บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 863: เสียงขันไก่แจ้เบิกอรุณ
ตอนที่ 863: เสียงขันไก่แจ้เบิกอรุณ
เสียงโหยหวนของจ้าวผีตาเดียวยังคงสะท้อนอยู่ในรัตติกาล
พลังสะเทือนที่มองไม่เห็นแผ่ขยายออกไปทั่วทุกพื้นที่ กระแทกเข้าไปในใจของทุกคน
“นี่มัน…”
ภายในโถงใหญ่ที่พังทลาย ศิษย์น้องเยว่ตกใจจนแทบกระโดดขึ้นมา
ผู้ฝึกตนอื่น ๆ ในสำนักดาบฟ้าสว่างต่างตาโตอ้าปากค้างไปตาม ๆ กัน
ก่อนหน้านี้ พวกเขาต่างบ่นอุบในใจว่าชายหนุ่มคิดเข้ามาแทรกแซงเช่นนี้ อาจเป็นผลร้ายแก่พวกเขา
ใครเล่าจะคิด คนผู้นั้นกลับปลิดชีพจ้าวผีตาเดียวได้โดยง่ายดาย!?
“แข็งแกร่งเหลือเกิน!”
ใจของเซี่ยอวิ้นเหยียนสั่นสะท้าน
เนื่องจากอยู่ในระยะใกล้ นางสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าการโจมตีที่ดูไม่ใส่ใจของซูอี้แฝงไปด้วยพลังสยดสยองปานใด
นี่หรือ คือพลัง ‘เพลิงเทพดวงตะวัน’ ที่เขาพูดถึง?
ขณะเดียวกัน หลิงเจินใจลอยไปชั่วขณะ นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนฉายแววทึ่ง
คนผู้นี้เป็นใคร?
เหตุใดถึงควบคุมคทาวิญญาณดวงตะวันได้
บนท้องฟ้าไกล ๆ ภูตผีน่ากลัวอย่างราชาผีโลหิตมรกตกับฮูหยินปีศาจโลหิตต่างตะลึงกันหมด แต่ละคนสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก และมีท่าทีระแวงระวัง
ชายหนุ่มผู้นี้มีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล!
“เพลิงเทพดวงตะวันคือวิถีเพลิงสวรรค์โบราณชนิดหนึ่ง สะท้อนกับกลุ่มดาวลูกไก่ซึ่งเป็นหนึ่งในยี่สิบแปดดาราจักร ครอบคลุมเพลิงตะวันศักดิ์สิทธิ์ ประกาศการเริ่มวันใหม่”
ซูอี้เอ่ยราบเรียบ “สมัยบรรพกาล ที่ภูเขาเมืองท้อกลายเป็นประตูนรกแห่งบูรพาทิศ เป็นที่พรั่นพรึงของผีสางทั่วหล้า นั่นก็เพราะเพลิงเทพตะวันที่ก่อเกิดขึ้นจากต้นเทพเมืองท้อ”
ชั่วเวลานี้ เขาไม่สนใจภูตผีที่อยู่รอบ ๆ เลยแม้แต่น้อย ขณะชี้แนะสาวน้อยชุดดำด้วยท่าทางสบาย ๆ
“และหากต้องการปลดปล่อยพลังทั้งหมดของวิถีนี้อย่างแท้จริง มีจุดสำคัญที่จิตวิญญาณ จิตวิญญาณสร้างร่างอวตารเจิดจ้า เสมือนดวงตะวันที่ลอยอยู่เหนือนภา ส่องแสงไปทั่วหล้า”
พูดมาถึงนี่ ซูอี้จึงเอ่ยขึ้นมาว่า “อาจารย์ของเจ้าเคยถ่ายทอด ‘วิชาอินทิพย์ดวงตะวัน’ แก่เจ้าหรือไม่”
สาวน้อยชุดดำส่ายหัวด้วยสัญชาตญาณ
จากนั้น นางถึงตั้งสติได้ ไยหมอนี่ถึงรู้ยันวิชาจิตวิญญาณสืบทอดอันเป็นเคล็ดวิชาลับที่ไม่ถ่ายทอดให้ผู้ใดของอาจารย์!?
“มิน่า เจ้าถึงปวกเปียกเช่นนี้”
ซูอี้ถอยหายใจเบา ๆ
สาวน้อยชุดดำอายขึ้นมาทันที นางเม้มปาก ก้มหน้า นัยน์ตาสุกสกาวฉายแววขุ่นเคือง
เซี่ยอวิ้นเหยียนที่อยู่ด้านข้างอดสูดปากไม่ได้ แม้นางไม่เข้าใจวาจาของซูอี้ กระนั้นนางตระหนักได้ว่า ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ธรรมดา!
และบนท้องฟ้าที่ห่างออกไปไกล เหล่าผีร้ายสยดสยองอย่างราชาผีโลหิตมรกต และฮูหยินปีศาจโลหิตตะลึงระคนสงสัย
“รอให้ข้ากำจัดภูตผีเหล่านี้หมดไปก่อน ไว้ค่อยคุยกับเจ้า”
ซูอี้ระอาเล็กน้อย
เขาเพิ่งรู้ตัวว่าวาจาก่อนหน้านี้ไม่ต่างจากสีซอให้ควายฟัง
สาวน้อยชุดดำไม่รู้จัก ‘วิชาอินทิพย์ดวงตะวัน’ ด้วยซ้ำ พูดมากไปกว่านี้ก็ไร้ประโยชน์
“อย่าเพิ่งลงมือ!”
และเวลานั้น ฮูหยินปีศาจโลหิตส่งเสียงอย่างอดไม่ได้ “ขอถามว่าท่านเป็นผู้ยิ่งใหญ่จากหนใด เหตุใด… เหตุใดต้องเป็นศัตรูกับพวกข้า?”
ภูตผีตนอื่นข้องใจเช่นกัน
“พวกชั่วช้าสามานย์ มีสิทธิ์ใดเป็นศัตรูกับข้า”
ซูอี้หัวเราะ จากนั้นก้าวเหินขึ้นไปยังอากาศ คทาไม้สีดำในมือสั่นไหวเล็กน้อย
ฟึ่บ!
เปลวเพลิงสีทองนับพันปรากฏ แสงอันเจิดจ้าขับไล่ความมืดออกไป ส่องสว่างไปทั่วปฐพี พลังที่พร้อมทำลายฟ้าดินแผ่ขยาย
ไม่มีผู้ใดยอมนิ่งเฉยรอความตาย
ชั่วเวลานี้ ราชาผีโลหิตมรกต ฮูหยินปีศาจโลหิต ผีดิบโบราณ ราชาค้างคาวดูดเลือดต่างรวมพลังโจมตีโดยไม่ลังเล เผยให้เห็นความดุดันท่วมท้นนภา
“ฆ่า!”
เสียงของราชาผีโลหิตมรกตแหบแห้ง เขาท่องคาถา รีดพลังง้าวสั้นทองแดงโชกเลือดในมือ ฟาดฟันไปหาซูอี้กลางอากาศ
ตู้ม!
ง้าวสั้นทองแดงสะท้อนภาพผีออกมาคณานับ บดบังฟ้าดิน ไอเลือดแผ่ขยาย ราวกับโจมตีคราเดียวก็สามารถทลายทั้งยอดเขาดวงตะวันได้
“ไป!”
ผีดิบโบราณสะบัดแขนเสื้อ พลังศพสังหารสีเทาซีดมากมายกลายเป็นอัสนีอึมครึมลงมาปกคลุมร่างของซูอี้
เวลาเดียวกัน ร่างของฮูหยินปีศาจโลหิตแยกเป็นเงาโลหิตมากมาย บ้างเกาะกลุ่มกันพุ่งไปหาซูอี้ บ้างเกาะกลุ่มกันพุ่งไปหาเซี่ยอวิ้นเหยียน บ้างพุ่งไปหาสาวน้อยชุดดำ…
เงาเลือดคณานับนั้นล้วนแปลงรูปร่างไปเป็นฮูหยินปีศาจโลหิต ลมปราณดุร้าย ราวกับมีร่างแยกจำนวนมหาศาลต่อสู้ด้วยกัน
ส่วนราชาค้างคาวดูดเลือดสยายปีกเน่าเฟะออก หมุนตัวกลางอากาศ จากนั้นโฉบลงไปยังโถงใหญ่ที่กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว
ชั่วขณะนั้น ฟ้าดินสะท้าน จิตสังหารนับคณาปกคลุมปฐพี
ด้วยพลังขอบเขตวงล้อวิญญาณของเซี่ยอวิ้นเหยียน นางถูกพลังสุดสยองนั่นรัดพันทั้งตัวไว้ อย่าว่าแต่ลงมือเลย ไม่แม้แต่จะเกิดความคิดต่อต้านด้วยซ้ำ
สาวน้อยชุดดำยกมือเรียวขึ้น เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีทองจาง ๆ ลุกโชนหมุนวน บดบังนางและเซี่ยอวิ้นเหยียนไว้ด้านใน
นัยน์ตาของนางทอดมองซูอี้
และได้เห็น…
คทาไม้ในมือซูอี้ประหนึ่งคมดาบพาดผ่านอากาศ จากนั้นก็กระตุกอย่างแรง
คว้าสุริยันกุมจันทรา ประทีบแห่งสวรรค์เข้ามาอยู่ในกำมือข้า!
ตู้ม!!!
พริบตานั้น ราวกับมีดวงตะวันสีทองเจิดจ้าลอยขึ้นท้องฟ้าจริง ๆ พร้อมเปล่งเพลิงศักดิ์สิทธิ์ออกมานับหมื่นจั้ง โถมทับออกไปสิบทิศ
ทุกที่ที่เพลิงศักดิ์สิทธิ์พาดผ่าน เงาผีนับพันหมื่นนั้นแตกออกดั่งฟองน้ำ มลายหายไป
ง้าวสั้นสีเลือดเล่มหนึ่งแทงฝ่าเข้ามากลางอากาศ ก่อนจะถูกหลอมละลายไปทีละน้อยทั้งที่ยังลอยค้างเติ่งอยู่ ท้ายสุด ตอนที่ฝืนดันเข้ามาใกล้ซูอี้ในรัศมีหนึ่งจั้งก็ไม่อาจต้านทานได้อีก เสียงระเบิดดังตู้ม พร้อมถูกแผดเผาจนมลาย
ราชาผีโลหิตมรกตที่อยู่ห่างออกไป กระอักเลือดอย่างแรง จากนั้นส่งเสียงร้องโหยหวน
การโจมตีที่เขาทุ่มกำลังทั้งหมดไม่ได้เพียงสลายหายไปดั่งเศษธุลี แต่ยังย้อนกลับมาทำร้ายเขาอย่างรุนแรงอีกด้วย!
ครืน!
อัสนีที่ผีดิบโบราณหลอมรวมด้วยพลังศพสังหารสีเทาซีดทลายออกจากกันระหว่างการต่อสู้กับเพลิงศักดิ์สิทธิ์ดวงตะวันด้วยความพ่ายแพ้ฝ่ายเดียว
คล้อยตามการกระจายตัวออกของเปลวเพลิงสีทอง ผีดิบโบราณก็หลบหลีกในทันที
ทว่าแขน หน้าอก และช่วงขาของเขาล้วนติดประกายไฟดุจดอกท้อ แผดเผาจนเลือดเนื้อของเขามอดไหม้ไปทีละส่วน ริมฝีปากส่งเสียงโหยหวนเจ็บปวดแสนสาหัส
ขณะเดียวกัน เงาเลือดมากมายที่แปลงจากร่างฮูหยินปีศาจโลหิตประหนึ่งแมลงที่อยู่ในเตาไฟความร้อนสูง พริบตาเดียวก็มอดไหม้จนสิ้น
“บัดซบ!!”
บนท้องฟ้า ร่างจริงของฮูหยินปีศาจโลหิตปรากฏขึ้น เนื้อหนังนางไหม้ไปทั้งตัว สภาพยับเยิน
ส่วนราชาค้างคาวดูดเลือดที่โฉบลงมาทางซากโถงใหญ่ โชคดีที่หลบการโจมตีพิฆาตนี้ของซูอี้ได้ ก่อนที่มันจะกระพือปีกทั้งสอง แสงเลือดเหนียวหนืดโสโครกสาดลงมาทั่วฟ้า
แสงเลือดโสโครกนั้นน่ากลัวสุด ๆ หากแตะโดนเข้า ต่อให้มีพลังถึงขอบเขตวงล้อวิญญาณก็จะถูกกลืนกินเปลือกจิตวิญญาณไปในพริบตา และตายอย่างอนาถ!
“แย่แล้ว!!”
พวกศิษย์น้องเยว่ที่หลบอยู่ข้างในซากโถงใหญ่ตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง และคิดจะหนีทันที
ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ เพลิงศักดิ์สิทธิ์ทองอร่ามถาโถมออกไปทั่วนภา
ตู้ม!
แสงเลือดโสโครกซึ่งเคยระบายอยู่ทั่วฟ้าระเบิดออก
ร่างมหึมาของราชาค้างคาวดูดเลือดถูกเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่นั้นปกคลุม แผดเผาทุกส่วนของเขา
“ไม่…!!”
ราชาค้างคาวดูดเลือดส่งเสียงร้องโหยหวน พยายามตะเกียกตะกายออกมา
แต่พริบตาเดียวเท่านั้น ร่างของเขาก็ถูกเผาไหม้จนสิ้น สลายไปทั้งวิญญาณ
ภายในซากโถงใหญ่ บรรดาผู้ฝึกตนสำนักดาบฟ้าสว่างที่โชคดีรอดชีวิตมาได้ล้วนผวาจนเหงื่อเย็นผุดพราย หน้าตาซีดเผือด นึกกลัวอยู่ในใจ
ส่วนศิษย์น้องเยว่ผู้นั้นโซซัดโซเซจนล้มนั่งกับพื้น ปากคร่ำครวญไป “ขาของข้า! ขาของข้า!”
ที่แท้ ก่อนนี้มีแสงเลือดโสโครกแสงหนึ่งตกลงมาโดนขาขวาของศิษย์น้องเยว่ที่กำลังจะก้าวออกไปพอดี จากนั้นทั้งขาขวาของเขาก็กลายเป็นน้ำหนองหลุดร่วงออกจากร่าง
ภาพนี้ส่งผลให้ทุกคนสะดุ้งในใจ
ส่วนจุดที่ห่างไปไกลจากซากโถงใหญ่ ซูอี้ดึงสายตากลับมา
เคราะห์ร้ายของศิษย์น้องเยว่ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
แม้ซูอี้เป็นคนใจกว้าง ไม่คิดถือสาหาความกับคนเช่นศิษย์น้องเยว่ กระนั้นใช่ว่าต้องยอมให้อีกฝ่ายเหยียบย่ำ
“ไม่ใช่ว่าคนผู้นี้เป็นยอดฝีมือขอบเขตจักรพรรดิปลอมตัวมาหรอกหรือ?”
สองตาของเซี่ยอวิ้นเหยียนสูญเสียสมาธิ
นางเห็นอย่างชัดเจน ด้วยการโจมตีของซูอี้เพียงครั้งเดียว ความร่วมมือระหว่างภูตสยองสี่ตนจึงล่มไม่เป็นท่า ราชาค้างค้าวดูดเลือดถูกหลอมจนวิญญาณสลาย!
แข็งกร้าวมากอย่างไม่ต้องสงสัย!
สาวน้อยชุดดำเม้มปาก สายตาเลื่อนลอย หัวใจไม่อาจสงบได้อีกต่อไป
“หนี!”
“ไปเร็ว!”
ท้องฟ้ารัตติกาล เสียงร้องตื่นตระหนกดังระงม
ราชาผีโลหิตมรกต ฮูหยินปีศาจโลหิต และผีดิบโบราณหนีหัวซุกหัวซุน
จนบัดนี้แล้ว ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าต่อให้พวกเขาร่วมมือกัน ก็หาใช่คู่ต่อสู้ของชายหนุ่มชุดสีเขียวผู้ลึกลับไม่
ซูอี้ไม่สนใจ
เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ
ท่ามกลางปฐพีมืดมน เงาของภูตผีเรียงรายจนมองไม่เห็นที่สิ้นสุด เยอะเสียจนนับไม่หวาดไม่ไหว
“เอาเถิด ถือเสียว่าเป็นค่าตอบแทนที่เอาต้นท้อไปท่อนหนึ่งแล้วกัน”
ซูอี้เอ่ยเสียงเบา
จากนั้น เขายืนกลางอากาศ ชุดเขียวลู่ตามลมส่งเสียงดังเปรี๊ยะปร๊ะ มือซ้ายทำอิน มือขวายกคทาวิญญาณดวงตะวันขึ้นช้า ๆ
ตู้ม!
ชั่วเวลานี้ ยอดเขาดวงตะวันสั่นสะเทือนอย่างแรง ทุกคนตะลึงกันหมด ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด
มีเพียงศิษย์ของเฒ่าไก่แจ้ที่เหมือนรู้สึกถึงบางอย่าง นัยน์ตาสีฟ้าจึงเบิกกว้าง
ภายในแดนลับเมืองท้อ
ต้นเทพเมืองท้อสูงร้อยจั้งเอนไหวขึ้นมาฉับพลัน ดอกท้อมากมายคล้ายแสงสะท้อนยามเย็นตื่นจากหลับใหล เปลวไฟเจิดจ้าพวยพุ่งออกมา
ซากแห้งที่เคยถูกพลังชั่วร้ายโสโครกกัดกร่อนจนเหือดแห้ง บัดนี้มีพลังชีวิตเต็มเปี่ยมหล่อเลี้ยงขึ้นจากรากเหง้า
หลังจากนั้น ภายใต้ดินแดนสามพันลี้ของภูเขาเมืองท้อ รากเหง้าที่พัวพันกันอยู่ใต้ดินยืดยาวไปจนถึงยอดเขาเปล่งแสงเจิดจรัส คลื่นพลังต้องห้ามลึกลับงดงามปรากฏให้เห็น
ตู้ม!
ฟ้าดินสั่นไหว
ท่ามกลางสายตาเหลือเชื่อที่จ้องมองมาของทุกคน พื้นที่เมืองท้อรอบด้านต่างมีเพลิงศักดิ์สิทธิ์ลุกโชนพุ่งออกมา พัวพันผสานกันอยู่บนท้องฟ้า กลายเป็นเงาต้นท้อเชื่อมต่อฟ้าดิน
ชั่วอึดใจนั้น ค่ำคืนทมิฬถูกขับไล่ออกไป ฟ้าดินสว่างจ้าดั่งเวลากลางวัน เปลวเพลิงสีทองดั่งดอกท้อมากมายสาดลงมาดั่งสายฝน
ภูตผีชั่วร้ายที่เคยกระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้นที่เมืองท้อ ต่างต้องวิญญาณสลายไปท่ามกลางความหวาดผวาและสิ้นหวัง
“นี่มันคล้ายที่ไก่แจ้เฒ่าร่ายวิชาด้วยตัวเอง…!”
“บัดซบ!!”
ราชาผีโลหิตมรกต ฮูหยินปีศาจโลหิต และผีดิบโบราณกลัวหัวหดกันหมด พวกเขาร้องลั่นด้วยความผวา วิ่งหนีอุตลุด
ทว่าพื้นที่รอบด้านในเมืองท้อล้วนปกคลุมอยู่ใต้เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์อันเจิดจ้า ส่งผลให้ภูตผีสยองสามคนนี้ไร้ที่หนี ร่างของแต่ละตนสลายกลายเป็นธุลีท่ามกลางเปลวเพลิงสีทองท่วมฟ้า ดับสิ้นสูญไป
บนยอดเงาต้นท้อที่ปรากฏอยู่ระหว่างฟ้าดินเมืองท้อ คลับคล้ายคลับคลาว่ามีไก่แจ้หลากสีองอาจศักดิ์สิทธิ์ยืนตระหง่านอยู่บนก้านที่สูงที่สุด แหงนหน้าขันดังสะท้านฟ้า
เสียงนั้นกระจายออกไปทั่วทุกพื้นที่
ทั้งภูเขาเมืองท้อ กระทั่งภูตผีที่ซ่อนตัวในความมืดต่างสลายกลายเป็นจุณ!
‘บันทึกเรื่องเร้นลับ’ ที่มีมาแต่บรรพกาลได้บันทึกไว้ว่า เมื่อครั้งโบราณ ประตูผีบูรพามีภูเขาเมืองท้อ มีต้นใหญ่นามเมืองท้อ กิ่งก้านแผ่ขยายออกไปสามพันลี้ มีไก่แจ้สวรรค์คอยขันรับยามอรุณ ขับไล่วิญญาณร้าย
เรียกกันว่า เสียงขันไก่แจ้เบิกอรุณ!