษ์ขึ้นมากะทันหัน!
ชุยฉางอันวางถ้วยชาลงและกล่าวอย่างเฉยเมย “ที่นี่คือภูมิมืดมิด หาใช่เก้ามหาแดนดินไม่ ข้าขอแนะนำให้เจ้าสำรวมกายใจสักหน่อย อย่าได้ทำให้บรรพชนเจ้าเสียหน้า!”
สีหน้าของเถาเชียนชิวหม่นหมอง ถูกต่อว่าเสียจนสมองโล่ง
ชายชราผู้หนึ่งจากโถงดาบเทียบเทวะลุกขึ้นกล่าวอย่างจริงจัง “เจ้าตระกูลชุย ไฉนจึงต้องสร้างเรื่องใหญ่โตเพียงเพราะผู้สืบเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพคนเดียวด้วย? เท่าที่ตาเฒ่าผู้นี้รู้ แม้เมื่อคืนตระกูลชุยจะผ่านหายนะเมื่อคืนก่อนมาได้ แต่ยมราชพิพากษาก็ได้พบกับเรือยมโลกลึกลับ ณ ห้วงลึกแห่งทะเลทุกข์ เป็นตายไม่อาจหยั่งทราบ หากจะมาเป็นศัตรูกับเราอีก…”
เพล้ง!
ถ้วยชาใบหนึ่งถูกขว้างลงกับพื้น ขัดจังหวะคำพูดของชายชราและทำให้ทุกคนสะดุ้ง
ชุยฉางอันกล่าวด้วยสีหน้าเฉยชา “ไสหัวไปจากเมืองตาข่ายม่วงภายในเสี้ยวชั่วยาม หาไม่ ข้าจะฆ่าพวกเจ้าซะ!”
วาจานั้นกังวานก้อง จิตสังหารแผ่กระจายเต็มโถง
สีหน้าของทุกผู้เปลี่ยนแปร ทั้งตกใจและโกรธเคือง ต่างคนต่างตระหนักว่าไม่อาจเสวนากันต่อได้!
“ไป!”
เถาเชียนชิวสูดลมหายใจลึก ใบหน้าคล้ำเขียวและเดินออกไป
คนอื่น ๆ ในคณะติดตามเบื้องหลัง
จนเมื่อพวกเขาหายไปลับตา ชุยฉางอันก็ลุกจากที่มากล่าวอย่างกังวลเล็กน้อย “ท่านลุงซู ท่านจะไม่โทษข้าที่ทำแบบนี้ใช่หรือไม่ขอรับ?”
ซูอี้ผู้มองเหตุการณ์ด้วยสายตาเย็นชามาตลอดกล่าวอย่างเฉยเมย “ก็แค่พวกกเฬวราก ต่อให้เจ้าฆ่าให้ตายยังไม่เป็นไรเลย”
“แต่การกระทำของเจ้านับว่าไม่เลว ผีหมัวอยากตามหาผู้สืบเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพ และเป้าหมายสูงสุดของเขาคือหาว่าข้ายังอยู่หรือตายไปแล้ว”
กล่าวถึงจุดนี้ ชายหนุ่มก็รำพึงเบา ๆ “เพราะเหตุนี้ นายแห่งโลงศพโลหิต อาจารย์ของชายชราตาบอดต้องมารับเคราะห์ และข้าก็ไม่อยากให้ตระกูลชุยของเจ้ามาโดนร่างแหไปด้วย”
ชุยฉางอันกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านลุงซู ตระกูลชุยของข้าไม่ยี่หระต่อเรื่องนี้หรอกขอรับ!”
ซูอี้ครุ่นคิดสักพัก เขาก็กล่าวว่า “งั้นก็ดี เจ้าไปเดินเล่นกับข้าหน่อย”
กล่าวจบ เขาก็ใช้มือไพล่หลังเดินออกไป
“ท่านลุงซู ท่านจะไปไหนหรือขอรับ?”
“ฆ่าคน”
ชุยฉางอันตะลึง และแววตาก็ทอประกายขึ้นมาทันที
…
นอกเมืองตาข่ายม่วง
เถาเชียนชิวและคณะมีสีหน้ามืดหมอง ก้าวขึ้นเรือล่องล้อเมฆาทะยานออกไป
“ชุยฉางอันจะสามหาวไปแล้ว!”
ใครสักคนรั้งโทสะในใจไม่อยู่ และพูดออกมาอย่างโกรธเคือง
“หายนะเมื่อคืนก่อน ไฉนจึงไม่ทำลายตระกูลชุยไปเลยนะ?”
ใครบางคนกัดฟันด้วยสีหน้าซีดขาว
“ใต้เท้า ข้าแน่ใจว่าผู้สืบเชื้อสายโคมผีเก็บโลงศพยังอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลชุยขอรับ!”
หร่านเทียนเฟิงพลันกล่าว
เถาเชียนชิวถามอึ้ง ๆ “จริงหรือ?”
หร่านเทียนเฟิงพยักหน้ากล่าว “วิชา ‘ค้นจิตพินิจสัตย์’ ของสำนักนภายมโลกเราเป็นเลิศด้านการตรวจสอบกลิ่นอายและร่องรอยของผู้ฝึกตน และครั้งก่อน ข้าก็ใช้วิชานี้เพื่อตรวจหาชายชราตาบอดได้ทันทีขอรับ”
“และครั้งนี้เมื่อเราเข้าไปในตระกูลชุย ข้าก็สัมผัสปราณของเฒ่าบอดผู้นั้นได้ทันที!”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกเปล่งออกมา ทุกผู้ก็ใจชื้น
เถาเชียนชิวกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าเฒ่าชุยฉางอันกล้าโกหกข้า ช่างน่ารังเกียจนัก!”
“ใต้เท้า เราควรทำเช่นไรต่อ?”
ใครบางคนเอ่ยถาม
เถาเชียนชิวเงียบไปครู่หนึ่ง
เมืองตาข่ายม่วงคืออาณาเขตของตระกูลชุย ด้วยความแข็งแกร่งของคนเหล่านี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะฉวยโอกาสชิงตัวคนจากตระกูลชุยได้
แต่หากจากไปทั้งเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่เต็มใจอยู่ดี
ทันใดนั้นเอง เรือล่องล้อเมฆาขนาดร้อยจั้งซึ่งเหินอยู่กลางนภาพลันสั่นไหวและหยุดลงกลางอากาศ
ขณะเดียวกัน เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “ใต้เท้า ใครบางคนขวางทางอยู่ข้างหน้าขอรับ!”
ขวางทาง?
พวกเถาเชียนชิวมองไปไกลโดยพร้อมเพรียง
ไกลออกไปท่ามกลางหมู่เมฆา ร่างหนึ่งยืนเดียวดายสกัดหน้า อาภรณ์สีเขียวพลิ้วไหว มวลเมฆรอบข้างทำให้เขาผู้ดูหล่อเหลาเฉยเมยราวเทพเซียนไร้มลทิน
“ไม่ใช่ว่านี่คือเจ้าหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างชุยฉางอันเมื่อครู่หรือ?”
ใครบางคนถามอย่างแปลกใจ
ทันใดนั้น พวกเถาเชียนชิวก็มีปฏิกิริยา การที่ตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณคนหนึ่งมาปรากฏที่นี่ เขาต้องการทำสิ่งใด?
“สหายเต๋า ไฉนเจ้า…”
ทว่าสีหน้าของหร่านเทียนเฟิงแปรเปลี่ยนทันทีที่เห็นร่างสูงร่างนั้น
“คราก่อน ข้าไว้ชีวิตเจ้าเพราะนี่คือการทำตามคำสั่งผู้อื่น ข้าคิดว่าเจ้าจะกลับใจสำนึก ทว่ายามนี้ ดูเจ้าจะทำให้ข้าผิดหวังแล้วจริง ๆ”
ซูอี้ผู้อยู่ไกลออกไปในทะเลเมฆากล่าวอย่างใจเย็น
สีหน้าของหร่านเทียนเฟิงมืดหม่นไม่อาจหยั่งคาด “สหายเต๋า ข้ากับเจ้าอยู่ในตำแหน่งแตกต่าง แม้เจ้าจะเมตตา แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะเปลี่ยนจุดยืน”
เถาเชียนชิวอดขมวดคิ้วมิได้ยามได้ยินเช่นนี้ “สหายเต๋าหร่าน เจ้าหนูนี่มาหาเจ้าหรือ?”
หร่านเทียนเฟิงกระซิบ “ใต้เท้า นี่เป็นเรื่องยาว ข้า…”
เถาเชียนชิวกล่าวขัด “บอกมาก็พอว่าเขามาหาเจ้าหรือไม่”
“เปล่า ข้ามาหาพวกเจ้าทั้งหมดต่างหาก”
ซูอี้ผู้อยู่ท่ามกลางทะเลเมฆาเดินเข้ามาหา
เขาเดินเอ้อละเหยราวอยู่ในสวน
เถาเชียนชิวและคณะต่างขมวดคิ้ว รู้สึกผิดปกติมาก ชายหนุ่มในขอบเขตวงล้อวิญญาณกล้ามาพูดเช่นนี้ได้อย่างไร?
“หรือตระกูลชุยคิดจะหยุดไม่ให้ข้าไปหรือ?”
ชายชราร่างสูงในอาภรณ์สีแดงเพลิงผู้หนึ่งถามเสียงลุ่มลึก
หัวใจของทุกคนนิ่งงัน หันไปมองรอบ ๆ อย่างไม่ตั้งใจ
“เรื่องจัดการกับพวกเจ้า แค่ข้าก็พอแล้ว”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “ทว่า เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเจ้าหนี ข้าก็ขอให้ชุยฉางอันมากับข้าด้วย เขาเปิดค่ายกลล้อมที่นี่อยู่ ขอเพียงพวกเจ้าไม่หนี เขาก็จะไม่มีวันเข้ามาแทรกแซง”
เขากล่าวอย่างเปิดเผย
ทว่าสีหน้าของพวกเถาเชียนชิวกลับเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
ชายหนุ่มในขอบเขตวงล้อวิญญาณขู่จะฆ่าพวกเขา?
ยิ่งกว่านั้น ยังกังวลว่าพวกเขาจะหนี เลยให้ชุยฉางอันมาเปิดค่ายกล?
เถาเชียนชิวและคณะมีชีวิตยาวนานไม่อาจนับจำนวนปีได้ ทว่านี่คือครั้งแรกที่พวกเขาได้ประสบเรื่องบ้าบิ่นเยี่ยงนี้!
ณ ขณะนั้น ชุยฉางอันซึ่งซุ่มซ่อนอยู่ไกลออกไปอดยิ้มอย่างขมขื่นไม่ได้
ท่านลุงซูยังเหมือนก่อนไม่มีผิด ยามฆ่าคน เขาไม่ซ่อนเจตนาแม้แต่น้อย!!
ทว่าการกระทำหมางเมินลูกไม้มารยาเช่นนี้นี่แหละที่แข็งแกร่งอหังการที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย!
เมื่อคิดแล้ว ร่างของชุยฉางอันก็ปรากฏยืนอยู่ไกล ๆ ในคลองจักษุของพวกเถาเชียนชิว
เรือล่องล้อเมฆาพลันเกิดเสียงอื้ออึง
ไม่มีผู้ใดคิดว่าชุยฉางอันจะมาจริง ๆ!
“เจ้าตระกูลชุย เจ้าหมายความเช่นไร?”
เถาเชียนชิวหน้าหมอง
ทว่าชุยฉางอันก็ตอบกลับอย่างเฉยชา “อย่าลนลานไป ข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับศึกนี้ การที่เจ้าจะรอดออกไปได้หรือไม่นั้น… ขึ้นกับความสามารถของเจ้าแต่ละคนเอง”
หลังกล่าวจบ พวกเถาเชียนชิวก็ตระหนักว่าสิ่งที่ซูอี้กล่าวก่อนหน้านี้เป็นความจริง!
หนึ่งตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณคิดจัดการพวกเขาทั้งหมด!!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเรื่องนี้บ้าบอเกินไปจนพวกเถาเชียนชิวมิอาจเชื่อได้เลย
มีเพียงหร่านเทียนเฟิงที่รู้ว่าซูอี้แข็งแกร่งเพียงไร จึงกล่าวเสียงต่ำว่า “ทุกท่าน โปรดอย่าดูแคลนสหายเต๋าผู้นั้น เขาเป็น…”
เถาเชียนชิวแค่นเสียงขัด “ไม่ว่าผู้ฝึกตนในวิถีวิญญาณจะแข็งแกร่งเพียงไร แต่มองจากรุ่นข้า เขาต่างอันใดกับไก่บ้านเล่า?”
คนอื่น ๆ พยักหน้า
ในสายตาของพวกเขา ชุยฉางอันต่างหากที่น่ากลัวจริง ๆ!
ยามนี้ ซูอี้เดินเข้ามาอยู่ในระยะร้อยจั้งจากเรือล่องล้อเมฆาแล้ว และไม่ใส่ใจจะรอช้า จึงลงมือทันที
เขายกมือขวาขึ้น ใช้นิ้วดุจดาบฟาดฟันลงมา
ตู้ม!
ใต้ผืนนภาบังเกิดปราณดาบขนาดยาวพันจั้ง
พวกเถาเชียนชิวหรี่ตาลงเล็กน้อย ทั้งยังรู้สึกตะลึงเนื่องจากไม่คิดเลยว่าชายหนุ่มในขอบเขตวงล้อวิญญาณผู้นี้จะลงมือตรง ๆ!
นี่ต่างอันใดกับ… รนหาที่ตาย?
“ข้ารับมือเอง!”
ผู้ฝึกตนผู้หนึ่งในขอบเขตวงล้อวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบจากโถงดาบเทียบเทวะตะโกนพลางทะยานออกจากเรือล่องล้อเมฆา จากนั้นใช้ดาบเงินเล่มหนึ่งฟาดฟันออกไปอย่างแรง
ทว่าอึดใจต่อมา…
ตู้ม!
ผู้ฝึกตนจากโถงดาบเทียบเทวะซึ่งเพิ่งทะยานออกไปกลับเปลี่ยนเป็นเถ้าธุลีเมื่อเผชิญกับปราณดาบยาวพันจั้งที่พุ่งมาจากระยะไกล
ดาบเงินในมือของเขาถูกหลอมเป็นของเหลวระเหย
และปราณดาบยาวพันจั้งนี้ก็ซัดใส่เรือล่องล้อเมฆาโดยไม่ผ่อนอำนาจลงเลย
พวกเถาเชียนชิวสีหน้าเปลี่ยน ยามนี้เอง พวกเขาจึงตระหนักถึงความน่ากลัวของปราณดาบอันดูเรียบง่ายนี้!
“เปิด!”
เมื่อถึงคราวคับขัน ชายชราชุดแดงผู้หนึ่งซึ่งมีวิถีเต๋าในขั้นต้นขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำพลันตะโกนลั่น ห้านิ้วแนบติดกันดั่งดาบและฟาดฟันออกไป
ตู้ม!!!
ฝ่ามือประทับดาบแหลกสลาย และแขนขวาของชายชราชุดแดงก็ถูกปราณดาบสะบั้นขาด ทำให้เขากรีดร้องลั่น
ทันใดจากนั้น เสียงระเบิดสะเทือนหล้าก็ดังขึ้น
เรือล่องล้อเมฆาขนาดร้อยจั้งระเบิดสลาย แผ่รัศมีทำลายล้างใหญ่มโหฬาร