บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 866: อย่ากลัว
ตอนที่ 866: อย่ากลัว
ณ ห้องหมายเลขเก้า บนชั้นสามในหอหนึ่งของเรือล่องสำราญหอเมฆา
“หลังผ่านไปหลายหมื่นปี ข้าผู้นี้ก็ได้กลับภูมิมืดมิดเสียที!”
“ไม่รู้ว่าจะยังมีผู้ใดในโลกหล้ายังจำนามเย่ซุ่นของข้าได้อยู่หรือไม่?”
“ฮ่า ๆๆ ยามเมื่อพวกชนรุ่นหลังในเผ่าพบข้า คงไม่เรียกข้าเป็นท่านเจ้าหรอกใช่หรือไม่?”
เย่ซุ่นบ้างทอดถอนใจบ้างรำพัน บ้างก็เท้าเอวหัวเราะร่า
‘จักรพรรดิผีหมิงหลัว’ ผู้สร้างโถงวิญญาณหยินทมิฬในมหาทวีปคังชิงตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัดยามได้รับรู้ว่ามาถึงเมืองมืดในภูมิมืดมิดแล้ว
ไม่ไกลกันนัก ซูอี้ที่นอนทอดร่างอยู่บนเตียง กล่าวขึ้นอย่างเหม่อลอย “หากเจ้ายังมัวพูดไร้สาระ อย่าโทษข้าหากจะลากเจ้ากลับสู่เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงแล้วกัน”
รอยยิ้มของเย่ซุ่นจางหาย จากนั้นเขาก็รีบขอโทษ “พี่เขย ข้าโดนผนึกอยู่ตั้งนานน่า มันก็… อดไม่ได้นี่”
ซูอี้นำม้วนหยกออกมาส่งให้เย่ซุ่น “ลองดูซิว่าเจ้าจำสามคนนี้ได้หรือไม่”
“ได้เลย!”
เย่ซุ่นพยักหน้า จากนั้นก็ดีดตัวลุกจากพื้น ก่อนจะใช้จิตสัมผัสแทรกเข้าตรวจสอบ
ครู่ต่อมา เขาก็กล่าวอย่างสงสัย “พี่เขย สามคนนี้มีสิ่งใดผิดแปลกหรือ?”
ซูอี้ถาม “เจ้ารู้จักหรือไม่?”
เย่ซุ่นส่ายหน้า
“หากข้าเข้าใจไม่ผิด พวกเขาล้วนแต่เป็นสมาชิกเผ่าปีศาจงูของเจ้า”
ซูอี้กล่าว
สิ่งที่บันทึกอยู่ในม้วนหยกเป็นภาพของชายร่างผอม ชายวัยกลางคนในชุดนักรบ และชายหนุ่มที่สวมชุดม่วง
เย่ซุ่นผงะ รู้ตนแล้วว่ามีบางสิ่งผิดแปลก และกล่าวพลางขมวดคิ้ว “พี่เขย เกิดอันใดขึ้นกับพวกเขาหรือ?”
ซูอี้ครุ่นคิดเล็กน้อย และไม่เก็บงำอีกต่อไป
เมืองมืดเกิดจลาจล!
เส้นทางหยินหยางเสียหายหนัก!
จักรพรรดิวิญญาณหยาดสวรรค์เย่อวี๋ถูกคุมขัง!
ทั้งยังเกิดความโกลาหลขึ้นภายในเผ่าปีศาจงู!
เมื่อรู้เช่นนี้ เย่ซุ่นก็ดูมืดมนยากคาดเดาความคิด เขาตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหาแล้ว
ชั่วขณะถัดมา
เย่ซุ่นผ่อนลมหายใจยาว ขณะพึมพำว่า “ข้าก็คิดว่าเกิดเรื่องร้ายแรงอันใด ที่แท้ก็แค่นี้”
ซูอี้อดถามไม่ได้ “เจ้าไม่กังวลหรือ?”
เย่ซุ่นกล่าวยิ้ม ๆ “ครานี้มีพี่เขยอยู่ ข้าไม่จำเป็นต้องกังวลเลย”
กล่าวจบ เขาก็ดูราวยกภูเขาออกจากอก สีหน้าของเขาดูผ่อนคลาย
ซูอี้ “???”
เจ้านี่นับเขาเป็นพี่เขยจริง ๆ หรือ?
เย่ซุ่นตบอกตะโกน “พี่เขยว่ามาเถอะ ว่าท่านอยากให้ข้าร่วมมือเช่นไร?”
มุมปากซูอี้กระตุกเล็กน้อย เย่ซุ่นนี่สมกับวลี ‘ฉวยโอกาสเสนอความเห็นตน’ โดยแท้
ทว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดก็ไม่เลว
เมื่อเห็นเผ่าปีศาจงูเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ แค่เห็นแก่หน้าเย่น้อย เขาก็จะไม่นิ่งดูดายอยู่แล้ว
“เมื่อเราไปดูสถานการณ์ของเผ่าปีศาจงูของเจ้าที่เมืองเทียนหยาก่อนเถอะ”
ซูอี้ครุ่นคิด “สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องดูว่าลุงเย่หนานเจิงของเจ้ายังอยู่หรือไม่”
เย่ซุ่นตอบโดยไร้ลังเล “พี่เขย เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเถอะ!”
เมื่อหลายหมื่นปีก่อน เขาคือสมาชิกสายตรงของตระกูลเย่ และหากจะสอบถามเกี่ยวกับข่าวคราวในตระกูลบางอย่างย่อมเป็นเรื่องง่าย
ซูอี้กล่าวกับเขาว่า “นี่ไม่ใช่เมื่อสามหมื่นปีก่อน และเจ้าก็ไม่ใช่จักรพรรดิผีหมิงหลัวผู้เคยแปรเมฆเรียกฝนในมหาทวีปคังชิงแล้ว ด้วยการฝึกฝนยามนี้ของเจ้า เชื่อหรือไม่ว่าขอเพียงเผยตน เจ้าจะถูกเขาฆ่าเอา?”
สีหน้าของเย่ซุ่นยากประเมินอยู่ชั่วขณะ
เมื่อสามหมื่นปีก่อน เขาก่อศึกกับพัศดีจนเกือบตาย และเหลือเพียงเศษเสี้ยววิญญาณ
ในช่วงปีที่ผ่านมา เขาระหกระเหินไปทั่วโลกา
จนกระทั่งเมื่อปีก่อน ด้วยความช่วยเหลือของซูอี้ เขาก็ได้พบ ‘ซาก’ ของตนเองใน ‘เมืองผีหลิงหลง’ ณ มหาทวีปคังชิง จากนั้นเมื่อหล่อหลอมพลังต้นกำเนิดซึ่งหลงเหลือในร่างเต๋า ในที่สุดก็สร้างร่างใหม่ให้ตนได้
แต่ถึงอย่างไร เวลาฟื้นตัวก็กระชั้นเกินไป
แม้ว่าเขาจะได้ดูดซับพลังต้นกำเนิดแห่งมหาทวีปคังชิง และฝึกฝนอยู่ใน ‘เมล็ดพันธุ์แห่งคังชิง’ มาปีกว่าก็ตาม แต่ระดับฝึกฝน ณ ยามนี้ของเขาก็ต่ำเตี้ยกว่าหนึ่งในพันส่วนเมื่อเทียบกับยามสมบูรณ์พร้อม และอย่างมากเขาก็พอจะรบกับตัวตนในวิถีวิญญาณได้อย่างสูสีเท่านั้น
นอกจากนั้น โลกหล้าในสามหมื่นปียังเปลี่ยนแปรไม่เหลือหลอ จึงไม่อาจทราบได้ว่าเผ่าปีศาจงูกลายเป็นเช่นไรไปแล้ว
ที่ยิ่งกว่านั้นคือ เผ่าปีศาจงูทุกวันนี้ก็ยังอยู่ในระหว่างจลาจล
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากเขาเปิดเผยตัวตน การก่อเหตุรบกวนอันเกินคาดเดาก็แสนง่ายจริงแท้!
ครู่ต่อมา เย่ซุ่นก็กัดฟันพูดอย่างโหดเหี้ยม “มีพี่เขยอยู่ ข้าจะกลัวอันใด?”
ซูอี้ “…”
เขาอดนวดหว่างคิ้วไม่ได้ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจขังเย่ซุ่นไว้ชั่วคราวก่อน และรอหาจังหวะเหมาะอีกครั้ง เมื่อถึงเวลา เขาก็จะส่งเย่ซุ่นไปทำงาน
หาไม่ ด้วยนิสัยอย่างเจ้าเด็กนี่ เขาจะก่อเรื่องมากมายเป็นแน่!
“พี่เขย ท่าน… ไหงมองข้าเช่นนี้ล่ะ?”
เย่ซุ่นพบว่าซูอี้กำลังจ้องมา ทำให้รู้สึกลุกลี้ลุกลนไปชั่วขณะ
ซูอี้ตอบ “หากเจ้าพูดมากไป เจ้าจะแพ้ภัยตัวเอง สร้างหายนะขึ้นจากปาก เข้าใจหรือไม่?”
เย่ซุ่นเข้าใจทันทีว่าสถานการณ์ย่ำแย่แล้ว เขาจึงรีบตะโกน “พี่เขย ข้าเปล่านะ เฮ้ พี่เขย อย่าลงมือสิ ข้า…”
พูดยังไม่ทันจบ เขาก็ถูกซูอี้ซัดจนสลบและโยนเขากลับเข้าไปในเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงอีกครั้ง
โลกหล้าพลันเงียบกริบ
ซูอี้ถอนหายใจยาวและเริ่มฝึกฝน
การฝึกฝนปัจจุบันของเขาอยู่ในขอบเขตวงล้อวิญญาณขั้นต้น และการควบคุมแก่นแท้ ‘เอกกะ’ ของเขายังเป็นเพียงผิวเผิน
ยังมีเส้นทางอีกยาวไกลที่ต้องเดิน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นจักรพรรดิ
ทว่าซูอี้ไม่ได้รีบร้อน
นับแต่เขาฟื้นความทรงจำในอดีตชาติ กาลเวลาก็เพิ่งผ่านไปเพียงปีกว่า
จากวิธียุทธ์ขั้นขัดเกลากระดูก เลื่อนสู่ขอบเขตวงล้อวิญญาณในปัจจุบัน ความเร็วของมันน่าตกใจมากแล้ว!
…
กลางดึก
บนชั้นสามในหอหนึ่งของเรือล่องสำราญหอเมฆา
“ใต้เท้า ข้าตรวจสอบแล้ว และพบว่าที่นี่มีผู้ฝึกตนทั้งหมดร้อยเก้าคน และมีตัวตนซึ่งมาถึงขอบเขตวงล้อวิญญาณราว ๆ ยี่สิบเห็นจะได้ ยังไม่รวมว่าอาจมีคนบางผู้ปิดบังระดับฝึกฝนของตน แต่คงมีไม่มากขอรับ”
แสงสว่างสาดส่อง ถูยง ชายวัยกลางคนในชุดนักรบเหน็บดาบยาวในฝักกล่าวเร็ว ๆ กับชายร่างผอมท่าทางขี้โรค “ยังมีอีกกว่าสามสิบคนที่เป็นคนธรรมดาขอรับ”
“คนธรรมดารึ?”
ชายคนนั้นอดแปลกใจไม่ได้
“ขอรับ พวกเขาทุกคนเป็นเด็ก ผู้ที่โตหน่อยก็อายุเพียงสิบสองสิบสาม ส่วนเด็กหน่อยก็ห้าหกขวบปี พวกเขาคือเมล็ดพันธุ์ที่สำนักนาม ‘สำนักวิญญาณยมโลก’ ฝึกฝนขอรับ”
ถูยงกล่าวอย่างจริงจัง “ข้าตรวจสอบพวกเขาแต่ละคนแล้ว เด็กเหล่านี้ไร้สิ่งใดผิดปกติขอรับ”
ชายร่างผอมพยักหน้า
เขาพอจำได้ว่าสำนักวิญญาณยมโลกเป็นขุมกำลังผู้ฝึกตนอันไม่เป็นที่นิยมในเขตจัตุรัสผี ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล
ถูยงกล่าวอย่างลังเล “ใต้เท้า ข้ายังคิดว่าเจ้าหนุ่มชุดเขียวที่เราเห็นยามขึ้นเรือน่าจะมีปัญหานะขอรับ”
ชายร่างผอมตกใจ พลางกล่าวว่า “เจ้าพบบางอย่างหรือ?”
ถูยงส่ายหน้า “เป็นเพียงสังหรณ์ของผู้น้อยขอรับ”
ชายร่างผอมหัวเราะกล่าว “หากเขาเป็นศัตรูเราจริง เจ้าคิดว่าเขาจะให้เราพบตัวเขาอย่างโจ่งแจ้งหรือ?”
“นี่…”
ถูยงอดเงียบเสียงไปไม่ได้ เพราะนี่คือเรื่องที่เขาไม่เข้าใจเช่นกัน
“ทว่า ก็ไม่แย่หากจะระวังไว้หน่อย”
ชายร่างผอมคิดชั่วขณะหนึ่ง และกล่าวว่า “การกระทำต่อจากนี้ก็ระวังด้วย”
ถูยงพยักหน้ารับ
“แล้วก็…”
ชายร่างผอมเงยหน้าขึ้นมองถูยง “หากเกิดอันใดขึ้นระหว่างทาง เจ้าก็ใช้ยันต์ลับนั่นหนีไปกับป๋อเหิงเสีย”
ป๋อเหิงผู้มีนามเต็มว่าเย่ป๋อเหิงคือชายหนุ่มชุดม่วง
สีหน้าของถูยงเปลี่ยนแปรเล็กน้อย และกล่าวว่า “ใต้เท้า หน้าที่ของผู้น้อย…”
ชายร่างผอมเอ่ยชัด “นี่คือคำสั่ง”
เขาหัวเราะกล่าวว่า “นี่ก็แค่การเตรียมการเผื่อสถานการณ์แย่ที่สุด ข้าหวังว่า… ระหว่างทางจะไม่เกิดอันใดขึ้น”
…
สามวันจากนั้น
เรือล่องสำราญหอเมฆาจอดพักอยู่นอกเมือง ‘เจี๋ยวฉื่อ’ เป็นเวลาครึ่งชั่วยาม
คนโดยสารผันเปลี่ยนขึ้นลง
หลังจากนั้น เรือก็ออกเดินทาง ทะยานไปไกลท่ามกลางราตรีอีกครั้ง
บนแท่นชมวิวขนาดยักษ์ ณ ดาดฟ้าเรือล่องสำราญ
ซูอี้ยืนมองท้องฟ้าราตรี สองมือไพล่หลัง
จันทร์เพ็ญสีเงินลอยเด่นเหนือนภา ส่องประกายสีเงินจาง ๆ
ไม่ไกลนัก กลุ่มเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังหยอกล้อและเล่นกันอยู่ พวกเขามีกันราวสิบคน ทั้งชายและหญิง ผู้ที่โตที่สุดอายุเพียงสิบปีเศษ ในขณะที่เด็กสุดอายุเพียงห้าหกขวบปี เป็นช่วงวัยอันใสซื่อไร้เดียงสา
ชายชราผมขาวในชุดดำยืนอยู่ตรงหน้าราวกันตก ในมือถือถุงยาสูบ พ่นควันออกจากปากพลางอารักขาเด็ก ๆ เหล่านี้เงียบ ๆ
ไกลออกไปในมุมมืด มีคู่ชายหนุ่มหญิงสาวลอบพูดคุยกันอยู่
ชายหนุ่มสวมอาภรณ์สีม่วง คิ้วพาดเฉียงดุจดาบ และดวงตาพร่างประกาย
ซูอี้จำได้แม่นยำว่าชายหนุ่มผู้นี้ขึ้นเรือมากับชายร่างผอมและชายวัยกลางคนในชุดนักรบ
หญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีดำ ผิวขาวกว่าหิมะ งดงามตรึงใจ
สิ่งนี้เรียกความสนใจของซูอี้
หากเขาจำไม่ผิด สตรีในชุดกระโปรงสีดำผู้นี้เพิ่งขึ้นเรือมาวันนี้จาก ‘เมืองเจี๋ยวฉื่อ’
ยามนี้ ชายหนุ่มชุดม่วงและสตรีในชุดกระโปรงสีดำเหมือนไม่อยากให้ผู้ใดพบเห็น พวกเขาจึงซุกซ่อนในมุมมืดและใช้การส่งกระแสเสียงปราณสนทนากัน
ไม่รู้ว่าพวกเขาคุยเรื่องใดกัน ชายหนุ่มก็ขมวดคิ้ว สีหน้ากังวลปรากฏบนใบหน้า
เห็นได้ชัดว่าสตรีผู้นั้นกำลังปลอบเขาอยู่
ไม่นานนัก ชายหนุ่มชุดม่วงก็ถอนหายใจและหันหลังจากจร
สตรีในชุดกระโปรงสีดำอยู่ต่อครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินออกจากหลืบมืดไกล ๆ
นางมองไปยังเหล่าเด็กชายหญิงที่กำลังเล่นสนุก และอดยกยิ้มไม่ได้
“พี่สาว พี่ดูสวยจังเลย”
เด็กหญิงผมเปียตัวน้อยอายุราว ๆ หกเจ็ดขวบปีเงยหน้าขึ้นกล่าวชม
สตรีในชุดกระโปรงสีดำยิ้มพลางลูบแก้มของเด็กหญิง “แม่หนูน้อยช่างปากหวาน”
ทันใดนั้น นางก็เงยหน้าขึ้นมองซูอี้ผู้ยืนอยู่ไม่ไกลนัก นางเข้าไปยืนอยู่ห่างออกไปสองสามจั้ง ผลักเรือนผมดำข้างหูของตนเบา ๆ พลางพึมพำ “จันทราคืนนี้งดงามโดยแท้”
ไม่ไกลนัก ซูอี้ดูจะทำหูทวนลม ไม่ได้สนใจนาง
สตรีในชุดกระโปรงสีดำยิ้มอย่างมิชอบใจ วางแขนพักอย่างเกียจคร้านที่ราวกันตกข้างหนึ่ง และหันมองใบหน้าด้านข้างของซูอี้พลางกล่าวเบา ๆ “คุณชาย นับแต่ที่ข้าขึ้นเรือล่องสำราญมาวันนี้ ก็รู้สึกแปลก ๆ มาโดยตลอด อยากรู้หรือไม่ว่าคือสิ่งใด?”
ซูอี้ตอบ “ไม่”
สตรีในชุดกระโปรงสีดำ “…”
ทันใดนั้นนางก็ระเบิดหัวเราะออกมา
“คุณชายกำลังประหม่าอยู่หรือ? อย่ากลัวเลย แค่คุยเล่นกัน ข้าไม่กินเจ้าหรอก”
สตรีในชุดกระโปรงสีดำกล่าวยิ้ม ๆ
ซูอี้ยังคงมองท้องฟ้ารัตติกาลไกลออกไปโดยเมินเฉยต่อนาง
ท่าทีเย็นชาเมินเฉยนี้ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของสตรีในชุดกระโปรงสีดำเลือนหาย คู่คิ้วดุจกิ่งหลิวของนางขมวดน้อย ๆ
…………………………………………………………..