บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 860: ต้นเทพเมืองท้อ เพลิงเทพดวงตะวัน
ตอนที่ 860: ต้นเทพเมืองท้อ เพลิงเทพดวงตะวัน
ภายในห้องโถงมีแต่สิ่งปรักหักพังและความมืดมิด อีกทั้งยังคละคลุ้งไปด้วยหมอกสีโลหิต
เมื่อความเย็นสะท้านปรากฏ แสงขาวอำมหิตราวกับกระดูกพลันสะท้อนนัยน์ตา!
เพียงคำเดียวเท่านั้น เร็ว!
มันแหวกทะลุอากาศอย่างไร้สุ้มเสียง พุ่งแทงไปที่กลางหัวคิ้วของซูอี้
หัวคิ้วของซูอี้ฉีกขาดในฉับพลัน ประกายแสงขาวอำมหิตอันน่ากลัวปล่อยพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวออกไปบดขยี้ร่างสูงโปร่งของซูอี้
ปัง!
แต่เมื่อร่างของซูอี้แตกระเบิด กลับไม่มีเลือดสาดกระเซ็น ในทางกลับกัน ร่างนั้นได้เลือนหายไปอย่างเงียบงันราวกับฟองสบู่
เสียงร้องด้วยความตื่นตระหนกดังขึ้นภายในห้องโถงที่มืดมิด
จากนั้น…
ประกายแสงสีทองแสบตาก็ปรากฏขึ้น แสงแผ่ไปทั่วห้องโถงที่พังทลายราวกับระลอกเพลิงไฟที่สั่นระริก
ครืน!
หมอกสีเลือดหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ภายในห้องโถงใหญ่ที่มืดมิดจนมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้าพลันสว่างเจิดจ้า เพลิงเทวะสีทองส่องรอบด้านจนสว่างไสวราวกับกลางวัน เจิดจ้าผ่องอำไพ
จุดที่เพลิงแสงสว่างที่สุด ชายหนุ่มชุดสีเขียวปรากฏตัวขึ้น โดยที่มือหนึ่งไพล่หลัง ส่วนอีกมือหนึ่งถือโคมดอกบัวโลหะ ร่างที่สูงโปร่งอาบชโลมด้วยแสงสีทองราวกับเทพผู้รู้แจ้งลงมาสู่โลกมนุษย์
ซูอี้นั่นเอง!
โคมดอกบัวอาญาสวรรค์ในมือของเขา กลีบดอกบัวเก้ากลีบส่องแสงสว่างเจิดจ้าราวกับตะวัน!
และในขณะเดียวกัน มีเสียงร้องฮึดังขึ้น
มองเห็นภายในห้องโถงใหญ่ ด้านหนึ่งของแท่นทำพิธีที่ล้มระเนระนาด เงาดำที่กำลังคืบคลานปรากฏขึ้น ฉับพลันก็หายไปไม่เห็นอีก
ซูอี้ไม่ใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้ ขณะพินิจดูรอบด้านด้วยความสงบ
ผนังกำแพงสองด้านของห้องโถงสลักเป็นรูปภาพผีร้ายสิบแปดตน แต่ละตนมีลักษณะโหดเหี้ยมดุดัน
ขอบผนังกำแพงสองข้างที่อยู่ด้านในสุดของห้องโถง มีร่างสีดำกำลังถือเทียนสีขาว กับ ร่างสีขาวที่ถือโซ่ล่ามสีดำสองตนยืนอยู่คนละฝั่ง
ทั้งสองต่างก็สวมหมวกทรงสูง ลักษณะไม่เด่นชัด
ซูอี้รู้ว่านี่ก็คือทูตขาวดำ ซึ่งว่ากันว่าเป็นทูตนำพาของด่านประตูผี
ชาติก่อนตอนที่เขามายังภูเขาเมืองท้อ เคยประลองกำลังกับไก่แจ้เฒ่าที่ห้องโถงแห่งนี้
ตอนนั้น ไก่แจ้เฒ่าชี้ไปยังผนังสี่ด้านของห้องโถงใหญ่ และพูดด้วยความภาคภูมิใจ ‘ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด จักรวรรดิผีบูรพาอาจไม่มีเหลือแล้ว ทว่าข้าคือ ‘ยมบาลเดินดิน’ ของด่านประตูผีแห่งภูเขาเมืองท้อแห่งนี้!’
เวลาผ่านไป ห้องโถงใหญ่แห่งนี้ได้ทลายลงไปแล้ว ผนังทั้งสี่ด้านหลุดลอกเป็นรอย
ซูอี้ส่ายหัวสลัดความคิดฟุ้งซ่าน จากนั้นเดินตรงไปยังด้านในสุดของห้องโถงใหญ่ ก่อนจะสะบัดมือออกไป
ใจกลางผนังกำแพงหินที่สลักรูปทูตขาวดำพลันเกิดระลอกคลื่นขึ้นมา
จากนั้น ประตูบานหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
ซูอี้ถือโคมดอกบัวอาญาสวรรค์ก้าวเดินเข้าไปข้างใน
ภายในคือโลกดินแดนลึกลับมหัศจรรย์
ท้องฟ้าเป็นสีแดงราวกับถูกแสงตะวันย้อม บนพื้นปูด้วยรากต้นไม้จำนวนนับไม่ถ้วนที่มีความแข็งราวกับก้อนหิน
และมีต้นท้อต้นหนึ่งตั้งตระหง่านตรงใจกลางโลกดินแดนลึกลับ
ต้นท้อสูงร้อยฉื่อ ลำต้นใหญ่ กิ่งก้านสะท้อนประกายแสงของโลหะคล้ายกับดาบ
ดอกท้อที่คล้ายกับไฟเบ่งบานอยู่รวมกัน ราวกับเพลิงไฟที่กำลังแผดเผา ปกคลุมไปด้วยประกายแสงสวยงามบาดตา สวยสะพรั่งแพรวพราว
ดอกท้อบานสะพรั่ง สีแดงชาดงามโดดเด่น
ต้นท้อต้นนี้ ดูราวกับสูงเพียงแค่ร้อยฉื่อ แต่กิ่งของมันแผ่ออกไปทั่วทุกหนทุกแห่งของภูเขาเมืองท้อที่กินอาณาบริเวณสามพันลี้!
ชื่อของต้นนี้คือเมืองท้อ
คนทั้งหลายต่างก็เรียกว่า ‘ต้นเทพเมืองท้อ’
ภูเขาจึงตั้งชื่อตามชื่อต้นไม้ต้นนี้
เมื่อทอดสายตามองดูรากที่ขึ้นอยู่เต็มพื้นไปเรื่อย ๆ จนเห็นต้นเทพเมืองท้อ ซูอี้กลับรู้สึกหนักใจขึ้นมา
เพราะพลังแหล่งกำเนิดของต้นไม้เทพต้นนี้ถูกกลิ่นอายพลังชั่วร้ายสกปรกกัดกร่อน!
รากแต่ละเส้นที่มีขนาดใหญ่ราวกับก้อนหินล้วนมีกลิ่นอายของความตายแผ่ออกมาบาง ๆ
แม้กระทั่งบนลำต้นของต้นเทพเมืองท้อต้นนั้นก็ยังมีควันชั่วร้ายแผ่ปกคลุมอยู่ตลอด!
ซูอี้ก้าวเดินไปหา
จนไปอยู่ตรงหน้าต้นเทพเมืองท้อ รากขนาดใหญ่ของต้นไม้ต้นนี้ก็ชูขึ้นในฉับพลัน พร้อมกับดวงไฟอันเจิดจ้าพุ่งตรงมาที่ซูอี้
และในขณะเดียวกันนี้เอง…
พรึ่บ!
บนพื้นรอบด้าน รากทั้งหมดชูขึ้น ก่อนจะถักทอเข้าด้วยกันกลายเป็นคุกขนาดใหญ่บดบังฟ้าดิน ปิดล้อมซูอี้ไว้
ในชั่วพริบตา ซูอี้ก็ถูกขังอยู่ภายใน
ไกลออกไป
ร่างสีดำคืบคลานก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ
นางคือสาวน้อยร่างเล็กกะทัดรัด ผมสีแดงชาดสลวยนุ่มถูกบดบังอยู่ภายใต้ชุดคลุมสีดำตัวโต เผยให้เห็นเพียงเท้าขาวนวลดุจหยก
มือหนึ่งของนางถือคทาไม้สีดำที่มีความยาวเพียงสามฉื่อ ร่างเล็กกะทัดรัดยืนอยู่กลางอากาศ แสงสีทองอ่อน ๆ รายล้อมรอบตัว มีกลิ่นอายพลังภูตผีที่คละเคล้าไปด้วยจังหวะเทพสะอาดบริสุทธิ์
เมื่อเห็นซูอี้ถูกรากของต้นเทพเมืองท้อจับตัว ดวงตาสีฟ้าอ่อนอันใสสะอาดของสาวน้อยแสดงความโล่งใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด
นางพ่นลมออกจากปาก และตบอกตัวเองเบา ๆ
นางลังเลสักครู่ นิ้วมือเรียวงามขาวเนียนจับคทาไม้แน่น จากนั้นจึงค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้อย่างเชื่องช้า
จนกระทั่งมาอยู่ตรงหน้าคุกที่กลายร่างจากรากไม้ สาวน้อยชุดสีดำสงบสติอารมณ์สักครู่จึงกล่าว
“เจ้าคือผู้ใด เหตุใดจึงเข้าสู่ดินแดนลึกลับเมืองท้อได้? มาครั้งนี้เพราะจุดประสงค์ใด?”
น้ำเสียงสดใสเจื้อยแจ้วราวกับเสียงนกน้อยร้องเพลง แต่ทว่าแฝงไว้ซึ่งความเย็นชาราวกับน้ำแข็ง
“แม่หนูน้อย นี่คือวิธีการพูดกับคนอื่นของเจ้าเช่นนั้นหรือ?”
คุกที่สร้างขึ้นจากการถักทอของรากขังร่างของซูอี้
ทว่าเมื่อเสียงของเขาดังขึ้น รากที่ถักทอประสานกันเป็นคุกก็แยกออกด้วยมือเดียวอย่างง่ายดายราวกับแหวกม่านที่บางเบา
จากนั้น ซูอี้พาร่างสูงโปร่งของตัวเองเดินออกมาอย่างช้า ๆ
“เจ้า…”
สาวน้อยชุดดำราวกับถูกฟ้าผ่า ดวงตาสวยสีฟ้าอ่อนคู่นั้นเบิกกว้าง ร่างเล็กกะทัดรัดเกร็งแข็งขึ้นมา นางชูคทาไม้ในมือขึ้นเพื่อป้องกันตัวโดยสัญชาตญาณ
ซูอี้มองเห็นอย่างฉับไวว่าเท้าขาวเนียนประดุจหยกคู่นั้นของสาวน้อยงุ้มลงในทันใด เล็บเท้าสีใสจิกพื้น ตั้งท่าเตรียมพร้อมจะต่อสู้
ทว่าในสายตาของซูอี้ สาวน้อยทำท่าทางเช่นนี้กลับแลดูน่ารัก ไม่ได้มีความน่ากลัวแม้แต่น้อยนิด
“พลังแหล่งกำเนิดของต้นเทพเมืองท้อนี้ไม่อาจทำอะไรข้าได้”
ซูอี้พินิจมองดูสาวน้อยในชุดสีดำ กล่าวพลางใช้ความคิด “เจ้ากับไก่แจ้เฒ่ามีความสัมพันธ์อันใดต่อกัน?”
สาวน้อยชุดดำเม้มริมฝีปาก นิ่งเงียบไม่ตอบ ระมัดระวังอย่างเต็มที่
“เจ้าไม่บอกข้าก็รู้”
ซูอี้ยิ้ม จากนั้นเบนสายตามองไปที่ต้นเทพเมืองท้อต้นนั้นอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวขึ้นมาเบา ๆ “เมื่อก่อนนานมากแล้ว ไก่แจ้เฒ่าเคยกล่าวว่า ต้นเทพเมืองท้อต้นนี้ใกล้จะมีวิญญาณที่แท้จริงแล้ว หากว่ามีวันนั้นจริง ก็จะรับวิญญาณของต้นเทพเมืองท้อเป็นศิษย์ ถ่ายทอดวิชาความรู้ทั้งหมดในตัวเขาให้ ด้วยเหตุนี้ วันข้างหน้าต่อให้เขาไม่อยู่แล้ว ก็ยังมีคนที่สามารถดูแลต้นเทพเมืองท้อต้นนี้ได้”
สายตาของสาวน้อยชุดดำที่อยู่ไม่ไกลนักผุดประกายสงสัยขึ้นมา
ทว่านางยังคงดึงดันเม้มริมฝีปากแน่นไม่พูด
ซูอี้หันหน้ากลับไปมองสาวน้อยในชุดสีดำ และกล่าวขึ้น “อาจารย์ของเจ้าเล่า เขาไปไหนเสียแล้ว?”
สาวน้อยชุดดำนิ่งเงียบ ยังคงระมัดระวังตัวอย่างเต็มที่
ลักษณะท่าทางเช่นนี้ทำให้ซูอี้ขมวดคิ้ว จนอดที่จะกล่าวอย่างระอาใจไม่ได้ “ช่างเถอะ ในเมื่อเจ้าไม่ต้องการจะบอก ก็ไม่เป็นไร”
ชิ้ง!
เขาชักดาบนิลกาฬบริสุทธิ์ออกมา เดินไปที่ต้นเทพเมืองท้อ
สาวน้อยชุดดำตื่นกลัวขึ้นมา แสงสีทองบาดตาปกคลุมไปทั่วตัว กล่าว “เจ้าจะทำอะไร!?”
ซูอี้โพล่งออกไป “ล้วงใจต้นเทพเมืองท้อ”
“บังอาจ!”
เสียงเย็นยะเยือกเพิ่งดังขึ้น สาวน้อยชุดสีดำก็ลงมือก่อนแล้ว
โครม!!
เมื่อนางกวัดแกว่งคทาไม้สีดำในมือ ต้นเทพเมืองท้อสูงร้อยฉื่อก็เขย่า กลีบดอกไม้สีแดงชาดประดุจไฟจำนวนนับไม่ถ้วนพ่นดวงไฟสีฉูดฉาดออกมาราวกับทะเลไฟร่วงหล่นจากสวรรค์
กลิ่นอายพลังแห่งการทำลายล้างแผ่กระจายออกไปในทันใด
ซูอี้ทำสัญลักษณ์มือคว้าไปกลางอากาศ
ราวกับมีมือขนาดใหญ่ไร้รูปร่างปรากฏ ดวงไฟเต็มฟ้าถูกรวบเก็บรวมกันเป็นดวงไฟสว่างไสวราวกับดวงตะวัน ร่วงหล่นไปอยู่กลางฝ่ามือของซูอี้
สาวน้อยชุดดำนิ่งตะลึงไปในทันใด ดวงตาสดใสสีฟ้าผุดประกายแห่งความฉงนยากนักจะเชื่อ
“ต้นเทพเมืองท้อประกอบด้วย ‘เพลิงเทพดวงตะวัน’ ที่ใช้สำหรับสยบภูตผีชั่วร้าย วิถีนี้เรียกอีกอย่างว่า ‘ภาวะแท้ดวงตะวัน’ น่าเสียดาย ถึงแม้เจ้าจะเป็นวิญญาณที่อุบัติขึ้นจากต้นเทพเมืองท้อ ทว่าความช่ำชองในภาวะแท้ดวงตะวันถือได้ว่าเพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น เข้าใจเพียงแค่กระผีกเท่านั้น”
ซูอี้พูดจบก็ดีดนิ้ว
ดวงไฟดวงนั้นพุ่งขึ้นแล้วระเบิดเสียงดัง และได้กลายเป็นสะเก็ดแสงหลอมรวมเข้าไปในต้นเทพเมืองท้อ
“เจ้า… เป็นใครกันแน่?”
สาวน้อยชุดดำทนไม่ไหวอีกต่อไป และเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความอยากรู้
ชายหนุ่มผู้มีความเป็นมายากจะคาดเดา ไม่เพียงแต่บุกเข้าดินแดนลึกลับเมืองท้อได้อย่างง่ายดายเท่านั้น ทั้งยังดูเหมือนจะรู้ความลับมากมายที่เกี่ยวข้องกับต้นเทพเมืองท้อ เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์อย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่าไม่รอให้ซูอี้เอ่ยพูด ดินแดนลึกลับเมืองท้อพลันเกิดสั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างรุนแรง ราวกับมังกงกำลังพลิกตัวจนเกิดแผ่นดินไหว
“ไม่ได้การ!”
สาวน้อยชุดดำสีหน้าเปลี่ยน “ไอ้พวกสารเลวพวกนั้นมาอีกแล้ว!”
นางร้อนรนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะมองไปที่ซูอี้ จากนั้นมองดูทางเข้าดินแดนลึกลับเมืองท้อที่ห่างออกไปอีกครั้ง ทำท่าราวกับลำบากใจยิ่งนัก
ซูอี้เห็นเช่นนี้แล้วได้แต่ถอนใจเบา ๆ แม่สาวน้อยคนนี้… ไม่เคยเจอลมเจอฝนอะไรมาเลย ยังอ่อนหัดอยู่มาก
“ไปกัน”
เขาหมุนตัวออกไปจากดินแดนลึกลับเมืองท้อ
สาวน้อยชุดดำตกตะลึง ไม่เข้าใจความหมายของซูอี้
เมื่อเห็นนางยังยืนอยู่ตรงนั้น ซูอี้ก็ได้แต่กล่าวขึ้นมาด้วยความจนปัญญา “ไปจัดการกับเรื่องยุ่งยากก่อน จากนั้นพวกเราค่อยมาคุยกันอีกที เป็นอย่างไร?”
สาวน้อยชุดดำจึงเข้าใจ เพียงแต่รู้สึกสงสัยนัก ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อซูอี้ดีหรือไม่
ทว่าซูอี้กลับตรงออกไปจากดินแดนลึกลับเมืองท้อแล้ว
เห็นเช่นนี้แล้ว สาวน้อยชุดดำกัดฟันเบา ๆ แล้วจึงไล่ตามไป
ถึงแม้ซูอี้จะไม่ได้หันหน้ากลับมา แต่รู้สึกได้ว่าแม่สาวน้อยไล่ตามมาแล้ว เขาได้แต่ยิ้ม พลางพูดเตือน “ประเดี๋ยวไม่ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น เจ้าเพียงแค่ดูเท่านั้นเป็นพอ จำไว้ว่าอย่าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย”
สาวน้อยชุดดำเม้มริมฝีปาก ฝืนไม่ปริปากพูด
ซูอี้ก็ไม่สนใจ และพูดต่อไป “คืนนี้โชคดีที่ข้ามา ไม่เช่นนั้น ด้วยฝีมือและปัญญาเพียงน้อยนิดของเจ้า เกรงว่าคงต้องเสียเปรียบอย่างแน่นอน”
ดวงตาสีฟ้าอ่อนของหญิงสาวชุดดำจ้องดูร่างของซูอี้ที่อยู่ตรงหน้าด้วยความไม่พอใจ อยากจะใช้คทาไม้เคาะกะโหลกเขานัก ให้เขาได้เห็นความร้ายกายของตัวเอง!
ไม่นานนักซูอี้กับสาวน้อยชุดดำก็เดินออกจากดินแดนลึกลับเมืองท้อ ย้อนกลับไปในห้องโถงปรักหักพังที่เคยยิ่งใหญ่อย่างที่สุดแห่งนั้น
ราตรีอันมืดมิด
ท่ามกลางความมืดครึ้มที่ห่างไกล มีเสียงดังราวกับเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น สั่นสะเทือนจนเทือกเขาหลายเทือกที่เป็นส่วนหนึ่งของภูเขาเมืองท้อสั่นสะเทือนอย่างแรง
สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าพลังชั่วสีโลหิตกำลังพากันพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ย้อนความมืดมิดทั้งหมดด้วยประกายแสงสีแดงราวกับสีเลือด
นอกจากแผ่นดินที่ปกคลุมด้วยความมืดมิดจะสั่นสะเทือน พื้นที่รอบด้านยังมีเสียงร้องโหยหวนของพวกภูตผีปะปนออกมาอีกด้วย
เสียงดังสนั่นถึงชั้นเมฆ
ราวกับดินแดนผีที่ตื่นขึ้นจากความมืดมิด!