บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 861: ใบดกครึ้ม
ตอนที่ 861: ใบดกครึ้ม
ฟ้าสั่นดินสะเทือน ภูเขาลำธารหวั่นไหวโอนเอน
พลังชั่วสีแดงเลือดอันร้ายกาจผุดออกมาจากกลุ่มยอดเขาเมืองท้อ ราวกับลำแสงสีโลหิตขนาดใหญ่หลายสายกำลังแหวกทะลุท้องฟ้า
บนทางขึ้นเขาที่ทะลุไปยังยอดเขาดวงตะวัน
“เร็วหน่อย! ขอเพียงไปถึงยอดเขา ก็จะถึงวัดดวงตะวัน!”
“อาจารย์อา ท่านต้องอดทนไว้!”
“คนพวกนั้นที่แท้เป็นภูตผีที่ไหนกัน ช่างน่ากลัวเหลือเกิน…”
ผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งขับเคลื่อนสมบัติล้ำค่า มุ่งหน้าไปยังยอดเขาท่ามกลางหมอกโลหิต
คนที่นำหน้าคือเซี่ยอวิ้นเหยียนแห่งสำนักดาบฟ้าสว่าง
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเพิ่งผ่านการต่อสู้อันดุเดือดมา จึงต่างก็ได้รับบาดเจ็บ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้เฒ่าร่างเตี้ยคนนั้น เนื้อตัวมีแต่รอยคราบเลือด ขณะนี้กำลังหมดสติและถูกแบกอยู่ผู้ชายร่างสูงใหญ่
เมื่อมาถึงยอดเขา ก็จะสามารถมองเห็นสิ่งก่อสร้างทรงโบราณที่รกร้างไปแล้ว คนทั้งหมดอดตะลึงงันไม่ได้
“แม้กระทั่งวัดดวงตะวันก็ยังถูกทำลายไปแล้วเช่นนั้นหรือ…”
บางคนตื่นตะลึงจนหน้าขาวซีด
ตามที่เล่ากันมา วัดดวงตะวันเป็นสถานฝึกตนของ ‘จ้าวบรรพตเมืองท้อ’ เปรียบดั่งแดนสงบที่เทพผีจะไม่มารบกวน
และตามที่พวกเขารู้ว่า ถึงแม้ภูเขาเมืองท้อจะเกิดความเปลี่ยนแปลง จนตกเป็นเขตผีดุร้าย
แต่หลายปีมานี้ ผู้ฝึกตนคนใดก็ตามที่มายังภูเขาแห่งนี้เพื่อเสาะหาโอกาสสัมพันธ์แล้วเจอภัยอันตราย พอหลบเข้ามาอยู่ในวัดดวงตะวันนี้ก็จะแคล้วคลาดปลอดภัย
ทว่าตอนนี้ วัดดวงตะวันกลายเป็นสถานที่รกร้างไปเสียแล้ว!
ทุกคนรู้สึกรันทดขึ้นมา
“ตอนนี้พวกเราไม่มีโอกาสหนีออกจากภูเขาเมืองท้อไปได้แล้ว ต้องหลบอยู่ที่นี่ไปก่อนชั่วคราว ขอเพียงผ่านพ้นคืนนี้ไปได้ เมื่อฟ้าสว่างจะต้องมีโอกาสหนีอย่างแน่นอน”
เซี่ยอวิ้นเหยียนมองดูรอบด้าน พยายามทำให้ตัวเองสงบใจลง จากนั้นจึงกล่าวขึ้น “ตรงนั้นมีโถงใหญ่ พวกเราไปดูกัน”
จากนั้นนางก็พาคนทั้งหมดเดินไปที่โถงร้างซึ่งเป็นสถานที่เดียวซึ่งยังคงตั้งตระหง่านอยู่ในวัด
ห่างออกไป กลุ่มยอดเขาสั่นสะเทือน เกิดแผ่นดินไหว
ท่ามกลางหมอกสีโลหิต ภูตผีจำนวนนับไม่ถ้วนผุดออกมาจากรอบสี่ด้านแปดทิศทางของภูเขาเมืองท้อ กำลังมุ่งหน้าตรงมาที่ยอดเขาดวงตะวัน
มากันเป็นโขยง
——
“หืม?”
เมื่อเซี่ยอวิ้นเหยียนกับคนอื่น ๆ เข้าไปในโถงใหญ่ที่รกร้างแล้ว เขาก็ถึงกับตะลึงงัน
กลางโถงใหญ่ มีกองไฟกำลังลุกโชน ส่งเสียงเปรี๊ยะ ๆ
ชายหนุ่มนอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้หวายอย่างสบายใจ ดื่มสุราของตัวเองไปอย่างสบายอารมณ์
ในมุมมืดที่ห่างไปไม่ไกลนัก สาวน้อยในชุดสีดำยืนถือไม้คทาสีดำ ผมยาวสลวยถูกบดบังด้วยชุดคลุมมีสีแดงราวกับเพลิงไฟ
และที่สะดุดตาเป็นพิเศษก็คือ นางมีดวงตาสีฟ้าใสสะอาด
เมื่อมองเห็นพวกของเซี่ยอวิ้นเหยียนเดินเข้ามา สาวน้อยชุดดำจึงชูไม้คาในมือขึ้นทันควัน
“แม่นางน้อย วางมือลง”
ซูอี้ถอนใจเบา ๆ “ก่อนหน้านี้ข้าบอกไปแล้วไม่ใช่หรือ เจ้าคอยดูก็พอแล้ว”
สาวน้อยชุดดำเม้มริมฝีปากสีชมพู ลังเลสักครู่จึงค่อย ๆ ปล่อยมือลง
พวกของเซี่ยอวิ้นเหยียนจึงผ่อนคลายลงไปด้วย
“คุณชาย พวกเจ้าก็มาหลบภัยเช่นกันหรือ?” เซี่ยอวิ้นเหยียนถาม
“หลบภัย?”
ซูอี้กวาดตามองดูพวกของเซี่ยอวิ้นเหยียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าพวกเขาแต่ละคนล้วนได้รับบาดเจ็บ ทันใดก็เข้าใจขึ้นมา “ไม่ใช่”
ไม่ได้มาหลบภัย?
หญิงสาวรู้สึกประหลาดใจ
“เวลาใดกันแล้ว พวกท่านยังมาก่อกองไฟอีก ไม่กลัวว่าพวกภูตผีจะตามมาหรือ? ไม่เคยผ่านเรื่องราวโลกภายนอกมาหรือไร?!”
เวลานี้ จู่ ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งพูดขึ้นมาพร้อมกับขมวดคิ้วแน่น แล้วสาวเท้าก้าวใหญ่ ๆ เดินมาข้างหน้า ยกมือขึ้นวาดสัญลักษณ์มือ กองไฟดับไปในทันใด
ซูอี้นิ่งตะลึง
“ศิษย์พี่ทั้งหลาย รีบพาอาจารย์อาเข้ามา”
ผู้ชายร่างผอมไม่สนใจท่าทีของซูอี้แม้แต่น้อย เรียกให้คนอื่น ๆ เข้ามาในโถง จากนั้นจึงหยิบโอสถออกมารักษาบาดแผลให้ผู้เฒ่าร่างเล็กคนนั้น
เซี่ยอวิ้นเหยียนกลับเดินมาข้างหน้ากล่าวขออภัย “คุณชายอย่าได้ถือสาความจาบจ้วงของพวกเรา ศิษย์น้องเยว่ของข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงแต่กลัวว่ากองไฟจะทำให้ภูตผีตามมาเจอได้”
ซูอี้หัวเราะและกล่าวอย่างไม่ถือสา “ไม่เป็นไร”
นางพยักหน้า จากนั้นหันไปมองดูคนอื่น ๆ ในสำนักดาบฟ้าสว่าง และออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว
“ทุกคนเก็บกลิ่นอายพลังในตัว ระมัดระวังกันให้ดี หากว่ามีพวกผีบุกเข้ามา ต้องฆ่าทันที อย่าลังเลชักช้าเด็ดขาด”
“ขอเพียงฟ้าสว่าง พวกเราก็ชนะ!”
ทุกคนต่างก็พยักหน้ารับคำ
เซี่ยอวิ้นเหยียนหมุนตัว เบนสายตามองไปที่ซูอี้อีกครั้ง จากนั้นมองไปที่สาวน้อยชุดสีดำที่ยืนอยู่ในมุมมืด และกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“คุณชาย ข้ามองออกว่า เจ้ากับแม่นางท่านนั้นต่างก็ไม่ใช่คนธรรมดา ในสถานการณ์อันตรายอย่างค่ำคืนนี้ หวังว่าพวกเราจะสามารถร่วมมือกันฆ่าศัตรูได้”
ซูอี้หัวเราะพลางกล่าว “อยากจะฟังข้าพูดสักประโยคหรือไม่?”
เซี่ยอวิ้นเหยียนกล่าว “เชิญคุณชายกล่าวมาได้”
ซูอี้ชี้ไปที่สาวน้อยในชุดสีดำที่ยืนในมุมมืด “ก็เหมือนกับนาง อีกประเดี๋ยวไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเจ้าเพียงแค่มองดูก็พอแล้ว ส่วนเรื่องอื่น ๆ ข้าจะจัดการเอง”
ไม่รอให้นางเอ่ยพูด ผู้ชายที่ก่อนหน้านี้ถูกเรียกว่า ‘ศิษย์น้องเยว่’ ก็อดไม่ได้สบถเสียงหัวเราะเย็นชาออกมา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าภูเขาเมืองท้อในคืนนี้มีอันตรายร้ายแรงเพียงใด? ยังกล้าพูดโม้โอ้อวดเช่นนี้อีก ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ!”
ผู้ฝึกตนแห่งสำนักดาบฟ้าสว่างคนอื่น ๆ ต่างก็มีสีหน้าแตกต่างกันไป
ซูอี้กล่าวเช่นนี้ ทำให้พวกเขารู้สึกตะลึงไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน
ตามที่รู้กันดีว่า พวกเขาบุกขึ้นเขาเมืองท้อมาตลอดทาง เจอภัยอันตรายมาไม่น้อย แต่ละคนได้รับบาดเจ็บด้วยกันทั้งสิ้น แม้กระทั่งอาจารย์อาของพวกเขาก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัสเพื่อปกป้องพวกเขา จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ฟื้น
ในสถานการณ์เช่นนี้ เดิมทีก็อันตรายมากแล้ว แต่ละคนจึงล้วนรู้สึกหนักใจ
แต่ทว่าตอนนี้ กลับมีคนมาบอกว่า ตนเองคนเดียวจะไปจัดการกับอันตรายในคืนนี้ จะให้พวกเขาเชื่อได้อย่างไรกัน?
“ศิษย์น้องเยว่! อย่าได้พูดจาทำร้ายจิตใจคนอื่น!”
เซี่ยอวิ้นเหยียนแผดเสียงดุ
เจ้าของชื่อเบะปาก เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจ ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ข้าเพียงแค่ทนเห็นคนอื่นพูดอวดอ้างยกยอตัวเองไม่ได้เท่านั้น หากว่ามีความสามารถเก่งกาจจริง เหตุใดต้องมาหลบภัยอยู่ในนี้ด้วย?”
คนอื่น ๆ ต่างก็เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้
สาวน้อยชุดดำที่ยืนห่างออกไปในมุมมืดถึงกับจับคทาในมือแน่น ในสายตาผุดประกายแห่งความกังวล
เซี่ยอวิ้นเหยียนอดหัวเราะเจื่อนออกมาไม่ได้ และกล่าวกับซูอี้ “คุณชาย อย่าได้ถือสาเอาความ ศิษย์น้องเย่…”
ซูอี้โบกมืออย่างไม่ยี่หระ “ข้าพูดไปแล้ว ฟังหรือไม่ฟัง แล้วแต่พวกเจ้า”
เพิ่งพูดถึงตรงนี้…
ครืน!
ใต้ราตรีกาลที่ห่างออกไป มารโลหิตปรากฏกายขึ้น พลังของมันดุดันสะท้านพิภพ
คน ๆ นั้นสวมชุดเกราะสีดำ ผมยาวปล่อยสยาย ผิวขาวซีด ดวงตาสีเขียวน่ากลัว ถือง้าวสั้นมีเลือดอาบอยู่ในมือ
เมื่อเขาปรากฏตัว ความดุดันอำมหิตอันน่าสะพรึงกลัวก็แผ่กระจายออกไป
“ราชาผีโลหิตมรกต!”
ในตำหนักใหญ่รกร้าง มีคนร้องเสียงหลง
พวกของเซี่ยอวิ้นเหยียนสีหน้าเปลี่ยนในทันใด
นี่คือผีเฒ่าที่มีระดับวิถีหมื่นปี มีกำลังแห่งเพลิงอัคคีมรกต หลายปีมานี้ ตัวตนขอบเขตวงล้อวิญญาณที่ตายด้วยฝีมือเขามีมากมายนับไม่ถ้วน!
และยังลือกันว่าตอนที่ราชาผีโลหิตมรกตมีชีวิต อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิอย่างแท้จริง!
“จบกัน คืนนี้พวกเราคงจะหนีไม่รอดแล้ว…”
ศิษย์น้องเยว่คนนั้นตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ
ในบรรดาพวกเขา คนที่แกร่งที่สุดก็คือเซี่ยอวิ้นเหยียนกับอาจารย์อา แต่ทว่าพวกเขาก็มีระดับการฝึกแค่ขอบเขตวงล้อวิญญาณเท่านั้น อีกทั้งอาจารย์ยังหมดสติไปอีก
ลำพังเพียงแค่เซี่ยอวิ้นเหยียน จะต่อสู้กับราชาผีโลหิตมรกตได้อย่างไร?
ครืน!
ฉับพลัน ฟ้าดินที่ห่างไกลออกไปก็สั่นสะเทือน แสงสีโลหิตมากมายรวมตัวกันกลายเป็นร่างของโฉมสะคราญนางหนึ่ง
เพียงแต่ว่า รอบตัวของนางกลับมีเงาผีชั่วดุร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนล้อมรอบ ทำให้กลิ่นอายพลังของนางน่าสะพรึงกลัวขึ้นมา ใครที่เห็นล้วนต้องหนาวสะท้าน
“ฮูหยินปีศาจโลหิต!”
พวกของเซี่ยอวิ้นเหยียนต่างก็ตกใจสีหน้าขาวซีด
นี่เป็นผีอีกตนที่มีความแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าราชาผีโลหิตมรกต!
“ที่ผ่านมา พวกภูตผีที่แข็งแกร่งเช่นนี้จะกระจายอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ของภูเขาเมืองท้อสามพันลี้ น้อยนักที่จะปรากฏตัว แต่คืนนี้… เหตุใดพวกเขาจึงปรากฏตัว…”
เซี่ยอวิ้นเหยียนรำพึงเบา ๆ ด้วยเสียงที่สั่นเครือ เห็นได้ว่านางหวาดกลัวเพียงไหน
และในช่วงเวลาถัดมา ภูตผีน่ากลัวก็ปรากฏตัวขึ้นตนแล้วตนเล่า
บางตนเป็นบุรุษร่างโตตาเดียวที่มีความสูงถึงร้อยจั้ง คล้องโซ่ที่ร้อยด้วยหัวกะโหลกจนเต็มคอ แบกขวานเล่มโตสีเลือดไว้บนบ่า หัวขวานมีขนาดเท่ากับบ้าน
บางตนเป็นผีดิบผู้ชายสวมชุดโบราณ ปล่อยผมยาวสยาย ดวงตากลวงโบ๋ กลิ่นอายชั่วร้ายสกปรกผุดออกจากตัว
บางตนเป็นค้างคาวโลหิตขนาดใหญ่ที่มีร่างกายเน่าเปื่อย บินวนเวียนอยู่บนฟ้า ดวงตาสีแดงราวกับแสงโคมไฟ พ่นเพลิงแสงสีแดง
“จ้าวผีตาเดียว!”
“ผีดิบโบราณ!”
“ราชาค้างคาวดูดเลือด!”
เมื่อรู้ฐานะของภูตผีน่ากลัวเหล่านี้ว่าใครเป็นใครแล้ว พวกของเซี่ยอวิ้นเหยียนถึงกับมือเท้าเย็น และตกอยู่ในสภาพสิ้นหวัง
ไม่มีใครคาดคิดว่าคืนนี้จะมีผีร้ายน่ากลัวเช่นนี้ออกมาอาละวาดพร้อม ๆ กัน
ด้วยกำลังของพวกเขา ต่อให้ขัดขืน ก็ไม่ต่างไปจากมดตะนอยขย่มต้นไม้
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร…”
บางคนร้องโอดครวญขึ้นมา
“ต้องจบสิ้นกันจริง ๆ แล้วเช่นนั้นหรือ?”
บางคนหน้าซีดเป็นไก่ต้ม
“เมื่อก่อน ผู้อาวุโสในสำนักเคยบอกไม่ใช่หรือว่า ขอเพียงหลบเข้ามาอยู่ในวัดดวงตะวัน ก็จะแคล้วคลาดปลอดภัย? แต่เหตุใดตอนนี้… ที่นี่จึงกลายเป็นสถานที่อันตรายที่สุดไปได้?”
บางคนร่ำร้องจะเป็นจะตาย
เซี่ยอวิ้นเหยียนนิ่งเงียบ สีหน้าสับสน
ขณะนี้เอง นางก็รู้สึกสิ้นหวังและหมดที่พึ่งอย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน
ทว่าฉับพลัน เซี่ยอวิ้นเหยียนรู้สึกได้ว่าคนหนุ่มชุดเขียวที่เอนกายนอนสบายอยู่บนเก้าอี้หวาย ยังคงทำท่าสบายตัวเหมือนเดิม ราวกับไม่รู้ว่าภายนอกนั้นมีอันตรายมากเพียงใด!
“แม่นางน้อยหลิงเจิน จนถึงเวลานี้แล้ว เจ้ายังไม่คิดจะมอบต้นเทพเมืองท้อออกมาแต่โดยดีอีกเช่นนั้นหรือ?”
กลางอากาศที่ไกลออกไป ฮูหยินปีศาจโลหิตพลันส่งเสียงหวานหยาดเยิ้มทว่าดังก้องไปทั่วพสุธาออกมา
ต้นไม้วิญญาณ?
เซี่ยอวิ้นเหยียนกับคนอื่น ๆ สับสนงุนงง ใครกันอีกเล่า?
ซูอี้กลับอดชื่นชมในใจไม่ได้ ชื่อเพราะ
ดอกท้อนับหมื่นนับพันดอก ใบไม้ดกครึ้มมิโรยรา
สาวน้อยชุดสีดำคือจิตต้นกำเนิดของต้นเทพเมืองท้อ ตั้งชื่อแบบนี้เหมาะสมยิ่งนัก
“หลิงเจิน! อาจารย์ของเจ้าดับสิ้นไปแล้ว ด้วยระดับวิถีเพียงเล็กน้อยของเจ้า ไม่อาจคุ้มครองต้นเทพเมืองท้อได้หรอก! หากเจ้ายังไม่ออกมาอีก เกิดพวกข้าทนไม่ไหวขึ้นมา อย่าหาว่าพวกเราทำลายยอดเขาดวงตะวันแห่งนี้เชียว!”
เสียงตวาดดังก้องไปทั่วราตรีมืด ราวกับเสียงฟ้าผ่า
ราชาผีโลหิตมรกตแสดงความเหี้ยมโหด สายตาผุดประกายดุดันน่ากลัว
เซี่ยอวิ้นเหยียนกับคนอื่น ๆ พากันตัวสั่น เพียงแค่เสียงเท่านั้น จิตใจของพวกเขาก็สั่นสะท้านแล้ว พลังปราณในตัวเกิดความผกผัน แต่ละคนตื่นตระหนกจนจิตแตกกระเจิง
แข็งแกร่งมาก!
ภูตผีน่ากลัวที่อยู่ภายนอกเหล่านั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่พวกเขาคาดคิดไว้!
ขณะนี้เอง สาวน้อยชุดสีดำที่ยืนอยู่ในมืดมืดมาโดยตลอดก็เดินออกมา
นางเม้มริมฝีปากที่แลดูขาวซีด มือถือไม้คทาแน่นจนปลายนิ้วดูขาวซีด
เซี่ยอวิ้นเหยียนอดถามขึ้นมาไม่ได้ “แม่นาง เจ้าจะทำอะไร?”
“พวกเจ้าไม่ต้องกลัว พวกเขา… มาเพราะต้องการตัวข้า ข้า… ข้าจะไม่ให้พวกเจ้าต้องเดือดร้อน!”
สาวน้อยชุดดำสูดหายใจลึก ๆ ทีหนึ่ง ดวงตาใสสีฟ้าอ่อนเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ราวกับว่าต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายก็จะไม่มีวันสั่นคลอน
พวกของเซี่ยอวิ้นเหยียนพากันตื่นตะลึง
ซูอี้ที่นอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้หวายลอบถอนใจ ช่างโง่เขลาเสียจริง ๆ