บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 864: เรือล่องสำราญหอเมฆา
ตอนที่ 864: เรือล่องสำราญหอเมฆา
เนิ่นนาน เงาต้นท้อเชื่อมต่อฟ้าดินถึงค่อย ๆ สลายไป
เปลวเพลิงสีทองท่วมฟ้าดับมอด
ภูเขาเมืองท้อสามพันลี้ถูกปกคลุมอยู่ภายใต้รัตติกาลอีกครั้ง
เพียงแต่หนนี้ปราศจากกลิ่นอายโลหิตท่วมท้นอย่างก่อน
ซ้ำยังมองเห็นพระจันทร์เสี้ยวสีม่วงใสสกาวบนท้องฟ้าราตรีกว้างไกลนั้นได้อย่างชัดเจน
ภายในปฐพีผืนนี้ สายลมพัดโชยบางเบา สรรพสิ่งสงบ
บนยอดเขาดวงตะวัน
เซี่ยอวิ้นเหยียนสะท้านทั้งกายใจ สายตาเลื่อนลอย ราวกับเพิ่งได้ประจักษ์รู้เห็นปฏิหาริย์
เพียงพลิกมือเดียว ต้นเทพเมืองท้อก็ได้เชื่อมต่อฟ้าดิน เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ส่องสว่างไปทั่วหล้า
คล้อยตามเสียงขันของไก่แจ้ วิญญาณร้ายทั้งปวงสลายกลายเป็นธุลี!
วิธีการเช่นนั้น ยิ่งกว่าอภินิหาร!
สาวน้อยชุดดำชะงักไม่พูดจา สายตาเหมือนตกอยู่ในภวังค์
นางนึกถึงประโยคที่ท่านอาจารย์เคยกล่าวด้วยความภาคภูมิ “ข้าผู้เป็นยมบาลเดินดินแห่งเมืองท้อ สวรรค์บัญชาให้ข้าอาจหาญไม่ยอมอยู่ใต้กฎเกณฑ์ สวรรค์ผนึกขุนเขาสามพันลี้ ภูตผีเทวดาได้พบข้ายังมิกล้า!”
“ผนึกสวรรค์” ที่ว่าก็คือค่ายกลต้องห้ามที่ปกคลุมอยู่บนอาณาเขตสามพันลี้ของภูเขาเมืองท้อ
รีดเร้นพลังจากชีพจรเขาและภูมิประเทศ ใช้ต้นเทพเมืองท้อเป็นแหล่งพลัง เมื่อใช้ออก สามารถกำจัดพลังชั่วร้าย สังหารภูตผีในโลกนี้ได้ทั้งปวง!
ค่ายกลนี้จึงถูกเรียกว่าสวรรค์ผนึกประตูผี!
บัดนี้ แม้อาจารย์ไม่อยู่แล้ว ทว่ามหาค่ายกลที่หลับใหลไปไม่รู้นานเท่าใดกลับถูกใช้ในคืนนี้ พลิกสถานการณ์ได้ในคราเดียว กวาดล้างภูตผีร้ายทั้งหลายบนภูเขาเมืองท้อ
ฟ้าดินปลอดโปร่งปราศจากมลทิน!
“คนผู้นี้เป็นใครกัน เหตุใดถึงควบคุมได้ทั้งเพลิงเทพดวงตะวัน และสวรรค์ผนึกประตูผีของท่านอาจารย์ได้ด้วย?”
สาวน้อยชุดดำงุนงง
เพราะนางในฐานะผู้สืบทอดยังไม่อาจใช้ค่ายกลนี้ได้…
“ตอนนี้ เจ้าคงเชื่อแล้วใช่หรือไม่ ว่าข้าไม่ใช่คนเลว”
ซูอี้ที่ลอยลงมาอยู่บนพื้น เห็นท่าทางอึ้งจนพูดไม่ออกของสาวน้อยชุดดำแล้วอดหยอกไม่ได้
สาวน้อยชุดดำเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน นางเชิดนัยน์ตาสีฟ้าขึ้น พร้อมเอ่ยอย่างอดไม่ได้ “เจ้า… เป็นใครกันแน่?”
ซูอี้คืนคทาวิญญาณดวงตะวันให้สาวน้อยชุดดำ “ประเดี๋ยวค่อยคุยกัน”
พูดไป เขาหันมองเซี่ยอวิ้นเหยียน “บัดนี้ในภูเขาเมืองท้อแห่งนี้ปราศจากอันตรายใด ๆ รีบพาสหายร่วมสำนักของเจ้าไปจากที่นี่เสีย”
พูดไป เขาก้าวเดินไปทางซากโถงใหญ่ใหญ่
เซี่ยอวิ้นเหยียนชะงัก รีบไล่ตามเข้าไป
สาวน้อยชุดดำลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหลังไล่ตามไปเช่นกัน
ภายในซากโถงใหญ่
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยชีวิต”
เมื่อซูอี้เดินเข้ามา เหล่าผู้ฝึกตนสำนักดาบฟ้าสว่างพากันทำความเคารพด้วยความหวั่นเกรง ซาบซึ้งน้ำหูน้ำตาไหล
กระทั่งศิษย์น้องเยว่ผู้ขาขาดไปหนึ่งข้างยังกระเสือกกระสนลุกขึ้น ก้มหัวคำนับ
หลังได้เห็นฝีมือที่เรียกได้ว่าสยดสยองของซูอี้ ผู้ใดกล้าปฏิบัติเขาเหมือนชายหนุ่มคนหนึ่งอยู่อีก
ในสายตาผู้ฝึกตนสำนักดาบฟ้าสว่าง ต่างสงสัยว่าซูอี้คือเทพเซียนจุติที่ลือกันหรือเปล่า
ซูอี้ตอบอืมมาหนึ่งคำ “พวกเจ้าไปได้แล้ว”
เซี่ยอวิ้นเหยียนอดเอ่ยเสียงแผ่วไม่ได้ “ท่านอาวุโส หากเป็นไปได้ ช่วยบอกกล่าวชื่อเสียงเรียงนามของท่านแก่พวกข้าได้หรือไม่ วันหน้าหากมีโอกาส พวกข้าย่อมต้องตอบแทนบุญคุณช่วยชีวิตในวันนี้”
คนอื่นในที่นี้พยักหน้าสำทับ
“ข้าเป็นเพียงผู้ที่ผ่านมาผ่านไปเท่านั้น ที่ลงมือก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่เพียงเพื่อช่วยชีวิตพวกเจ้า ไม่จำเป็นต้องซาบซึ้งในตัวข้านัก”
ซูอี้เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “รีบไปเถิด”
เห็นดังนั้น เซี่ยอวิ้นเหยียนอดผิดหวังไม่ได้ นางไม่กล้าฝืนต่อ จึงพาคนอื่น ๆ ไปจากวัดร้างแห่งนี้
“แม่หนู เราไปคุยกันที่แดนลับเมืองท้อหน่อยเป็นอย่างไร”
ซูอี้หันมองนาง
คราวนี้ สาวน้อยชุดดำไม่ได้เอาแต่เงียบ จากนั้นนางก็ผงกหัวน้อย ๆ “อืม”
…..
แดนลับเมืองท้อ
ใต้ต้นเทพเมืองท้อ ซูอี้นั่งบนรากท่อนหนึ่งที่นูนขึ้นมาในท่าทางสบายอารมณ์ ดื่มสุราไปพลาง ไถ่ถามเรื่องราวต่าง ๆ กับหลิงเจินไปพลาง
สาวน้อยชุดดำนั่งเข่าชิดในท่าทีสำรวมอยู่ไม่ไกล
ดูเหมือนนางจะไม่ได้ระแวงในตัวซูอี้อีกต่อไป นางถอดหมวกชุดคลุมสีดำออก เผยให้เห็นผมยาวสลวยนุ่มลื่นสีแดงชาด ดวงหน้างดงามหมดจด ไร้เดียงสาบริสุทธิ์ ผิวเนียนผ่องขาวนวลดั่งกระเบื้องใน
โดยเฉพาะนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนคู่นั้น ในความกระจ่างใสเจือไว้ด้วยความเย้ายวน
นางไขว้มือไว้หน้าเข่า ร่างบางชวนหลงใหล
ระหว่างการสนทนา สาวน้อยชุดดำไม่ต่อต้านเหมือนทีแรก
ในไม่ช้า ซูอี้ก็ได้ล่วงรู้หลายอย่าง
เด็กสาวมีนามว่าหลิงเจิน เป็นชื่อที่ท่านอาจารย์ตั้งให้ ถือกำเนิดในแหล่งพลังต้นเทพเมืองท้อเมื่อนานมาแล้ว
ทว่า หลิงเจินในตอนนั้นมีญาณนึกคิดเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น
สามสิบสามปีที่แล้ว ถึงเพิ่งวิวัฒนาการออกมาเป็นร่างวิญญาณและสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์
และในปีนั้น นางได้เป็นศิษย์ก้นกุฏิของจ้าวบรรพตเมืองท้อ
แต่ผ่านไปเพียงสามเดือน จ้าวบรรพตเมืองท้อได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่ง จากนั้นก็ต้องรีบร้อนออกจากภูเขาเมืองท้อ
นี่คือเหตุผลที่ทำไมหลิงเจินถึงควบคุม ‘เพลิงเทพดวงตะวัน’ ได้เพียงน้อยนิด กระทั่งไม่ทันได้รับสืบทอด ‘วิชาอินทิพย์ดวงตะวัน’ ด้วยซ้ำ
ซูอี้เอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจอย่างอดไม่ได้ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าจดหมายลับที่ท่านอาจารย์ของเจ้าได้ลับ มาจากผู้ใด”
หลิงเจินส่ายหัว “เมื่อครั้งท่านอาจารย์จากไป หาได้บอกสิ่งใดแก่ข้าไม่ เพียงแต่กำชับข้าว่าก่อนเขาเดินทางกลับ ต้องคอยเฝ้าอยู่ข้างต้นเทพดอกท้อตลอด”
ซูอี้เผลอขมวดคิ้ว เหตุใดไก่แจ้เฒ่าตัวนี้ถึงรีบร้อนจากไปเช่นนี้
“จริงสิ”
สาวน้อยพลันนึกบางสิ่งขึ้นได้ “ข้าจำได้ว่าก่อนท่านอาจารย์ไป ท่านได้นำ ‘เรือไร้อับปาง’ ที่สร้างจากแก่นกำเนิดแห่งพฤกษาทิพย์เมืองท้อลำหนึ่งไปด้วย”
สายตาซูอี้แข็งทื่อไปเล็กน้อย หรือว่าไก่แจ้เฒ่านี่ไปที่ทะเลทุกข์?
ของล้ำค่าอย่างเรือไร้อับปางมีเพียงตอนข้ามทะเลทุกข์เท่านั้น จึงจะแสดงอานุภาพอย่างน่าเหลือเชื่อ!
ซูอี้ครุ่นคิดพลางกล่าว “เจ้านึกเรื่องอื่นใดออกอีกหรือไม่ อย่างเช่นก่อนท่านอาจารย์ของเจ้าได้รับจดหมายลับฉบับนี้ มีพฤติกรรมผิดปกติหรือไม่”
หลิงเจินใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ส่ายหัวพลางกล่าว “ไม่มี”
แม้ซูอี้นึกผิดหวังอยู่บ้าง กระนั้นเขารู้ว่าถามไม่ได้คำตอบอื่นอีกแล้ว
“เจ้า… เจ้าล่ะ เป็นใครกันแน่”
หลิงเจินถามอย่างอดไม่ได้
“เจ้ารู้เพียงว่าข้าแซ่ซู เป็นสหายสนิทของท่านอาจารย์เจ้าก็พอ”
ซูอี้บอก
“สหายสนิทของท่านอาจารย์ข้า?”
หลิงเจินผงะ ในสายตานาง ซูอี้มีอายุเพียงแค่สิบแปดสิบเก้าเท่านั้น กลับเรียกขานตัวเองว่าเป็นสหายสนิทของท่านอาจารย์ ไม่แปลกไปหน่อยหรือ?
นอกจากนี้ นางไม่เคยได้ยินท่านอาจารย์พูดสักครั้งว่ามีสหายแซ่ซูในโลกนี้ด้วย
เห็นสายตาคลางแคลงใจของเด็กสาว ซูอี้ก็อดขำไม่ได้ “รอท่านอาจารย์ของเจ้ากลับมาเมื่อใด ย่อมเฉลยแก่เจ้า”
จากนั้น ซูอี้ถามไถ่เกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงมหันต์ของภูเขาดอกท้ออีกนิดหน่อย
จากที่หลิงเจินเล่า นับแต่ประวัติศาสตร์เริ่มต้น ใต้ภูเขาเมืองท้อเดิมเคยมี ‘เขตผี’ แห่งหนึ่งถูกผนึกไว้ เปรียบเสมือนแดนนรก มีภูตผีจำนวนมหาศาลกระจัดกระจายอยู่
นับแต่ท่านอาจารย์ของนางจากไป ภูตผีชั่วร้ายในเขตผีแห่งนั้นก็เริ่มไม่สงบ
จนกระทั่งเมื่อสิบแปดปีก่อนภูตผีดุร้ายจำนวนหนึ่งหนีออกจากผนึก
การเปลี่ยนแปลงมหันต์ของภูเขาเมืองท้อจึงเริ่มต้นนับแต่บัดนั้น
หลิงเจินก้มหน้า ดวงหน้างดงามฉายแววละอาย นางเอ่ยเสียงแผ่ว “ที่จริงผิดที่ตัวข้าไร้ความสามารถ ไม่อาจใช้พลังจาก ‘สวรรค์ผนึกประตูผี’ ได้ ถึงปล่อยให้ภูตผีเหล่านั้นหนีรอดออกมา หลายปีมานี้ ข้ามักรู้สึกจิตใจไม่สงบ ทุกครั้งที่มีผู้ฝึกตนบุกเข้ามาในภูเขาเมืองท้อ แล้วเห็นพวกเขาตกอยู่ในอันตราย ข้ามักช่วยเหลือสุดความสามารถ เพื่อชดเชยกับความรู้สึกผิดในใจของข้าได้บ้าง…”
ซูอี้ลอบสะท้อนใจ บางทีคงเป็นเพราะเด็กสาวผู้นี้ยังไม่ประสา จนบัดนี้ยังมีจิตใจเมตตาอยู่
“เรื่องนี้โทษเจ้าได้อย่างไร ท่านอาจารย์ของเจ้าไม่ได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาลับเหล่านี้แก่เจ้าเท่านั้น”
ซูอี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าจะมอบ ‘วิชาอินทิพย์ดวงตะวัน’ แก่เจ้า หลังจากนี้ เจ้าจะสามารถควบคุม ‘สวรรค์ผนึกประตูผี’ ในภูเขาเมืองท้อแห่งนี้”
หลิงเจินตาเป็นประกาย ฉายแววปีติ ตอบเสียงใสแจ๋ว “ขอบคุณท่านอาวุโสมาก!”
ซูอี้ยิ้ม แกล้งหยอก “ไยมาเปลี่ยนสรรพนามเรียกข้าเอาป่านนี้”
หลิงเจินเขินนิดหน่อย เอ่ยเจื่อน ๆ “ข้าเพียงนึกบางสิ่งขึ้นมาได้กะทันหัน ท่านอาวุโสสามารถควบคุมพลังของเพลิงเทพดวงตะวันและสวรรค์ผนึกประตูผีได้ ย่อมสนิทกับท่านอาจารย์ของข้าไม่เบา เรียกท่านว่าท่านอาวุโสนับว่าสมควรแล้ว”
ซูอี้ยิ้ม “ข้ามาที่นี่เพื่อหล่อเรือไร้อับปางเช่นกัน จำต้องใช้แก่นกำเนิดแห่งพฤกษาทิพย์เมืองท้อไปด้วยหนึ่งท่อน เจ้าตกลงหรือไม่?”
หลิงเจินลังเลครู่หนึ่ง เอ่ยเสียงเบา “ท่านอาวุโส ถ้าอย่างนั้น… ท่านช่วยทิ้งหลักฐานยืนยันตัวตนไว้ได้หรือไม่ ถึงคราท่านอาจารย์ของข้ากลับมา จะได้มีคำอธิบาย”
ซูอี้พยักหน้าตกลง
…..
เช้าวันรุ่งขึ้น
ฟ้าสว่าง ภูเขาเมืองท้อกว้างใหญ่โอบล้อมอยู่ในแสงสะท้อนดวงอาทิตย์อันงดงาม หมู่เมฆลอยละล่อง สรรพสิ่งเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา
ไม่เห็นกลิ่นอายชั่วร้ายสักเสี้ยว
ตอนซูอี้จากไป เขามีแก่นกำเนิดแห่งพฤกษาทิพย์เมืองท้อยาวเป็นจั้งติดตัวไปด้วย
เมื่อคืน เขาทิ้งเคล็ดวิชาควบคุมเพลิงเทพดวงตะวัน และเคล็ดวิชารีดเร้นสวรรค์ผนึกประตูผีไว้ให้หลิงเจิน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้ภายหน้าในเขตผีซึ่งถูกผนึกอยู่ใต้ภูเขาเมืองท้อมีภูตผีหนีออกมาอีก หลิงเจินก็ผนึกและกำจัดได้อย่างง่ายดาย
นอกจากนั้น ก่อนไป ซูอี้ทิ้งหลักฐานยืนยันตัวตนให้นางด้วย
บนหลักฐานนั้นเขียนไว้ว่า ‘ข้าแซ่ซูได้ขอยืมแก่นกำเนิดแห่งพฤกษาทิพย์เมืองท้อขนาดหนึ่งจั้งสามฉื่อ หากมีโอกาส ก็ไม่คืนอยู่ดี’
ซูอี้จำได้ว่าตอนเห็นอักษรบนหลักฐานยืนยันตัวตน หลิงเจินอึ้งไป ริมฝีปากสีชมพูนุ่มนิ่มค้างเป็นรูปตัว “O”
เมื่อร่างของซูอี้กำลังจะจากไปไกล เขาหันไปมองราวกับสัมผัสบางอย่างได้
และได้เห็นว่าบนยอดเขาดวงตะวัน ร่างบางร่างหนึ่งยืนทอดสายตา ชุดดำบนตัวพลิ้วไหว ผมสีแดงดั่งเพลิงสะท้อนกับแสงแดดเป็นประกายเจิดจรัส
“ท่านอาวุโสรักษาตัวด้วย”
หลิงเจินโบกมือจากที่ไกล ๆ เสียงอ่อนหวานนุ่มนวล
“แม่หนู เจ้าเองก็รักษาตัวด้วย”
ซูอี้ยิ้ม หมุนตัวจากไป
หลิงเจินมองจนร่างของซูอี้หายลับไปกับขอบฟ้าอย่างสิ้นเชิงแล้ว
นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนของนางถึงฉายแววหม่นหมอง จากนั้น เด็กสาวเม้มริมฝีปากสีชมพู หันหลังกลับวัดดวงตะวันซึ่งกลายเป็นซากไปแล้ว
สามวันต่อมา
ซูอี้เข้าไปถึงอาณาเขต ‘เขตจัตุรัสผี’ ซึ่งเป็นหนึ่งในหกเขตแห่งภูมิมืดมิด
เมืองบทเพลงเมฆา
เป็นเมืองโบราณขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ที่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเขตจัตุรัสผี ติดกับเขตราชาหกวิถีที่เจริญรุ่งเรือง
นอกเมืองบทเพลงเมฆา
เบื้องหน้าท่าเรือแห่งหนึ่ง
มีเรือล่องล้อเมฆาขนาดมหึมาดั่งขุนเขาจอดอยู่ หออาคารบนนั้นตั้งตระหง่านเรียงราย
นี่คือ ‘เรือล่องสำราญหอเมฆา’ ที่ใช้รับแขก สามารถเหินอากาศได้ ไม่นานนักก็ออกเดินทางไปยัง ‘เมืองเทียนหยา’
เมืองเทียนหยา เป็นที่พำนักของ ‘เผ่าปีศาจงู’ ซึ่งเป็นหนึ่งในเก้าเผ่าราชันย์ภูมิมืดมิด!
เวลานี้ซูอี้นั่งอยู่ในหอสุราที่ตั้งอยู่บนชั้นสูงสุดของเรือล่อง
นั่งริมหน้าต่างตามลำพัง สั่งบะหมี่เจร้อนกรุ่นหนึ่งถ้วย