บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 865: การเปลี่ยนแปลงของเมืองมืด
ตอนที่ 865: การเปลี่ยนแปลงของเมืองมืด
ลูกค้าบนเรือล่องสำราญหอเมฆาล้วนเป็นผู้ฝึกตนทั้งสิ้น
เพียงจ่ายหินวิญญาณจำนวนหนึ่ง ก็สามารถล่องเรือด้วยความสบายจวบจนถึงที่หมาย
บนเรือล่องสำราญหอเมฆามิได้มีเพียงหอสุราและโรงน้ำชา ยังมีร้านค้าสารพัด จำหน่ายอุปกรณ์ฝึกฝนจากทั่วสารทิศ
อย่างเช่นวัตถุวิญญาณ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ โอสถ สมบัติ ของหายากต่าง ๆ
แน่นอนว่าต้องใช้เงินทั้งหมด
ซูอี้ชื่นชอบการปลอมแปลงตัวตั้งแต่ท่องภูมิมืดมิดเมื่อชาติก่อน แล้วออกเดินทางด้วยเรือล่องสำราญหอเมฆา
บนเรือนี้ เขาได้พบผู้ฝึกตนที่มาจากดินแดนต่าง ๆ มีภูมิหลังและประสบการณ์ที่แตกต่างออกไป และได้ฟังเรื่องเล่าพิศวงอีกมากมาย
ทว่าหนนี้ เขาไม่จำเป็นต้องปลอมตัว
เพราะชายหนุ่มแปลกหน้าเช่นเขา ไม่เป็นที่สนใจเท่าไร
เรือล่องสำราญหอเมฆายังไม่ออกเดินทางอย่างเป็นทางการ ทว่าในหอสุราบนชั้นสูงสุดของเรือล่องสำราญคึกคักมากแล้ว
“ใครเล่าจะคิด ในคืนเทศกาลหมื่นโคมไฟเมื่อวันที่สิบห้าเดือนเจ็ด ไม่เพียงแต่เมืองตาข่ายม่วงในเขตราชาหกวิถีเท่านั้นที่เกิดการเปลี่ยนแปลงมหันต์ กระทั่ง ‘เมืองมืด’ ยังเกิดการเปลี่ยนแปลงมหันต์เช่นกัน!”
“เกิดสิ่งใดกับเมืองมืดกันแน่?”
“ไม่รู้แน่ชัด แต่ลือกันว่าเส้นทางหยินหยางที่เชื่อมต่อกับเมืองมืดถูกทำลายจนเสียหายร้ายแรง เหล่าผู้แกร่งที่เคยเข้าไปผจญภัยในคุกอเวจีทั้งเก้าแห่งเมืองมืดอาจต้องติดอยู่ในนั้น ไม่สามารถคืนสู่โลกนี้ได้อีก”
“การเปลี่ยนแปลงนี้ร้ายแรงเกินไป เท่าที่ข้ารู้ หลายร้อยปีมานี้มีขอบเขตจักรพรรดิอย่างน้อยเป็นสิบเข้าไปในคุกอเวจีทั้งเก้าเพื่อขัดเกลาตน! บัดนี้เส้นทางหยินหยางถูกทำลาย น่ากลัวว่าขอบเขตจักรพรรดิเหล่านั้นคงยากจะหวนคืน”
…เสียงสนทนาภายในหอสุราดึงความสนใจของซูอี้
เกิดความเปลี่ยนแปลงกับเมืองมืดอย่างนั้นหรือ?
ซูอี้จับจอกเหล้าเล่น ท่าทางครุ่นคิด
เมืองมืด พื้นที่ต้องห้ามเส้นอันตรายที่ตั้งอยู่ในเมืองมรณะ
ในเมืองมิด มีดินแดนซึ่งเป็นคุกอเวจีทั้งเก้า
ทุกขั้นของคุกอเวจีต่างมีพลังมารชั่วร้ายโบราณมากมายกระจายตัวอยู่
ยิ่งลงไป ยิ่งน่ากลัว
โดยเฉพาะตั้งแต่คุกชั้นที่หกลงไป พลังมารชั่วร้ายที่กระจายอยู่ในนั้นเพียงพอสร้างอันตรายต่อตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิ!
ด้วยเหตุนี้ ดินแดนคุกอเวจีชั้นหกจึงถูกตัวตนต่ำกว่าขอบเขตจักรพรรดิมองว่าเป็น ‘พื้นที่ต้องห้าม’!
เมื่อชาติก่อน ซูอี้เคยผจญภัยในเมืองมืด ไม่ใช่เพื่อขจัดมารร้าย แต่เพื่อเก็บสะสมเศษเสี้ยวของมหาวิถีโบราณที่อยู่ข้างใน
สำหรับผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ในโลกนี้ คุกอเวจีทั้งเก้าแห่งเมืองมืดอันตรายหาสิ่งใดเปรียบ
แต่สำหรับบางคน ที่นั่นเสมือนแหล่งสมบัติที่เต็มไปด้วยโอกาสวาสนา
เข้าไปผจญภัยในนั้น ไม่เพียงแต่ขัดเกลาพลังวิถีได้ ยังสามารถเก็บสะสมเศษเสี้ยวมหาวิถีโบราณอันหายากมากมายระหว่างการเข่นฆ่ามารร้ายอีกด้วย
ถ้าโชคดี บางทีอาจค้นพบพลังมหาวิถีสมบูรณ์เจออีกด้วย!
และเท่าที่ซูอี้ทราบ หากต้องการเข้าไปในเมืองมืด ไม่เพียงแต่ต้องเข้าไปที่เมืองมรณะก่อน ยังต้องผ่านเส้นทางหยินหยางอีกด้วย
เส้นทางหยินหยางนั้นพาดผ่านความจริงและภาพมายา คล้ายกับรอยแยกมิติที่ล่องลอยไม่แน่นอน หลายปีก่อนจะปรากฏสักครา
แต่บัดนี้ ฟังจากวาจาของผู้ฝึกตนพวกนั้น เส้นทางหยินหยางที่ตรงไปถึงเมืองมืดเสียหายร้ายแรงในคืนเทศกาลหมื่นโคมไฟหรือนี่!!
ผลที่ตามมารุนแรงจริง ๆ
เท่าที่ซูอี้รู้ มีตาเฒ่าไม่น้อยที่ค้นหาเศษเสี้ยวมหาวิถีเพื่อขัดเกลาพลังวิถี บางคนถึงกับจมอยู่ในคุกอเวจีทั้งเก้าแห่งเมืองมืดเป็นร้อยเป็นพันปี!
และตอนนี้ เส้นทางหยินหยางได้รับความเสียหาย หากเหล่าผู้ฝึกตนที่อยู่ในคุกอเวจีทั้งเก้าแห่งเมืองมืดอยากออกมาเห็นทีคงไม่ได้!
“เรื่องนี้น่าจะเป็นความจริง เมื่อไม่นานมานี้ มีข่าวลือว่า ‘จักรพรรดิวิญญาณหยาดสวรรค์’ แห่งเผ่าปีศาจงูเข้าไปผจญภัยในเมืองมืดตั้งแต่หลายร้อยปีก่อน จนบัดนี้ยังไม่เคยกลับออกมา”
ในหอสุรา ใครบางคนเอ่ยเสียงเบา
ได้ยินมาถึงนี่ มือที่กำจอกสุราของซูอี้แข็งทื่อไปเล็กน้อย นัยน์ตาหรี่ลงเงียบ ๆ
หัวใจวิถีแข็งแกร่งดุจหินผาที่ไม่เคยหวั่นไหวของเขา บัดนี้สะท้านเล็กน้อย
จักรพรรดิวิญญาณหยาดสวรรค์!
เป็นสมญานามของเย่จื่อน้อย!!
“นาง… ไยจึงไปที่เมืองมืด…”
สายตาของซูอี้วูบไหว
เขามายังเขตจัตุรัสผีคราวนี้ก็เพื่อไปยังเผ่าปีศาจงู นำ ‘ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์’ ที่เคยฝากเย่จื่อน้อยรักษากลับมา
แต่ใครเล่าจะคิด เขาเพิ่งมาถึงเขตจัตุรัสผีก็ได้ยินข่าวร้ายเช่นนี้!
“ข้าได้ยินเรื่องนี้มาเหมือนกัน ได้ข่าวว่าเพราะมีเหตุการณ์ผกผันนี้ ภายในเผ่าปีศาจงูเกิดจลาจลขึ้นมาเหมือนกัน”
“จลาจลอย่างไรหรือ”
“เจ้าคิดดูสิ เผ่าปีศาจงูในวันวาน จักรพรรดิวิญญาณหยาดสวรรค์คือผู้กุมอำนาจอย่างแท้จริง มีนางคอยพิทักษ์ ความรุ่งโรจน์ของเผ่าปีศาจงูนับเป็นกลุ่มอิทธิพลอันดับหนึ่งในเขตจัตุรัสผีแห่งนี้”
“แต่หลังจากข่าวการเปลี่ยนแปลงของเมืองมืดแพร่ออกมา ชาวเผ่าปีศาจงูมีหรือจะไม่แตกตื่น”
“อย่างที่รู้ว่าเมื่อเรือขาดหางเสือ ย่อมกลายเป็นภัยใหญ่ เผ่าปีศาจงูยิ่งใหญ่แผ่อำนาจออกไปมากมาย มีกลุ่มอิทธิพลสาขาถึงสามสาขาใหญ่ และเท่าที่ข้ารู้ ทั้งสามสาขาใหญ่ของกลุ่มอิทธิพลเผ่าปีศาจงูมีการลงมือกันแล้ว พวกเขาลงนามพร้อมกันว่าต้องการดันผู้นำเผ่าคนใหม่ขึ้น!”
“สายเอกเผ่าปีศาจงูมีหรือจะยอม”
“เพราะไม่ยอมนั่นแหละ ถึงได้ปะทะกันรุนแรง!”
…..
เมื่อกล่าวถึงเรื่องราวในเผ่าปีศาจงู คนอื่น ๆ อีกมากในหอสุราพากันออกความเห็น กลายเป็นการถกกันอย่างเร่าร้อน
ด้วยเพราะช่วงนี้นี่คือเรื่องซึ่งเป็นที่จับตาที่สุดในเขตจัตุรัสผี
ซูอี้นั่งฟังเงียบ ๆ อดทอดถอนใจมิได้
เรือขาดหางเสือ ย่อมกลายเป็นภัยใหญ่
ประโยคนี้ เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจแย้งได้ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน
ห้าร้อยปีก่อน หลังเขาได้เกิดใหม่ ถ้ำเสวียนจวินจึงตกอยู่ในความแตกแยกที่มีภัยทั้งภายในภายนอก
ช่วงก่อนเทศกาลหมื่นโคมไฟมาถึงไม่นาน ตระกูลชุยเมืองตาข่ายม่วงที่ปราศจากชุยหลงเซี่ยงคอยพิทักษ์ อยู่ในสถานการณ์อันตรายแบบนี้เช่นกัน
และบัดนี้ ด้วยการเปลี่ยนแปลงมหันต์นี้ ภายในเผ่าปีศาจงูก็เกิดปัญหาร้ายแรงอย่างเห็นได้ชัด!
ซูอี้คลึงหว่างคิ้ว นึกรำพันในใจ หากส่งตัวเย่ซุ่นกลับเผ่าปีศาจงูตอนนี้ น่ากลัวว่าเป็นการผลักเขาไปอยู่หน้าภยันตราย
ถึงอย่างไรหมอนี่ก็เป็นน้องชายของเย่จื่อน้อย ซ้ำยังเป็น ‘คนเฒ่าคนแก่’ ของสายเอกตระกูลเย่อีกด้วย
บรรลุเป็นจักรพรรดิตั้งแต่หลายหมื่นปีก่อน
ต่อให้ตอนนี้เย่ซุ่นตกต่ำอนาถาปานใด แต่ตราบใดที่เขาปรากฏตัว ก็ถือเป็น ‘คนเฒ่าคนแก่’ ของเผ่าปีศาจงู!
ทว่าคนเฒ่าคนแก่ผู้ปราศจากพลังยืนยันตัวตนอย่างเย่ซุ่น ย่อมไม่อาจช่วยได้ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้
“ไม่รู้ว่าตาเฒ่าเด็กเย่หนานเจิงยังอยู่ที่เผ่าปีศาจงูหรือไม่ หากนับตามรุ่น เขาคือท่านลุงของเย่อวี๋กับเย่ซุ่น
ตั้งแต่สามหมื่นปีก่อน ตาเฒ่านี่ก็เป็นคนใหญ่คนโตมีน้ำหนักในเผ่าปีศาจงู
หืม?
ขณะที่กำลังใช้ความคิด ซูอี้สัมผัสบางอย่างได้ ทอดสายตามองนอกต่างตามสัญชาตญาณ
หอสุราแห่งนี้ตั้งอยู่บนชั้นสูงสุดของเรือล่องสำราญหอเมฆา จากที่นั่งริมหน้าต่างของซูอี้ สามารถมองเห็นภาพทิวทัศน์นอกเมืองบทเพลงเมฆาได้อย่างทั่วถึง
เขาได้เห็นด้านนอกเมือง เกี้ยวคันหนึ่งแล่นออกไป แล้วมาจอดอยู่หน้าท่าเรือล่องสำราญหอเมฆา
จากนั้นก็มีคนทยอยก้าวลงมาจากเกี้ยวทั้งหมดสามร่างด้วยกัน
ผู้ที่เดินนำเป็นบุรุษในชุดคลุมยาวสีคราม รูปร่างผอมบาง หน้าตาฉายแววขี้โรค
สองข้างของบุรุษผู้นั้น คนหนึ่งสวมชุดนักรบ แบกมีดยาวไว้ที่หลัง เป็นชายวัยกลางคนที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเปล่งรัศมีดุดันแข็งกร้าว นัยน์ตาคู่นั้นประดุจสายฟ้าน่าหวาดผวา
อีกคนเป็นชายหนุ่มในชุดม่วง ปากแดงฟันขาว ประดับรัดเกล้าปีกนกไว้บนศีรษะ สูงสง่ารูปงาม
ราวกับสัมผัสได้ถึงบางอย่าง ชายวัยกลางคนชุดนักรบผู้แบกดาบไว้กลางหลังหันมองมาทางหอสุราชั้นบนสุดของเรือล่องสำราญหอเมฆา และเห็นซูอี้ที่กำลังทอดสายตาลงมาจากริมหน้าต่าง
พริบตานั้น นัยน์ตาของชายวัยกลางคนในชุดนักรบคมกล้าดั่งใบมีด ประหนึ่งสายฟ้าฟาดลงมา
ซูอี้กลับทำเหมือนไม่รู้สึกแม้แต่น้อย และดึงสายตากลับไป
เพียงแต่ในใจเขารู้สึกถึงบางอย่าง
“บังเอิญเสียจริง…”
ซูอี้ดื่มเหล้าในมือหมดจอก
…..
“ท่าน เมื่อครู่มีคนสังเกตเห็นเรา ข้าไม่สามารถแน่ใจได้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจหรือไม่”
ณ จุดท่าเรือที่เรือล่องสำราญหอเมฆาจอดอยู่ ชายวัยกลางคนในชุดนักรบเอ่ยเสียงเบา
บุรุษรูปร่างผอมซึ่งเดินนำอยู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะโบกมือ “ไม่เป็นไร รู้จักระวังตัวเป็นเรื่องดี กระนั้นก็ไม่จำเป็นต้องตีโพยตีพายไปเสียหมด”
ชายวัยกลางคนในชุดนักรบพยักหน้า
“ท่านพ่อ เหตุใดพวกเราถึงไม่ใช้ค่ายกลรับส่งโบราณในการเดินทางกลับเมืองเทียนหยา ไยต้องนั่งเรือล่องสำราญหอเมฆาด้วย”
ชายหนุ่มชุดม่วงที่อยู่ด้านข้างบ่นอุบ “ถ้าเป็นเช่นนี้ ต้องเสียเวลาระหว่างทางถึงเจ็ดวัน ช้าเหลือเกิน”
บุรุษร่างผอมถอนหายใจเบา ๆ “ข้ามั่นใจว่ารอบ ๆ ค่ายกลรับส่งโบราณซึ่งเชื่อมต่อกับเมืองเทียนหยามีคนลอบจับตามองอยู่นานแล้ว หากล่วงรู้ตัวตนของเรา ไม่รู้จะเกิดมรสุมใดขึ้นบ้าง”
เว้นจังหวะไปนิดหน่อย เขาเอ่ยต่อ “ในสถานการณ์เช่นนี้ นั่งเรือล่องสำราญหอเมฆาเป็นการปลอดภัยที่สุด”
ชายหนุ่มชุดม่วงมีสีหน้าอึมครึม เงียบไม่พูดจา
บุรุษร่างผอมทำท่าคิด ก่อนจะบอกกับชายในชุดนักรบ “ถูยง ประเดี๋ยวเจ้าไปดื่มที่หอสุราบนเรือล่องสำราญหอเมฆา ไปสืบว่ามีผู้ใดน่าสงสัยหรือไม่”
ชายกลางคนในชุดนักรบตอบรับขึงขัง “ขอรับ!”
ชายหนุ่มชุดม่วงตาเป็นประกาย “ลุงยง ข้าจะไปกับท่านด้วย!”
ถูยงลังเล หันมองบุรุษร่างผอมตามสัญชาตญาณ
บุรุษร่างผอมเอ่ยยิ้ม ๆ ด้วยเสียงอบอุ่น “พาเขาไปสิ ถือว่าเปิดหูเปิดตา”
เขาถึงพยักหน้าตกลง
จากนั้น ทั้งหมดก้าวขึ้นไปบนเรือล่องสำราญหอเมฆา
ผ่านไปไม่นาน
คล้อยตามเสียงดังกึกก้อง เรือล่องเมฆาคันมหึมาดั่งขุนเขาซึ่งบรรทุกแขกนับพันทะยานขึ้นฟ้า บดขยี้หมู่เมฆแล่นไปยังทิศไกล
บนเรือลำนี้มีผู้ฝึกตนนับพันแตกต่างออกไป ทั้งบุรุษ สตรี เด็ก คนแก่ และยังมีสิ่งมีชีวิตจากเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกันอีกด้วย
ทว่าพวกเขามีจุดร่วมกันหนึ่งอย่าง นั่นคือพลังของผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ไม่ถือว่าเก่งกาจมาก ฐานะก็ไม่ถือว่ายิ่งใหญ่มาก
ถึงอย่างไร เรือล่องสำราญหอเมฆาก็คือเรือรับแขก
ผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรมีเรือล่องเมฆาส่วนตัวให้นั้น น้อยนักจะเข้ามาปะปนกับผู้ฝึกตนธรรมดา
ส่วนผู้ฝึกคนพลังแกร่งกล้าส่วนใหญ่คิดว่าการบินของเรือล่องสำราญหอเมฆานั้นช้าเกินไป จึงไม่ค่อยได้ขึ้นเรือล่องเช่นนี้เท่าใด
ภายในหอสุราชั้นบนสุดของเรือล่องสำราญหอเมฆา
กระนั้น หลังจากชายวัยกลางคนในชุดนักรบและชายหนุ่มชุดม่วงเดินเข้าไป ก็เป็นที่จับตามองไม่น้อย
สาเหตุเพราะลมปราณจากทั้งคู่ล้วนเรียบนิ่ง
ถูยงกวาดสายตามอง กลับพบว่าชายหนุ่มชุดเขียวครามที่เคยนั่งอยู่ตรงริมหน้าต่างไม่อยู่เสียแล้ว
“ท่าทีของชายหนุ่มคนนั้นก่อนหน้านี้ตั้งใจไหมนะ?”
ถูยงขมวดคิ้วเล็กน้อย