บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 86 ร่างอ่อนละมุนดุจสายน้ำ สัมผัสอันคลุมเครือ
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 86 ร่างอ่อนละมุนดุจสายน้ำ สัมผัสอันคลุมเครือ
ตอนที่ 86: ร่างอ่อนละมุนดุจสายน้ำ สัมผัสอันคลุมเครือ
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงอยากพูดจาประชดประชันต่อ
แต่เพื่อรักษาท่าทางและเป็นการฝึกตนเอง เขาจึงยิ้มเล็กน้อย ทำท่าเชื้อเชิญเพื่อต้อนรับ แสร้งทำเป็นใจกว้าง
“ซูอี้ ผู้ที่รู้เหตุการณ์ปัจจุบันคือผู้มีปัญญา เจ้ายอมรับความผิดพลาดแล้วยอมกลับมาเช่นนี้ ข้ามีความสุขยิ่งนัก ข้าไม่สนใจเรื่องความไม่ยินดีเมื่อครู่นี้แล้ว เจ้าไม่ต้องเก็บมาใส่ใจหรอก”
พวกหยวนลั่วซีตกตะลึงไปครู่ สีหน้าแปลกประหลาด ทำไมชายผู้นี้ถึงหลงตัวเองได้เพียงนี้?
ซูอี้ชี้ไปยังบันไดที่อยู่ไกลออกไป กล่าวว่า “ปัญหามาจากตรงประตู นายน้อยจือหลีระวังไว้หน่อยก็ดี”
หลังจากนั้น เขานั่งลงบนเก้าอี้ข้างเรือ มองแม่น้ำต้าฉางที่ถูกราตรีปกคลุมไกลออกไป ก่อนจมสู่ห้วงความคิด
คืนนี้ เกรงว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะสงบลง
ปัญหาหรือ?
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงขมวดคิ้ว เขาชำเลืองมองจางตั้วที่อยู่ข้างเขา “เจ้าไปดูที”
“แล้วก็… ระวังตัวเองด้วย”
จางตั้วลังเลสักพัก ก่อนทะยานออกไป
สายตาของชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงอ่อนโยนลง เขามองหยวนลั่วซี กล่าวว่า “คุณหนูหยวน ดั่งเช่นที่ข้าเพิ่งพูดไป ขอเพียงมีข้าอยู่ ที่นี่บนเรือย่อมปลอดภัยที่สุด”
หยวนลั่วซีไม่ได้ตั้งใจจะเสวนากับเขาอยู่แล้ว นางเตรียมจะเดินจากไป
ทันใดนั้น ไม่ไกลกันนั้นมีผู้หญิงหนึ่งกับเด็กทารกหนึ่งรีบวิ่งมา สีหน้าแตกตื่น พึมพำไม่หยุดว่า “ข้าอยากลงไป! สามีข้ายังอยู่ชั้นที่แปดของเรือโดยสาร…”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงขมวดคิ้ว ก้าวมาข้างหน้าเพื่อขวางทาง “ชั้นล่างอันตราย โปรดฟังข้า เจ้ากับลูกของเจ้าอยู่ที่นี่ย่อมปลอดภัยที่สุด”
หญิงอุ้มลูกทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้น รอยยิ้มหยันปรากฏที่มุมปาก “จริงหรือ?”
หลังจากพูดจบ มือของนางที่เคยกุมมือเด็กทารกเอาไว้ พลันเปลี่ยนไปล้วงกริชคมในผ้าอ้อมออกมา ก่อนแทงเข้าท้องน้อยของชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงอย่างแรง
นี่ย่อมเป็นกลเม็ดลอบสังหารที่เก่าแก่แต่ยังได้ผลยิ่ง ไม่เพียงปลอมตัวอย่างแยบยลเท่านั้น แต่ท่วงท่าของนางยังไม่แตกต่างจากผู้หญิงทั่วไป
แต่เมื่อนางลงมือ มันช่างรวดเร็ว แม่นยำ โหดเหี้ยม!
อั่ก!
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงพลันตัวงอ มือป้องท้องน้อย ร่างเซไปด้านหลัง สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจและสับสน
“รนหาที่ตายนัก!”
ตอนนี้ เฉิงอู้หย่งผู้อยู่ไม่ไกลจากชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงพลันตอบสนอง ดวงตาของเขาเปล่งประกาย ซัดฝ่ามือเข้าใส่หญิงอุ้มเด็ก
ใครจะคาดคิด ผู้หญิงคนนี้ปราดเปรียวนัก เพียงพริบตา นางขยับถอยออกพ้นระยะ
นางโยนผ้าห่อเด็กปลอมที่อยู่ในมือทิ้งไป ไม่มีความยินดีอยู่บนใบหน้า ดูมืดมนและน่าเกลียดนัก
“คุณชายจือหลี ปลอดภัยหรือไม่?” เฉิงอู้หย่งถามอย่างเคร่งขรึม
ตอนนี้ หวงเฉียนจวินและหยวนลั่วซีตอบสนองเช่นกัน เหงื่อเย็นหลั่งออกมา
การลอบสังหารเมื่อครู่ พวกเขาไม่สังเกตเห็นแม้แต่น้อย!
ไม่ไกลกันนั้น ซูอี้ยังนั่งอยู่กับที่ เขาเพียงมองผู้หญิงที่อยู่ไกลออกไป ก่อนถอนสายตากลับ
การลอบสังหารนี้ จังหวะนับว่าสมบูรณ์แบบ เป็นช่วงที่จางตั้วออกไปพอดี
เมื่อชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงไร้การปกป้องจากจางตั้ว เขาย่อมไม่มีความสามารถที่จะหยุดการลอบสังหารเช่นนั้นได้
น่าเสียดาย สุดท้ายผู้หญิงกลับลงมือพลาด
ไม่ใช่ว่านางฝีมือไม่ดี แต่กริชในมือมันแย่เกินไป…
“ไม่เป็นไร ข้าใส่เกราะจินหงหยกอ่อนไว้ป้องกันตัวอยู่ แม้แต่อาวุธวิญญาณธรรมดาก็ไม่สามารถแทงเข้าได้!”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงหลั่งเหงื่อออกมาเพราะความเจ็บปวด ในใจของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
แน่นอน ทุกคนมองเห็น แม้ว่าชุดคลุมช่วงท้องน้อยของเขาจะถูกแทง แต่ไม่มีบาดแผลหรือคราบเลือดแต่อย่างใด
“องค์ชาย!”
ไม่ไกลกันนั้น จางตั้วปรี่กลับมาราวสายลมกระโชก เขาทั้งโกรธและกังวล
“ข้าไม่เป็นไร”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงสูดหายใจเข้า กล่าวด้วยสีหน้าหมองหม่นว่า “ข้าแค่คาดไม่ถึงว่าบนชั้นที่เก้า จะยังมีนักฆ่าแฝงตัวอยู่!”
เขามองผู้หญิงนั่น สายตาเย็นยะเยือกและน่าสะพรึง
น่าแปลก ผู้หญิงนางนั้นไม่ตั้งใจที่จะถอย แต่นางกลับเอามือทาบอกแทน สีหน้าเผยความผิดหวังก่อนถอนหายใจออกมา “ข้าไม่คาดคิดเลย องค์ชายหกจะสวมเกราะอ่อนเช่นนั้นด้วย”
ในบริเวณใกล้เคียง หลายคนเผยท่าทีแตกตื่น พวกเขาตกตะลึงกับฉากนี้ ไม่กล้าก้าวมาข้างหน้า
“องค์ชายหกหรือ? ท…ท่านคือ…”
หยวนลั่วซีป้องริมฝีปากสีเชอร์รี่ ดวงตางดงามเบิกกว้าง
องค์ชายหก!
ผู้ที่สามารถถูกเรียกว่าองค์ชายได้ หากไม่ใช่เหล่าราชนิกูลในนครหลวงอวี้จิง ก็ต้องเป็นลูกหลานสายตรงของจักรพรรดิต้าโจวคนปัจจุบัน!
เมื่อมองดูอายุของชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วง อย่างหลังมีความเป็นไปได้มากกว่า!
หวงเฉียนจวินแข็งทื่อไปทั่วร่างเช่นกัน เขาไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
คนตรงหน้าเขาที่ทำตัวโอ้อวด ถึงกับเป็นองค์ชายงั้นหรือ!?
ส่วนเฉิงอู้หย่ง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป พายุก่อตัวขึ้นในใจ
เขตปกครองอวิ๋นเหอคือหนึ่งในหกเขตในแคว้นกุ่น ตั้งอยู่ทางภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ของอาณาจักรต้าโจว มันอยู่ห่างไกลจากนครหลวงอวี้จิงมากนัก
สำหรับพวกเขา นครหลวงอวี้จิงนับว่ายิ่งใหญ่และเลิศล้ำกว่าอย่างเทียบไม่ได้
ตอนนี้ องค์ชายต้าโจวปรากฏขึ้นตรงหน้าแล้ว มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่พวกเขาจะตกตะลึงมากกว่าปกติ
“กลายเป็นปัญหาใหญ่จริงด้วย” ซูอี้ขมวดคิ้ว
กล้าลอบสังหารองค์ชาย จินตนาการได้เลยว่ามรสุมปัญหาที่กำลังจะพัดมามันใหญ่มากแค่ไหน!
เป็นไปได้มากว่าพวกเขาจะต้องเข้าไปพัวพันกับปัญหานี้อย่างไร้เหตุผล
ทว่าคิ้วของซูอี้คลายออกอย่างรวดเร็ว เขาเกียจคร้านเกินกว่าจะคิดให้มากความ
หากปัญหามาถึงหน้าประตู เพียงดาบเดียวก็สามารถขจัดมันได้
“ทุกท่านโปรดอย่าได้ถือสาที่ข้าปกปิดตัวตนก่อนหน้านี้ การเดินทางของข้าในครั้งนี้ เป็นความลับยิ่ง ใครจะคาดคิด ว่าจะยังตกเป็นเป้าจากโจรพวกนี้”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา
ทว่า เมื่อเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้ง ดวงตาของหยวนลั่วซีและหวงเฉียนจวินต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีใครกล้าอวดดีเหมือนเมื่อครู่
ซูอี้มองตาอีกฝ่าย ไม่ได้กล่าวอะไร
อย่างไรเสีย นี่คือโลกของต้าโจว อำนาจของกษัตริย์คือที่สุด อย่าว่าแต่พวกหยวนลั่วซีเลย ต่อให้ปรมาจารย์วิถียุทธ์อยู่ที่นี่ เกรงว่าก็ต้องไว้หน้าอีกฝ่าย
ตุบ ๆ ๆ !
มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ที่ปลายสุดของบันได มีกลุ่มคนขึ้นมา
หัวหน้าคือชายวัยกลางคนผู้ดูเหมือนบัณฑิตที่ขู่พวกซูอี้เมื่อครู่
ด้านหลังของเขา มีชายร่างกำยำชุดดำหลายสิบคน พวกเขาล้วนสวมหน้ากาก เผยให้เห็นเพียงดวงตาเท่านั้น บรรยากาศของทุกคนเย็นยะเยือก ดูร้ายกาจยิ่งนัก
“องค์ชายหกช่างสง่างามสมคำร่ำลือ”
ชายวัยกลางคนลักษณะเหมือนบัณฑิตผู้หนึ่งก้าวออกมา เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “บนเรือตอนนี้ จางอี้เหรินกับลูกน้องของเขากำลังยุ่งกับการกำจัดเหล่าสัตว์ปีศาจอยู่ ส่วนข้ารับใช้สามคนที่เคยอยู่ข้างกายองค์ชาย ถูกกองกำลังของพวกข้ายับยั้งเอาไว้แล้ว… ตอนนี้ ผู้ที่สามารถปกป้ององค์ชายได้ เหลือเพียงจางตั้วเท่านั้น”
หลังจากจบประโยค ชายวัยกลางคนผู้ดูเหมือนบัณฑิตผู้นั้นก็หยุดไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวต่อว่า “ถ้าองค์ชายยังพอมีไหวพริบ โปรดมอบของชิ้นนั้นมาเสีย ข้าให้สัญญา ขอเพียงแค่มอบมันมา พวกข้าจะไปทันที”
“ใครส่งเจ้ามา?”
ใบหน้าขององค์ชายหกเย็นชา แต่แววตาปรากฏความหมองหม่นวูบหนึ่ง
อีกฝ่ายถอนหายใจอย่างแผ่วเบา “พูดตามตรง ข้าอยากรู้เหมือนกันว่าใครที่ยอมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อจ้างให้พวกข้าทำเรื่องเช่นนี้ แต่ด้วยผลตอบแทนที่หอมหวานเกินกว่าจะปฏิเสธ พวกข้าจึงตกลงใจยอมเสี่ยงต่อโทษประหารเก้าชั่วโคตรอย่างไม่ลังเล!”
องค์ชายหกขมวดคิ้ว “คนว่าจ้างของเจ้าจ่ายเยอะแค่ไหน ข้าสามารถจ่ายให้ได้เป็นสองเท่า ขอเพียงแค่เจ้าไปเสียแต่ตอนนี้ ข้ารับปากในนามของตัวเองว่าจะลืมเรื่องในวันนี้!”
ชายวัยกลางคนผู้ดูเหมือนบัณฑิตยิ้มก่อนส่ายหน้า “องค์ชายหก อย่ามัวโอ้เอ้อยู่เลย ข้าจะนับถึงสาม ถ้าพระองค์ไม่ส่งของมาก็อย่าหาว่าข้าโหดร้าย!”
“หนึ่ง”
เขาชูขึ้นมาหนึ่งนิ้ว สีหน้าสงบราบเรียบ
ด้านหลังของเขา ชายชุดดำทุกคนกุมดาบไว้ พร้อมลงมือทุกเมื่อ
บรรยากาศกดดันเป็นอย่างยิ่ง อากาศราวกับถูกแช่แข็ง
“ไม่คิดจะเจรจาจริงหรือ?”
ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงขมวดคิ้ว ถึงแม้ใบหน้าจะน่าเกลียด แต่ก็ยังคงไม่แตกตื่น
ชายวัยกลางคนตรงหน้าไม่ตอบคำถาม ริมฝีปากกล่าวหนึ่งคำออกมาอย่างแผ่วเบา “สอง”
ตอนนี้ ทั้งหยวนลั่วซี เฉิงอู้หย่ง และคนอื่น ๆ ล้วนวิตก พวกเขาลอบบ่นอยู่ในใจ
หากเป็นไปได้ พวกเขายอมไม่รู้ตัวตนของชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงดีกว่า
ตอนนี้ เมื่อองค์ชายหกประสบเคราะห์กรรม พวกเขาจะไม่ช่วยได้อย่างไร?
หากพวกเขานิ่งดูดายไม่ช่วยเหลือ ราชวงศ์แห่งต้าโจวจะถือโทษพวกเขาทันที และจากนั้นทั้งพวกเขา รวมถึงสมาชิกในตระกูลทั้งหมด คงล้วนต้องโทษประหาร!
“คุณชายซูพูดถูก คนผู้นี้คือหายนะ ที่ที่เขาอยู่อันตรายที่สุด!” หยวนลั่วซีถอนหายใจ
เมื่อนางเห็นซูอี้นั่งอยู่ไม่ไกลด้วยสีหน้าสงบนิ่ง หัวใจของนางก็กลับมาสงบอย่างคาดไม่ถึง
“ในเมื่อคุณชายซูอยู่ที่นี่ ยังจะต้องกลัวอันใดอีก?”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เอวบางของหยวนลั่วซีก็ยืดออกเล็กน้อย
ครั้งนี้ โดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายนับ ‘สาม’ ชายหนุ่มในชุดคลุมสีม่วงก็ตะโกนเสียงดังว่า “อาชิงจิน ถ้าท่านไม่ออกมา ข้าจบสิ้นจริง ๆ แน่!”
เสียงดังกระจายไปทั่วทั้งราตรี
ทุกคนต่างตกตะลึง
หลังจากนั้น เสียงสตรีผู้ราวกับเกียจคร้านเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ก็ดังขึ้นว่า “หึ เจ้ารีบร้อนเรียกข้าไปเพื่ออะไร? การฆ่าฟันยังไม่เริ่มเลยไม่ใช่หรือ?”
สิ้นเสียงของนาง ทุกคนก็ได้กลิ่นบุปผาโชยมาเตะจมูก ร่างผอมบางงามงดปรากฏแก่สายตา
ดวงตาวิญญาณของนางเจิดจ้าราวดวงดาว เส้นไหมสีน้ำเงินมัดผมเป็นหางม้า เผยใบหน้างดงามละเอียดอ่อนเด่นชัด
ผิวของนางสะอาดและเป็นสีขาวราวเครื่องเคลือบชั้นดี ร่างอันภาคภูมินั่นยากที่จะปกปิดได้ด้วยชุดคลุมธรรมดาราบเรียบ เค้าโครงส่วนโค้งเว้าดูน่าหลงใหลนัก
ข้อมือของนางสวมกำไลผลึกสีเขียว มือประคองเหยือกสุราราวกับของล้ำค่า นางยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเกียจคร้าน แต่เปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขาม
เมื่อจ้องมองที่นาง ผู้คนต่างอดที่จะรู้สึกตะลึงไม่ได้
“ช่างเป็นสตรีที่งดงามนัก” หยวนลั่วซีอดที่จะพึมพำไม่ได้
“น้องสาวช่างตาถึง!”
หญิงสาวผู้มีนามว่า ‘ชิงจิน’ ยกนิ้วโป้งให้พร้อมกับเอ่ยคำชื่นชม ริมฝีปากสีแดงเผยรอยยิ้มน่าหลงใหลออกมา
ใบหน้าของหยวนลั่วซีแดงขึ้นเล็กน้อยในแบบที่หาได้ยาก
หัวใจของหวงเฉียนจวินเต้นโครมครามเช่นกัน ผู้หญิงคนนี้มีเสน่ห์เกินไป… ผู้ชายธรรมดาจะไปขัดขืนได้อย่างไร!
“ร่างอ่อนละมุนดุจสายน้ำ กลิ่นอายอันคลุมเครือ คาดไม่ถึงว่าในต้าโจวแห่งนี้จะมีผู้ที่ครอง ‘ร่างหยกอรุณวิญญาณ’ ดำรงอยู่ ถึงแม้ใน ‘ลำดับร่างวิญญาณสวรรค์’ ร่างนี้จะถูกจัดอยู่เพียงแค่ร่างวิญญาณชั้นต่ำระดับแปด แต่ในโลกธรรมดาใบนี้ นับเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง”
ตอนนี้ ซูอี้อดที่จะชำเลืองมองชิงจินไม่ได้ เขาประหลาดใจเล็กน้อย
ในโลกธรรมดาทั่วไปเช่นนี้ ผู้ใดที่ครองร่างวิญญาณนั้นย่อมมีอนาคตที่เปล่งประกายเจิดจ้ายิ่งกว่าคนทั่วไปอย่างหาเปรียบไม่ได้!