บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 859: ไก่แจ้เฒ่า
ตอนที่ 859: ไก่แจ้เฒ่า
ในสมัยโบราณมีจักรพรรดิผีห้าตน ต่างตนต่างพิทักษ์ประตูผีหนึ่งแห่ง
จักรพรรดิผีบูรพาพิทักษ์ภูเขาเมืองท้อ
จักรพรรดิผีอุดรกับภูเขาหลัวเฟิง
จักรพรรดิผีทักษิณปกปักษ์ภูเขาหลัวฟู่
จักรพรรดิผีประจิมอารักษ์ภูเขาธงปัจฉิมฤกษ์
และจักรพรรดิผีแดนกลางดูแลภูเขาตระกองยัญ
จากคำร่ำลือ ห้าขุนเขาศักดิ์สิทธิ์แต่ละแห่งต่างมีประตูผี ผู้ที่ตายในโลกคนเป็นจะถูกส่งตัวสู่ปรภพผ่านประตูผี
ทว่าทั้งหมดนี้ต่างเป็นเพียงข่าวลือนับแต่โบราณกาล
ภูมิมืดมิดทุกวันนี้ ห้าจักรพรรดิผีได้หายตัวไปแสนนาน และประตูผีก็สาบสูญไปในธารแห่งประวัติศาสตร์
กระทั่งภูเขาเมืองท้อยังกลายเป็นเพียงภูเขาวิญญาณอันเลื่องชื่อในเขตราชาหกวิถี
เนิ่นนานมาแล้ว เคยมีหนึ่งยอดฝีมือจากวิถีปีศาจผู้ฝึกฝนแข็งแกร่งดั้นฟ้ายึดครองภูเขาแห่งนี้
ทว่าซูอี้ชอบเรียกอีกฝ่ายว่า ‘ไก่แจ้เฒ่า’ มากกว่า
ในอดีตชาติของเขา เพื่อที่จะข้ามผ่านทะเลทุกข์ เขาเคยมาที่นี่เพื่อวางเดิมพันกับจ้าวบรรพตเมืองท้อก่อนจะชนะได้แก่นกำเนิดแห่งพฤกษาทิพย์เมืองท้อไปหล่อหลอมสร้าง ‘เรือไร้อับปาง’ ขึ้นมา
เมื่อเขาข้ามทะเลทุกข์ สมบัติชิ้นนี้มีผลวิเศษแปรเคราะห์เป็นโชคหลายต่อหลายครั้ง
การที่ซูอี้มาที่นี่ครานี้ ประการแรกคือผ่านทางมา และประการที่สอง เขาก็คิดอยากได้แก่นกำเนิดพฤกษาทิพย์เมืองท้ออีกชิ้นไปทำเป็นเรือไร้อับปาง เตรียมการเดินทางสู่ทะเลทุกข์ในภายหน้าเช่นกัน
รัตติกาลกำลังมาเยือน ดวงจันทร์สีม่วงปรากฏดุจตะขอบนฟากฟ้า
ซูอี้ใช้มือไพล่หลังก้าวยาว ๆ ไปยังภูเขาเมืองท้ออันไกลออกไป
“หือ? ไฉนที่แห่งนี้จึงเต็มไปด้วยหมอกควันเล่า?”
ซูอี้เลิกคิ้วน้อย ๆ
ในคลองจักษุของเขา มีปราณชั่วร้ายรุนแรงปกคลุมบนภูเขาเมืองท้ออันสูงตระหง่านใหญ่โตราวม่านหมอกควันโสมมสีเลือด บดบังท้องนภา กระจัดกระจายทุกหนแห่ง
ในความประทับใจของเขา ภูเขาเมืองท้อเป็นดั่งบรรพตเรืองนามในแดนศักดิ์สิทธิ์ ทิวทัศน์งามตระการ ลำธารใสน้ำตกสวยมากมายทุกแห่งหน มีกระทั่งพฤกษาบรรพกาลดุจสุขาวดีนอกโลกา
ทว่ายามนี้ มันดูจะเปลี่ยนแปรไปเป็นสถานที่อันร้ายกาจ!
“เกิดอันใดขึ้น? จากการดูแลของเจ้าไก่แจ้เฒ่านั่น ไฉนภูเขาเมืองท้อจึงเป็นเช่นนี้ไปได้?”
ซูอี้คิดพลางเดินไปเบื้องหน้า
ขณะที่เขากำลังจะเข้าไปถึงตีนเขานั้นเอง เสียงพูดคุยก็แว่วผ่านสายลมมา
มีคนหรือ?
ซูอี้คิดสักพัก และเดินไปยังทิศกำเนิดเสียงโดยไม่ปิดบังตัวตน
ไม่นานนัก ซูอี้ก็พบกลุ่มผู้ฝึกตน
ชายหญิงกลุ่มนี้มีทั้งหมดเจ็ดคน ล้วนแต่สวมชุดจีนสีครามทมิฬปักลาย ‘ปักษาครามสยายปีก’ บนบ่า
เห็นได้ชัดว่าพวกเขามาจากฝ่ายเดียวกัน
ผู้นำพวกเขาคือสตรีร่างสูงใหญ่ทรงภูมิผู้หนึ่ง อาภรณ์สีครามทมิฬทำให้นางดูโดดเด่นมากกว่าเก่า เส้นผมสีปีกกามัดรวบไว้เบื้องหลังด้วยแถบผ้าทอง และที่หลังของนางสะพายดาบวิถีสีดำในฝักของมัน
นางกำลังพูดกับชายชราร่างเล็กผู้หนึ่ง
ยามเมื่อซูอี้ปรากฏตัวจากไกล ๆ เขาก็ดึงความสนใจจากผู้ฝึกตนเหล่านี้ได้ทันที
“นั่นใคร!?”
ชายร่างสูงใหญ่ถามเสียงต่ำ
ทุกสายตาหันไปมอง
เมื่อพวกเขาเห็นชายหนุ่มผู้ยืนโดดเดี่ยว ทุกผู้ต่างตื่นตกใจ สีหน้าท่าทางปรากฏความระแวดระวัง
เป็นที่รู้โดยถ้วนทั่วว่าภูเขาเมืองท้อเป็นสถานที่อันร้ายกาจ โดยเฉพาะในยามวิกาล กระทั่งผู้ฝึกตนกล้าหาญชำนาญศึกยังไม่กล้ามาที่นี่ง่าย ๆ
ทว่ายามนี้กลับปรากฏชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินลอยชาย ซึ่งดูผิดปกติเกินไป
สตรีสะพายดาบซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มกล่าวขึ้นก่อน “นามข้าคือเซี่ยอวิ้นเหยียน เป็นผู้ฝึกตนจากสำนักดาบฟ้าสว่าง ขอบังอาจถามสมญาใต้เท้าได้หรือไม่?”
วาจานั้นไพเราะเสนาะหูและตรงไปตรงมา
สำนักดาบฟ้าสว่าง?
ซูอี้ครุ่นคิดสักพัก และท้ายที่สุดก็ไม่อาจทราบว่านี่คือขุมกำลังใด
เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติเช่นกัน ภูมิมืดมิดนี้มีหกเขตสิบสามแดนดิน อย่าว่าแต่ที่อื่นเลย แค่ในเขตราชาหกวิถีเขตเดียว นอกจากกลุ่มเต๋าระดับสูงสุดเหล่านั้น ยังมีขุมกำลังผู้ฝึกตนน้อยใหญ่มากมาย
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสำนักดาบฟ้าสว่างก็เป็นหนึ่งในนั้น
“ข้าแค่ผ่านทางมา ไม่จำเป็นต้องกล่าวนามหรอก”
ขณะครุ่นคิดเช่นนี้ ซูอี้ก็กล่าวอย่างลอยชาย “เหตุที่ข้ามาที่นี่ นั้นก็เพื่อถามคำถามหนึ่ง”
ถามคำถาม?
ทุกผู้มองหน้ากัน รู้สึกประหลาดยิ่งขึ้นไปทุกที
“ใต้เท้าโปรดชี้แจง”
สตรีสะพายดาบผู้เรียกตนเองว่าเซี่ยอวิ้นเหยียนกล่าวเสียงใส
ซูอี้มองภูเขาเมืองท้อและกล่าวว่า “ภูเขาเมืองท้อกลายเป็นเช่นนี้แต่ยามใดหรือ?”
คนผู้นี้ไม่รู้กระทั่งเรื่องนี้หรือ?
ทุกคนต่างตกใจ
แม้ในใจเซี่ยอวิ้นเหยียนจะรู้สึกแปลก แต่นางก็อธิบายอย่างอดทน “ราวสิบแปดปีก่อน เกิดความเปลี่ยนแปลงในภูเขาเมืองท้อ มีวิญญาณชั่วร้ายโสมมปรากฏขึ้นเต็มไปหมดและบ่อยครั้ง”
“ในเวลาเพียงสิบแปดปี ที่แห่งนี้ก็กลายเป็นดินแดนอาถรรพ์อันรู้โดยถ้วนทั่ว”
“โดยเฉพาะช่วงนี้ เมื่อรัตติกาลเคลื่อนผ่าน ภูเขานี้ก็มักจะเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและวิญญาณร้าย แปรเปลี่ยนทัศนียภาพเป็นแปลกประหลาดพิกล”
เซี่ยอวิ้นเหยียนกล่าวต่อหลังชะงักไปครู่หนึ่ง “ในช่วงสองสามปีมานี้ มีผู้ฝึกตนมากมายเดินทางมาสำรวจ ทว่าแต่ละผู้ หากไม่เสียชีวิตก็เผ่นหนีลนลาน บอกว่าในภูเขานี้เปลี่ยนเป็นเมืองผีไปแล้ว ปรากฏผีร้ายบรรพกาลและวิญญาณดุร้ายมากมาย”
หลังซูอี้ฟังจบ เขาก็ยิ่งรู้สึกพิกล
ด้วยนิสัยเกลียดความชั่วร้ายดั่งศัตรูของไก่แจ้เฒ่า เขาจะเปลี่ยนรังเก่าตนเองเป็นเมืองผีเหม็นเน่าเยี่ยงนี้ได้เช่นไร?
หลังจากครุ่นคิดสักพัก ซูอี้ก็เอ่ยถาม “งั้นพวกเจ้ารู้หรือไม่ ว่า ‘จ้าวบรรพตเมืองท้อ’ ผู้เคยอาศัยที่ภูเขานี้อยู่หนใด?”
จ้าวบรรพตเมืองท้อ!
เซี่ยอวิ้นเหยียนส่ายหน้าตอบ “ข้าไม่ทราบ”
ชายชราร่างเล็กข้างกายนางตอบว่า “ท่านจ้าวบรรพตเมืองท้อคงจากไปนานแล้วล่ะ”
ซูอี้พยักหน้ากล่าว “ขอบคุณมาก”
จากนั้น ชายหนุ่มก็เดินเข้าไปสู่ภูเขาเมืองท้อ
เขาจะตรวจสอบมันด้วยตนเอง
เมื่อเห็นเช่นนี้ เหล่าผู้ฝึกตนจากสำนักดาบฟ้าสว่างก็ผ่อนคลายความระวังลงเล็กน้อย ตระหนักแล้วว่าชายหนุ่มในชุดเขียวผู้นี้ไม่ได้ประสงค์ร้าย
“ช้าก่อนเจ้าค่ะ ใต้เท้า”
เซี่ยอวิ้นเหยียนเอ่ยเรียกกะทันหัน ซูอี้ชะงัก ก่อนจะกล่าวโดยไม่หันกลับ “เกิดอันใดหรือ?”
เซี่ยอวิ้นเหยียนลังเลชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวว่า “ภูเขาเมืองท้อยามวิกาลอันตรายที่สุด มีผีร้ายมากมายซึ่งมีวิถีเต๋านับพัน ๆ ปีซุกซ่อนในนั้น ใต้เท้าไปคนเดียวจะเสี่ยงเกินไป ในความเห็นข้า หากใต้เท้าต้องการตรวจสอบภูเขาเมืองท้อ รอจนรุ่งสางคงดีกว่า”
นี่คือการเตือนด้วยความประสงค์ดี
ซูอี้ถามยิ้ม ๆ “ในเมื่อพวกเจ้ารู้ถึงความอันตราย ไฉนเล่าจึงมายามรัตติกาลเยือน?”
ตั้งแต่แรกพบ เขาก็เห็นแล้วว่าในหมู่ผู้ฝึกตนจากสำนักดาบฟ้าสว่าง มีเพียงสตรีสะพายดาบซึ่งเป็นผู้นำและชายชราร่างเล็กเท่านั้นที่มีการฝึกฝนในขอบเขตวงล้อวิญญาณ
ส่วนคนอื่น ๆ นั้นล้วนอยู่ในขอบเขตสยายวิญญาณทั้งสิ้น
การจัดกลุ่มเช่นนี้นับว่าไม่เลว
แต่หากต้องการฝ่าเข้าไปในภูเขาเมืองท้อที่เต็มไปด้วยสายหมอกก็ดูจะอ่อนด้อยไปหน่อย
“นี่…”
เซี่ยอวิ้นเหยียนอดลังเลไม่ได้
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซูอี้ก็มิได้ถามอันใดต่อ และกล่าวว่า “ในความคิดข้า ไม่ว่าพวกเจ้าจะมาที่นี่ด้วยจุดประสงค์ใด คงดีที่สุดหากไม่เข้าไปในหุบเขานี้”
เสียงเขายังไม่ทันจาง แต่ร่างของเขาจากไปแล้ว
ยามวิกาลเยือน ความมืดทะลักไหลดุจกระแสน้ำจมโลกาสู่เบื้องล่าง และปกคลุมร่างสูงของซูอี้กับภูเขาเมืองท้อ
มีเพียงจันทร์เสี้ยวสีม่วงลอยเด่นเหนือนภามืดมิด ทอแสงจาง ๆ ที่ไม่อาจไล่ความมืดไปได้เลย
“ศิษย์พี่หญิงเซี่ย ท่านอุตส่าห์เตือนเจ้านั่นแล้ว แต่ไม่เพียงเขาไม่ฟัง ยังกล้ากล่อมเราไม่ให้เข้าไปในเขาอีก ช่างหมางเมินเจตนาดีของผู้อื่นแท้ ๆ”
ชายหนุ่มท่าทางองอาจผู้หนึ่งพึมพำ
ชายชราร่างเล็กครุ่นคิด “ในความเห็นข้า พ่อหนุ่มผู้นั้นไม่มีทางเป็นคนธรรมดา”
“อาจารย์อาหลิ่วพูดถูก ชายหนุ่มผู้นั้นดูเยาว์วัย ทว่าการวางตัวของเขาดีมาก เป็นไปไม่ได้จริง ๆ ที่เขาจะเป็นคนธรรมดา ทว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวอันใดกับเรา”
เซี่ยอวิ้นเหยียนกล่าวพลางเดินไปเบื้องหน้า “ไปกันเถิด ถึงเวลาที่เราจะลงมือกันแล้ว คืนนี้มีดวงจันทร์สีม่วงบนฟ้า และสำหรับเรา นี่คือกาลอันเหมาะสมที่สุดแก่การสำรวจภูเขาเมืองท้อ”
คนอื่น ๆ ตามนางไป
…
ภูเขาเมืองท้อไพศาลอย่างยิ่ง หากสำรวจระยะทางที่มันครอบคลุมก็มากกว่าสามพันลี้
มียอดเขาและหุบเหวมากมายในภูเขานี้
ท่ามกลางความมืดแห่งรัตติกาล หมอกสีเลือดปกคลุมทุกหย่อมหญ้านภากว้าง นาน ๆ ครั้งจะเกิดเสียงกรีดร้องแหลมฟังดูพิกล ทำให้ทั้งภูเขานี้ปกคลุมไปด้วยบรรยากาศอันตรายชวนใจหาย
ซูอี้เดินทอดน่องไปเบื้องหน้า ดูเหมือนเดินช้า ๆ ทว่าหนึ่งก้าวของเขาเคลื่อนร่างไปหลายสิบจั้ง
ระหว่างทาง หมอกสีเลือดเหล่านี้เพียงพอจะทำให้ผู้ฝึกตนในวิถีวิญญาณหวาดกลัว ทว่าก่อนที่มันจะทันได้แปดเปื้อนร่างของซูอี้ มันก็ถูกแสงสว่างสีทองจาง ๆ สลายไปเสียก่อน
นั่นคือปราณของโคมไฟดอกบัวอาญา
สมบัติของหลวงจีนซ่อนใบแห่งแดนบูรพาน้อยนี้มีอำนาจวิเศษขจัดความชั่วร้าย ชำระล้างวิญญาณ
ยามนี้ ซูอี้ไม่จำเป็นต้องเรียกใช้สิ่งใด เพียงพึ่งปราณของสมบัตินี้เฉย ๆ ก็สามารถปัดเป่าพลังปราณชั่วร้ายสีเลือดระหว่างทางได้แล้ว
นาน ๆ ครั้งจะปรากฏวิญญาณขึ้นบนเส้นทาง แต่เมื่อพวกมันสังเกตเห็นแสงสีทองบนร่างของซูอี้จากระยะไกล พวกมันก็ล้วนหนีหายสิ้น
ซูอี้ไม่ได้สนใจพวกมัน
แน่นอน เขาย่อมไม่ใส่ใจผีกระจอกเหล่านี้หรอก
ระหว่างทาง ซูอี้พบซากศพและโครงกระดูหคนตายมากมาย เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ฝึกตนที่มาสิ้นใจอนาถอยู่ที่นี่
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาคือผู้มาสำรวจหาโอกาสในภูเขาเมืองท้อ ณ กาลก่อน
เสี้ยวชั่วยามถัดมา
ซูอี้ก็มาถึงหนึ่งยอดเขาสูงชันอันเดียวดาย
กลิ่นคาวเลือดที่นี่หนาแน่นดุจม่าน บดบังนภาตะวันทั่วสารทิศ พอจะมองเห็นทางเดินวนขึ้นยอดเขาได้ราง ๆ
มีอาคารโบราณมากมายสร้างอยู่บนนั้น ทว่าพวกมันกลับล่มสลายกลายเป็นซากไปแล้ว
มองจากไกล ๆ นับว่าเป็นภาพน่าตกใจ
“กระทั่งรังของไก่แจ้เฒ่ายังร้างสนิท…”
ซูอี้ขมวดคิ้วเมื่อเห็นเช่นนี้
ยอดเขานี้มีนามว่ายอดเขาดวงตะวัน เป็นสถานที่ปลีกวิเวกของจ้าวบรรพตเมืองท้อ ในอดีต ที่แห่งนี้เคยสว่างไสวเจิดจรัส เต็มไปด้วยสิริมงคล เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นหนึ่ง
ทว่ายามนี้ ทั้งทัศนียภาพต่างเต็มไปด้วยความชั่วร้าย!
ทว่าไม่นานนัก ซูอี้ก็สังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติ
ทั่วทั้งยอดเขาดวงตะวัน แม้จะปกคลุมด้วยหมอกหนาสีเลือด ทว่ากลับไร้ร่างของผีสักตน เงียบสงัดดุจแดนรกร้าง
ที่แห่งนี้ราวกับเป็นพื้นที่ต้องห้าม ที่แม้แต่ผีร้ายยังไม่กล้าเข้าใกล้
แน่นอนว่ายังมีความเป็นไปได้อีกอย่างอยู่
นั่นคือมีผีร้ายอันทรงพลังตั้งรกรากอยู่ในที่นี้ และผีตนอื่นก็ไม่กล้าล่วงล้ำ!
ทว่าซูอี้ย่อมไม่กลัวเรื่องนี้
ร่างของเขาวูบไหว ลอยขึ้นสู่ยอดเขาดวงตะวัน
ที่นี่มีวัดโบราณอันผุพังทรุดโทรมอยู่แห่งหนึ่ง อาคารสูงทั้งหลายถล่มลงหมดแล้ว เหลือเพียงโถงกลางซึ่งยังตั้งอยู่ แต่มันเองก็เสียหายยับเยิน
ซูอี้เดินตรงเข้าสู่วัด
ในอดีต ที่แห่งนี้คือสถานบำเพ็ญธรรมฝึกฝนของไก่แจ้เฒ่า ซึ่งปกคลุมด้วยค่ายกลสารพัด
ทว่ายามนี้ มันไม่เหลืออยู่แล้ว
ความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ทำให้ซูอี้ขมวดคิ้ว
ในขณะที่เขากำลังจะเข้าสู่ประตูวัดอันผุพังนั้นเอง คมดาบสีขาวซีดพลันปรากฏขึ้นเงียบ ๆ และแทงเข้าใส่หว่างคิ้วของซูอี้
มันพุ่งมาอย่างกะทันหัน
รวดเร็วรุนแรงดั่งสายฟ้า!