บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 856: ช่างมีวาสนา
ตอนที่ 856: ช่างมีวาสนา
นอกจากหร่านเทียนเฟิง ผู้ที่มากับเถาเชียนชิวครานี้ยังมียอดฝีมือจากโถงดาบเทียบเทวะอีกเจ็ดคน
สองในนั้นเป็นจักรพรรดิ และอีกห้าคนเป็นผู้ฝึกตนในวิถีวิญญาณ
ขณะนี้ เมื่อซูอี้ใช้ดาบเดียวขยี้เรือล่องล้อเมฆา ผู้ฝึกตนในวิถีวิญญาณทั้งห้าจึงไร้โอกาสหลบเลี่ยงและถูกปราณดาบอันแข็งแกร่งกวาดติดไปด้วย ร่างของพวกเขาระเบิดแหลก วิญญาณแตกสลาย
แม้ว่าเถาเชียนชิวกับคนอื่น ๆ จะหลบการโจมตีนี้ได้ ทว่าสภาพของพวกเขาต่างเละเทะดูไม่จืด
“นี่คืออำนาจที่ผู้ฝึกตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณครอบครองได้หรือ!?”
“บ้าเอ๊ย!!!”
เสียงอุทานด้วยโทสะดังท่ามกลางฝุ่นควัน
พวกเถาเชียนชิวต่างหน้าซีดและเปี่ยมด้วยจิตสังหาร
ก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่ได้สนใจซูอี้เลย ทว่าใครเล่าจะคิดว่าชายหนุ่มในขอบเขตวงล้อวิญญาณผู้นี้จะเข่นฆ่าพวกเขาโดยไม่ทันตั้งตัวได้ด้วยดาบเดียว!
สิ่งที่ยิ่งน่าเหลือเชื่อคือ ชายชราชุดแดงอยู่ในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นต้น ทว่ากลับไม่อาจหยุดดาบของเขาได้ ทั้งยังถูกบั่นแขนขวาทิ้ง!
สิ่งนี้ทำให้พวกเถาเชียนชิวตระหนักว่ามีบางสิ่งผิดแปลก
“นี่…”
เมื่อเขาเห็นภาพนี้จากไกล ๆ ชุยฉางอันก็อดอ้าปากค้างไม่ได้
คืนก่อน เขาได้เห็นซูอี้สังหารกลุ่มจักรพรรดิทั่วแดนดินด้วยดาบเงากระจ่างมาแล้ว
ทว่ายามนั้น ซูอี้ใช้พลังมหาวิถีของตัวเขาเมื่ออดีตชาติ
ยามนี้แตกต่างออกไป ซูอี้พึ่งพาเพียงการฝึกฝนของเขาเอง แต่ก็ยังสามารถถล่มเรือล่องล้อเมฆาในหนึ่งดาบ และยังบั่นแขนจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นต้นได้ง่าย ๆ!
ชุยฉางอันจะไม่แปลกใจได้เช่นไร?
“ใต้เท้า ข้าบอกแล้วว่าพลังต่อสู้ของสหายเต๋าผู้นั้นไม่อาจถูกดูแคลนได้”
หร่านเทียนเฟิงกล่าวเสียงต่ำ เผยเค้าลางความขมขื่น “ในคราก่อน เขาเอาชนะข้าได้แม้จะมีระดับฝึกฝนเพียงสยายวิญญาณ”
ทุกผู้ต่างตะลึง
ก่อนจะเริ่มศึก หากหร่านเทียนเฟิงกล่าวเช่นนี้ พวกเขาจะไม่มีทางเชื่อเป็นแน่
ทว่ายามนี้ พวกเขาต้องเชื่ออย่างช่วยไม่ได้!
“ไฉนจึงไม่บอกให้เร็วกว่านี้เล่า!!?”
เถาเชียนชิวโกรธเสียจนหน้าเขียว
หร่านเทียนเฟิง “…”
ฉัวะ! ชิ้ง! ชิ้ง!
ปราณดาบสายแล้วสายเล่าถูกฟาดฟันขึ้นไปบนฟ้า และแต่ละสายต่างดูทอประกายเจิดจ้าราวหลอมจากทองเทวะ ดูประหนึ่งแสงตะวันรุ่งจากสวรรค์
เมื่อปราณดาบพร่างนภาปกคลุมจรดแดนดิน สุญญะรอบข้างก็ถูกมันฉีกกระชากจนแตกร้าว
แสงสว่างเจิดจ้าสาดส่องเก้าชั้นฟ้า ทั่วโลกหล้าหม่นแสงอับรัศมี!
นี่คือปราณดาบอันเต็มไปด้วยแก่นแท้ ‘เอกกะ’ จะธรรมดาได้เช่นไร?
พวกเถาเชียนชิวต่างประจักษ์ถึงความน่ากลัวของปราณดาบนี้ จึงไม่กล้าเหม่อลอยอีก ต่างคนต่างโจมตีโดยไม่ลังเล
ตู้ม!
เถาเชียนชิวใช้ดาบวิถีเล่มหนึ่งกวาดเป็นลำแสงดาบเจิดจ้าอลังการดุจอสนีบาต ปราณทำลายล้างจากมันสาดคลั่งดุจพายุ ทั่วบริเวณพังทลาย หมู่เมฆทั่วทิศสลายหาย
เขามีวิถีเต๋าสมบูรณ์แบบในขั้นต้นของขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ และบรรลุกกฎเต๋าลึกล้ำสมบูรณ์ ขาดเพียงก้าวเดียวจะเข้าสู่ขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นกลางได้รอมร่อ
ยามนี้ ทันทีที่เขาลงมือ ก็สำแดงวิชาดาบอันแข็งแกร่งยิ่งออกมาทันที
ตู้ม!
ดาบฟาดเปรี้ยงดุจสายฟ้า ปัดเป่าปราณดาบสีทองหายไปในพริบตา
ทว่าเถาเชียนชิวกลับกายสะท้านโลหิตพลุ่งพล่าน สีหน้าเปลี่ยนอย่างช่วยไม่ได้
เด็กนี่… ไฉนจึงแข็งแกร่งได้เพียงนี้?
ขณะเดียวกัน หร่านเทียนเฟิงและจักรพรรดิอีกสองคนจากโถงดาบเทียบเทวะต่างถูกปราณดาบนี้ฟาดฟัน
แม้พวกเขาจะพยายามเต็มกำลัง แต่ก็ยังต้องรับความเสียหาย!
ภาพนี้ทำให้เถาเชียนชิวและจักรพรรดิอื่น ๆ รู้สึกอับอาย
ใครเล่าจะกล้าเชื่อว่าชายหนุ่มผู้หนึ่งในขอบเขตวงล้อวิญญาณจะสามารถสั่นคลอนพวกเขาสี่จักรพรรดิด้วยตัวคนเดียวได้!?
นี่มันตัวประหลาดใดกัน?
ก่อนจะทันตั้งตัว ซูอี้ก็โจมตีพวกเขาอีกครั้ง
นิ้วทั้งห้าที่เรียงชิดติดกันบนมืออันว่างเปล่าของเขาคมกริบเยี่ยงดาบ ร่างเหนือชั้นอหังการดุจเทพเซียน ปราณดุร้ายกดดัน และเดินพลังมหาวิถีสุดขั้ว
ขณะที่เขาอยู่ในขอบเขตสยายวิญญาณ เขาก็สามารถเอาชนะจักรพรรดิโลกันตร์อเวจีจากโถงหลงลืมได้ด้วยหนึ่งดาบ รวมถึงจักรพรรดิผู้ฝึกฝนกายเนื้ออย่างหร่านเทียนเฟิง
ทว่ายามนี้ เขาเข้าสู่ขอบเขตวงล้อวิญญาณแล้ว และแก่นแท้วิถีวิญญาณของเขาก็ได้ควบรวมเป็นแก่นแท้เอกกะ ซึ่งไม่เคยมีอยู่นับแต่บรรพกาล พลังต่อสู้ของเขาจึงไม่อาจเทียบกับกาลก่อนได้!
ตู้ม!
โลกหล้าสะเทือนป่วน บรรพตลำธารถล่มสลาย ทุกสิ่งกลับกลายเป็นธุลี
แม้ซูอี้จะเผชิญกับตัวตนขอบเขตจักรพรรดิสี่คน เขาก็ยังมีอำนาจร้ายกาจไม่อาจเทียบ ราวเทพดาบจุติสู่โลกา
แม้ว่าพวกเถาเชียนชิวจะเปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจและเคลือบแคลง แต่พวกเขาก็ยังเป็นจักรพรรดิผู้ผ่านศึกฝ่าพายุมามากมาย
เมื่อลงมือ ต่างฝ่ายต่างแสดงประสบการณ์รบของตนอย่างเข้มข้นจริงจัง
บ้างก็ใช้สมบัติลับระดับจักรพรรดิ บ้างก็ใช้กลยุทธ์ทะลวงสวรรค์สอดประสานร่วมมือกันอย่างรู้ใจ ทักษะแพรวพราวโลกามัวหมอง ตะวันจันทราดับแสง
สิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกกลัวขึ้นมาก็คือ หากคู่ต่อสู้อยู่ในขอบเขตเดียวกัน อีกฝ่ายจะไม่อาจหยุดการโจมตีประสานของทั้งสี่ได้เลย
เจ้าหนุ่มในขอบเขตวงล้อวิญญาณผู้นี้แข็งแกร่งเกินไป!
ไม่เพียงมีพลังฝืนกฎสวรรค์ แต่วิชาดาบลึกล้ำยังแข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ!
และยามนี้พวกเถาเชียนชิวก็เข้าใจเสียที ว่าเหตุใดซูอี้ ชายหนุ่มในขอบเขตวงล้อวิญญาณจึงกล้ามาขวางพวกเขาด้วยตัวคนเดียว
เหตุใดชุยฉางอันจึงตัดสินใจไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว และทำเพียงมองจากระยะไกล!
ณ ขณะนี้ ยิ่งต่อสู้ ซูอี้ยิ่งรู้สึกปรีดา
สำหรับเขา ความเดียวดายสูงสุดบนเส้นทางการฝึกฝนคือการไม่อาจหาคู่ต่อสู้ที่คู่ควรได้
และยามนี้แตกต่างออกไป
ตัวตนในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นต้นทั้งสี่พอจะทำให้เขาต่อสู้อย่างปรีดาในศึกแสนสุขสันต์นี้ได้แล้ว!
ตู้ม!
ร่างของซูอี้กู่คำราม แขนเสื้อสะบัดโบก ไร้ข้อจำกัดเช่นเทพเซียน มือเท้าฟาดฟันสารพัดปราณดาบลี้ลับออกไป
ชุยฉางอันผู้มองการต่อสู้จากระยะไกล ยังอดตะลึงไม่ได้
กล่าวตามตรง นี่คือครั้งแรกที่เขาได้เห็นพลังต่อสู้อันแท้จริงของซูอี้หลังการเวียนวัฏสงสาร
ทว่า จากประสบการณ์และความรู้ความเข้าใจ เขาไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าจะต้องสร้างแก่นแท้ในวิถีวิญญาณไว้แข็งแกร่งเพียงไร จึงจะร้ายกาจได้เท่าซูอี้ผู้สามารถข้ามขอบเขตมาต่อกรกับตัวตนระดับจักรพรรดิได้
แม้หนึ่งต่อสี่ก็ยังไม่เสียเปรียบ!
ในฐานะจักรพรรดิผู้หนึ่ง ชุยฉางอันย่อมรู้อำนาจแห่งจักรพรรดิ ตัวตนอันเป็นดั่งขุนเขาที่ไม่อาจข้ามในสายตาผู้ฝึกตนในโลกหล้าดีเป็นแน่
เนิ่นนานนับแต่โบราณ เขาไม่เคยได้ยินเลยว่าจะมีผู้ฝึกตนใดในวิถีวิญญาณจะสามารถข้ามขอบเขตมาเอาชนะจักรพรรดิได้!
ทว่ายามนี้ ปาฏิหาริย์อันเป็นไปไม่ได้นี้ถูกสำแดงออกตรงหน้าแล้ว!
“มิน่าเล่า ท่านลุงซูผู้ถูกขนานนามว่าไร้เทียมทานในอดีตชาติจึงไม่ลังเลจะเวียนวัฏสงสารฝึกฝนใหม่ ที่แท้เขาก็พบหนทางอันแข็งแกร่งกว่าอดีตชาติ!”
ชุยฉางอันกล่าวอึ้ง ๆ “ไม่อาจคิดออกได้เลยว่ายามเมื่อท่านลุงซูก้าวสู่วิถีแห่งจักรพรรดิ พลังมหาวิถีและอำนาจต่อสู้ของเขาจะแข็งแกร่งขึ้นเพียงไร?”
มีเสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัวแว่วมาไกล ๆ
ชุยฉางอันเงยหน้าขึ้น จึงเห็นชายชราชุดแดงผู้ซึ่งแขนขวาขาดถูกปราณดาบสายหนึ่งบั่นหัว ร่างทั้งร่างถูกฉีกกระชากจากกัน โลหิตหลั่งรินดุจน้ำตก
“หนึ่งจักรพรรดิดับดิ้น…”
ชุยฉางอันพึมพำ
เทียบกับการต่อสู้เข่นฆ่าที่ซูอี้ทำในเมืองตาข่ายม่วงเมื่อคืน สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเขาในยามนี้น่าตกใจกว่าโดยไม่ต้องสงสัย
หนึ่งเกิดจากการยืมพลังมหาวิถีในอดีตชาติ และไม่แปลกหากเขาจะชนะขาดลอย
หนึ่งพึ่งพาเพียงการฝึกฝนในขอบเขตวงล้อวิญญาณ แต่กลับสามารถสังหารจักรพรรดิได้ด้วยตนเองขณะรับมือจักรพรรดิสี่คนเพียงลำพัง สิ่งนี้น่าตกใจและมากพอจะสั่นสะเทือนโลกาสะท้านถึงอดีต!
สิบชั่วดีดนิ้วผ่านไป
“อ๊าก—!”
อีกหนึ่งเสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัวดังขึ้น
อีกหนึ่งจักรพรรดิจากโถงดาบเทียบเทวะปลิดปลิว ร่างของเขาถูกผ่ากลางเป็นสองซีก กระทั่งจิตดั้งเดิมยังถูกขยี้ทำลาย
ยามนี้ เถาเชียนชิวและหร่านเทียนเฟิงเองก็บาดเจ็บ
เส้นผมเถาเชียนชิวกระเซิง สภาพดูไม่ได้ ใบหน้าซีดขาว บาดเจ็บหลายส่วน
เทียบกันแล้ว หร่านเทียนเฟิงบาดเจ็บสาหัส รอยดาบฟันเลือดอาบทั่วกาย แทบหาจุดสมประกอบไม่ได้
หากเขาไม่ใช่จักรพรรดิผู้ฝึกฝนกายเนื้อซึ่งมีพลังกายไร้ใดเทียบ เกรงว่าคงไม่อาจทนพิษบาดแผลได้ไปแสนนานแล้ว
ในขณะเดียวกัน อาภรณ์ของซูอี้เขียวดุจหยก นอกจากจะไร้รอยขีดข่วนแล้ว จิตต่อสู้ของเขายังเติบใหญ่แข็งแกร่งขึ้นทุกขณะ!
เทียบสองฝั่งแล้วก็ตัดสินผลได้
ชุยฉางอันอ้าปาก ทว่าไม่อาจบรรยายความรู้สึกของเขาด้วยวาจาใด
แม้ว่าจะฝัน แต่เกรงว่าคงไม่มีทางฝันถึงเรื่องเหลือเชื่อเช่นนี้ได้แน่!
หือ?
ทันใดนั้น ดวงตาของชุยฉางอันก็หรี่ลงน้อย ๆ และเห็นเถาเชียนชิวแปรเปลี่ยนเป็นแสงสีเลือดเผ่นหนีไปไกล
“หากข้าปล่อยเจ้าหนีไปได้ ข้าจะยังมีหน้าไปพบท่านลุงซูด้วยหรือ?”
ชุยฉางอันแค่นเสียงเย็นชา
ร่างของเขาหายวับไล่ตามอีกฝ่ายไปดุจเคลื่อนย้ายพริบตา
“สหายเต๋า ก่อนจะตาย เจ้าคลายข้อข้องใจให้ข้าได้หรือไม่?”
ขณะเดียวกัน เมื่อใกล้ถูกซูอี้สังหารเต็มที หร่านเทียนเฟิงผู้บาดเจ็บสาหัสเอ่ยถามด้วยเสียงแหบพร่า
จักรพรรดิผู้ฝึกฝนกายเนื้อจากสำนักนภายมโลกดูจะรู้ตัวแล้วว่าตนไร้ทางรอด และสีหน้าของเขาก็ซับซ้อนอย่างยิ่ง
“ว่ามา”
ซูอี้กล่าวอย่างสุขุม
“ข้าอยากรู้ว่า สหายเต๋า… คือผู้ใดกัน?”
หร่านเทียนเฟิงจ้องมองซูอี้ ราวกับหากไม่รู้คำตอบคงไม่อาจตายตาหลับ
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย “คำถามนี้สำคัญมากหรือ?”
เขาคิดว่าหร่านเทียนเฟิงจะถามคำถามอื่น เช่นว่าเหตุใดเขาจึงอยากหยุดพวกเขา หรืออะไรประมาณนั้นเสียอีก
ใครเล่าจะคิดว่าหร่านเทียนเฟิงจะอยากรู้เพียงตัวตนของเขา!
“ข้าฝึกฝนมานานกว่าสี่พันสามร้อยปี ท่องทั่วโลกหล้า แต่ไม่เคยได้ยินถึงบุคคลผู้ล้ำเลิศเยี่ยงสหายเต๋ามาก่อน”
ยามนี้ หร่านเทียนเฟิงทิ้งสิ้นทุกการขัดขืน ดวงตาจับจ้องซูอี้อย่างคลั่งไคล้ และกล่าวอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน
“สำหรับข้า การได้พบสหายเต๋าเหมือนการได้พบปาฏิหาริย์แห่งมหาวิถีกันไม่เคยเกิด ขอเพียงได้รู้… ก็ตายอย่างเป็นสุข…”
ซูอี้กล่าว “นามของข้าคือซูอี้”
“ซูอี้?”
ดวงตาของหร่านเทียนเฟิงเต็มไปด้วยความงุนงง
มันเป็นชื่อที่ไม่คุ้นหู
“ตราบนานกาลก่อน ทุกผู้บนโลกเรียกข้าว่าปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน”
เสียงของซูอี้เฉยเมย เจืออารมณ์เล็กน้อย
ดวงตาของหร่านเทียนเฟิงเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย ตะลึงราวถูกสายฟ้าฟาดใส่ ไม่รู้ว่าเพราะเขาตกใจ หรือเพราะตื่นเต้นมากเกินไป ทว่าทั่วร่างของเขาสั่นเทิ้มอย่างเกินควบคุม
สีหน้าของเขาเริ่มจากตกใจ ตะลึง ไม่อยากเชื่อ… และท้ายที่สุดก็เปลี่ยนไปเป็นความโล่งใจอันไม่อาจบรรยาย
“ข้าหร่านเทียนเฟิง… ช่างมีวาสนา…”
เขาพึมพำกับตนเอง
เสียงยังไม่ทันจาง
ปราณดาบสายหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่หว่างคิ้วของหร่านเทียนเฟิง
ร่างของเขาสลายกลายเป็นเถ้า!
…………………………………………………………..