บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 867: เจตนา
ตอนที่ 867: เจตนา
สตรีในชุดกระโปรงสีดำจ้องซูอี้อยู่ชั่วขณะ จากนั้นจึงกล่าวเบา ๆ “เจ้ากลัว หรือไม่อยากพบข้ากันแน่?”
ซูอี้ละสายตาจากท้องฟ้าราตรีไกลออกไปมาพูดอย่างเฉยเมย “หากเกิดหายนะขึ้นระหว่างทาง ข้ารับปากเลยว่าเจ้าตายอนาถแน่”
ม่านตางามของสตรีนางนั้นพลันหดตัวราวตกใจกับวาจากะทันหันนี้
ครู่ต่อมา นางก็ขมวดคิ้วถาม “คุณชาย… นี่หมายความเช่นไรหรือ?”
ซูอี้หยิบไหสุราออกมาดื่ม พลางกล่าวอย่างเฉยเมย “เดาเอาเองสิ”
ใบหน้าหยกของสตรีในชุดกระโปรงสีดำยากคาดเดาไปชั่วขณะ
ทันใดนั้น นางก็เก็บสองแขนบนราวกันตก ยืดตัวตรง ริมฝีปากสีกุหลาบยกยิ้มหวาน “ได้ ข้าจะรอดู”
ก่อนที่ร่างของนางจะเดินหายลับไป
ซูอี้เองก็หันหลังกลับ
ทว่า ขณะที่เขาเดินผ่านเด็กหญิงผมเปีย เขาก็นั่งย่อตัวลงตบไหล่ของเด็กหญิง
“พี่ชายมีอันใดหรือเจ้าคะ?”
เด็กหญิงเงยหน้าถามอย่างงุนงง
“แม่หนู จำไว้นะว่าภายหน้าอย่าทักคนแปลกหน้าก่อน”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ
เด็กหญิงยืนชะงักอยู่ที่เดิม
ในขณะที่ซูอี้เดินจากไปแล้ว
ในมือของเขาปรากฏเส้นไหมสีเขียวจาง ๆ
เด็กหญิงตัวน้อยหารู้ไม่ว่าสตรีในชุดกระโปรงสีดำที่ตนเอ่ยชมว่า ‘สวย’ นั้นได้วาง ‘ยาสั่งสะกดวิญญาณ’ ในร่างของนางขณะที่ลูบแก้มของนางเบา ๆ
ยาสั่งประเภทนี้จะเปลี่ยนเป็นโซ่ตรวนพันธนาการจิตวิญญาณอย่างเงียบงัน และเพียงแค่คิด ผู้ที่ใช้มันก็สามารถกระชากวิญญาณของอีกฝ่ายได้อย่างแสนง่าย
เป็นศาสตร์อันชั่วร้ายโหดเหี้ยมที่สุด!!
‘ตัวตนในวิถีมารมาพัวพันกับทายาทเผ่าปีศาจงูต้องมีแผนอื่นเป็นแน่ หากให้คาดเดา หายนะที่เผ่าปีศาจงูเผชิญอยู่ในยามนี้คงร้ายกาจกว่าที่ข้าจินตนาการถึง’
ซูอี้คิดในใจ
เส้นไหมสีเขียวจาง ๆ ในมือของเขาดิ้นรนอย่างต่อเนื่อง ทว่ามันก็ไร้ผลและถูกกำราบกับที่อย่างแน่นหนา
ไม่นานนักหลังซูอี้จากไป ชายชราผมสีขาวในชุดดำผู้อารักขาเด็ก ๆ อยู่ก็ก้าวเข้ามาหาเด็กหญิงผมเปีย กล่าวกับนางเสียงเบาว่า “เยว่หรง เมื่อครู่นี้ คน ๆ นั้นบอกอันใดกับเจ้าหรือ?”
เด็กหญิงผมเปียกล่าวเสียงใส “พี่ชายบอกว่าไม่ให้ข้าทักคนแปลกหน้าก่อนเจ้าค่ะ”
ชายชราผมขาวในชุดดำผงะไป ก่อนจะกล่าวว่า “ไม่มีอันใดเพิ่มเติมแล้วหรือ?”
เด็กหญิงผมเปียส่ายหน้า
“แล้วมีสิ่งใดผิดแปลกกับสตรีชุดดำเมื่อครู่หรือ?”
ชายชราผมขาวชุดดำครุ่นคิดอยู่นานแต่ก็คิดไม่ออก เขาจึงเลิกคิดเรื่องนี้ไป
…
ภายในห้องพัก
ซูอี้กำลังทำสมาธิในห้อง
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ท่านผู้พักแรม มีผู้ขอให้ผู้น้อยนำจดหมายมาส่งขอรับ”
ซูอี้ลืมตาขึ้น เลิกคิ้วเล็กน้อย “เข้ามาสิ”
เขายกมือขึ้นปลดค่ายกลในห้อง
ในหอทั้งหมดในเรือล่องสำราญหอเมฆานี้ต่างถูกปกคลุมด้วยค่ายกล
ประตูเปิดออก และชายหนุ่มซึ่งดูเหมือนคนรับใช้ส่งจดหมายให้เขาอย่างนอบน้อมด้วยสองมือ
ซูอี้เปิดอ่านจดหมาย
ตู้ม!
จู่ ๆ หมอกโสมมสีดำก็ระเบิดออกมาจากในจดหมาย แปรเปลี่ยนเป็นหัวกะโหลกมายาเข้าโจมตี
เนื่องจากความกระชั้นของระยะทาง ร่างของซูอี้จึงถูกหมอกโสมมสีดำปกคลุมทันที
ร่างของชายหนุ่มผู้แต่เดิมดูธรรมดาเหมือนเด็กรับใช้พลันเปลี่ยนแปรเป็นชายหนุ่มร่างกำยำผู้มีใบหน้าโหดเหี้ยม
บนหน้าผากของเขามีรอยสักประหลาดสีเลือด
“ก็สงสัยอยู่ว่าจะเป็นตัวตนร้ายกาจอันใด ที่แท้ก็แค่นี้ เสียยันต์ลับที่ข้าอุตส่าห์ถนอมมาตั้งหลายปีไปเปล่า ๆ แท้!”
ในสายตาของเขา ร่างของซูอี้ถูกหมอกโสมมปกคลุมโดยสมบูรณ์ และสายหมอกดำสนิทก็ทะลวงเข้าสู่ร่างของซูอี้ดุจอสรพิษ
นี่คือ ‘คำสาปหมอกมารกลืนฤทัย’ อันโหดเหี้ยมอำมหิต ในกรณีลอบโจมตี มันจะสามารถทำให้ตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณบาดเจ็บอย่างหนักหน่วงได้!
“สตรีผู้นั้นส่งเจ้ามาหรือ?”
เสียงเฉยเมยเสียงหนึ่งดังขึ้น ร่างของชายกำยำชะงักนิ่ง และฟาดแขนชกเข้าใส่อย่างแรงโดยไม่หันมอง
แขนอันแข็งแกร่งเยี่ยงศิลาระเบิดลำแสงลี้ลับสีดำเป็นวงล้อมรอบกำปั้น อำนาจที่เผยออกในพริบตาดุร้ายและรุนแรงยิ่ง
ทว่าหมัดที่สามารถสังหารตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณได้นั้นกลับถูกมือใหญ่สีขาวข้างหนึ่งจับไว้ได้ อำนาจทำลายล้างของกำปั้นดุจหุบเขาพุ่งชนหายลับไปดุจโคลนบนร่างวัวสลายไปกับสายนที
ชายร่างกำยำตกตะลึง
ยามนี้เอง เขาจึงเห็นชัดเจนว่าชายหนุ่มชุดเขียวซึ่งถูกปกคลุมโดย ‘คำสาปหมอกมารกลืนฤทัย’ ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าเฉยเมย ดวงตาลึกล้ำ ไร้รอยขีดข่วน
เป๊าะ!
เสียงกระดูกแตกดังกังวาน
ชายร่างกำยำถูกอำนาจมหาศาลกดตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้น ทำให้พื้นอันสร้างจากเหล็กดำบังเกิดเสียงสั่นทึบ ๆ
ชายร่างกำยำกรีดร้อง หน้าผากของเขาชุ่มเหงื่อ สีหน้าตื่นกลัว ก่อนจะกล่าวขึ้น “ขอสหายเมตตาด้วย!”
ซูอี้นั่งกับที่ ใช้มือเท้าคางและอีกมือถือไหสุรา กล่าวเฉยเมยว่า “ไฉนคนจากเผ่าปีศาจงูจึงมาทำบางอย่างกับข้า?”
สีหน้าของชายร่างกำยำแปรเปลี่ยน เขาแก้ตัว “นี่เป็นการเข้าใจผิดโดยแท้…”
ก่อนเขาจะทันพูดจบ ซูอี้ก็ขยับปลายนิ้วน้อย ๆ
ปราณดาบสายหนึ่งปะทุขึ้น แขนขวาของชายร่างกำยำถูกสะบั้น รอยขาดนั้นราบเรียบประณีต โลหิตหลั่งไหลเป็นน้ำพุ
ใบหน้าของชายคนนั้นบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ร่างทั้งร่างสะท้านสั่นดุจใบไม้
“ข้าไม่ชอบฟังคำเพ้อเจ้อ”
ซูอี้กล่าว
ชายคนนั้นมองชายหนุ่มด้วยแววตาเจือความกลัว และกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ไม่ปิดบังสหาย คืนนี้ข้าถูกสั่งให้ลงมือกับท่าน ข้า… ข้าก็ไม่รู้เหตุผลแน่ชัด”
“ใครคือผู้สั่ง?”
“คำสั่งจากสตรีศักดิ์สิทธิ์เผ่าข้า”
“เจ้ามาจากเผ่าใด?”
“นี่…” ชายร่างกำยำลังเล
ฉัวะ!
โลหิตกระเซ็นสาด แขนซ้ายของชายร่างกำยำถูกสะบั้นขาด ส่งให้เกิดเสียงร้องในลำคอของเขา ใบหน้าซีดขาว
ดวงตาของซูอี้เฉยเมย “พูดมา”
ชายร่างกำยำหอบหายใจ ก่อนที่ในแววตาจะฉายประกายดุร้าย “พูดก็ตาย ไม่พูดก็ตาย หากเป็นเช่นนี้ ไฉนต้องยอมลง?”
ทันทีที่กล่าววาจา ลวดลายสีเลือดที่หน้าผากของชายร่างกำยำพลันเลื้อยกระเพื่อมอย่างบ้าคลั่ง ดูดกลืนวิญญาณของเขาไปทั้งหมด
เสียงยังไม่ทันสลายหาย ร่างกำยำของเขาก็พลันแห้งเหี่ยวกลายเป็นศพเน่าไร้ชีวิต
ลวดลายสีเลือดซึ่งเดิมตราอยู่บนหน้าผากของบุรุษผู้นั้นแปรเปลี่ยนเป็นบุปผาปีศาจสีเลือดประหลาดตา กลีบของมันสร้างจากนิ้วสีเลือดสามสิบหกนิ้ว และที่เกสรเป็นดวงเนตรอันมีม่านตาเรียวแหลมที่เย็นชาประหลาดหนึ่งดวง
ตู้ม!
บุปผาปีศาจสีเลือดเบ่งบาน กลีบนิ้วสีเลือดทั้งสามสิบหกขยับไหวเป็นภาพแปลกตา และพลันชี้เข้าใส่ซูอี้
“ตราประทับบงกชเนตรปีศาจ เป็นตัวตนจากเผ่าไก่ฟ้าโลหิตจริง ๆ ด้วย”
ซูอี้ลอบกล่าว
เขานั่งครุ่นคิดพลางโบกมือ
ปราณดาบสีทองสายหนึ่งอันเต็มไปด้วยแก่นแท้วิถีเอกกะพลันปรากฏ
ตู้ม!
ตราประทับอันสร้างจากบุปผาปีศาจสีเลือดถูกฉีกกระชากสลายไปดุจสายฝน
ด้วยหนึ่งการขยับนิ้วของซูอี้
ร่างอันแห้งเหี่ยวของชายร่างกำยำก็แปรเปลี่ยนเป็นธุลีสลายหายไปในพริบตา
เหลือเพียงสมบัติบางชิ้นบนพื้น
ซูอี้พินิจมองเล็กน้อย และพลันสิ้นความสนใจ
สมบัติเหล่านี้อาจจะดีในวิถีวิญญาณ ทว่ามันอยู่นอกสายตาเขาไปนานแล้ว
จากนั้น ซูอี้ก็ทำราวไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น จากนั้นเขาก็เปิดค่ายกลในห้องและทำสมาธิต่อ
…
เช้าถัดมา
หลังซูอี้ตื่นนอน เขาก็ตรงไปยังชั้นดาดฟ้าของเรือล่องสำราญ
ทานอาหารเช้าร้อน ๆ ในห้องอาหารก่อน แล้วจึงมายังแท่นชมวิว
ท้องนภาจรัสแสง หมู่เมฆเคลื่อนคล้อย
เรือล่องสำราญพลิ้วไปในหมู่เมฆ ละล่องลอยใต้นภา มองปราดแรกธารเมฆหมอกนั้นดูราวตัวหมากอันกระจัดกระจายแต่งแต้มผืนพิภพกว้างใหญ่
เหล่าเด็กน้อยเมื่อคืนก็ยังเล่นซน
ชายชราผมขาวในชุดดำยืนเงียบ ๆ อยู่ไม่ไกล
เมื่อเห็นซูอี้ปรากฏกาย ชายชราผมขาวในชุดดำก็ลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะก้าวออกมากระซิบ “ตาเฒ่าผู้นี้มีนามว่าเซี่ยขุยจวี่ ผู้อาวุโสแห่งสำนักวิญญาณยมโลก ขอบังอาจถามชื่อใต้เท้าได้หรือไม่?”
ซูอี้หันไปกล่าวกับเขาว่า “ไม่จำเป็นต้องถามไถ่นาม กล่าวสิ่งที่ต้องการมาตรง ๆ เลยเถิด”
เซี่ยขุยจวี่ยิ้มอย่างละอายเล็กน้อยพลางมองเด็กหญิงผมเปียที่อยู่ไม่ไกล ก่อนจะกล่าวว่า “แม่หนูเยว่หรงผู้นั้นเกิดมาเป็นผู้ฝึกตน พ่อแม่ตายแต่เล็ก ยามเมื่อข้าพบนาง นางกำลังติดตามขอทานไปขอเศษเงิน น่าสงสารจริงแท้”
ซูอี้ส่งเสียงรับอย่างไม่ใส่ใจ พลางกล่าวว่า “วางใจเถอะ ข้าไม่แย่งศิษย์สำนักวิญญาณยมโลกของเจ้าหรอก”
เซี่ยขุยจวี่ดูโล่งใจ ประคองกำปั้นกล่าว “ขอบคุณมาก”
ยามนี้ เด็กหญิงผมเปียพลันเข้ามาหาพร้อมผลพุทราเขียวในมือน้อย ๆ ยกมันขึ้นตรงหน้าซูอี้และกล่าวเจื้อยแจ้ว “พี่ชาย ข้าให้”
ซูอี้ถามอย่างแปลกใจ “ไฉนจึงให้ข้าเล่า?”
เด็กหญิงกล่าวเสียงใส “ข้าจำที่พี่ชายบอกข้าเมื่อคืนได้ รู้ว่าพี่ชายเป็นห่วงข้า ดังนั้นข้าย่อมอยากตอบแทนพี่ชาย”
ซูอี้ชะงักอึ้ง
เขามองผลพุทราเขียวในมือเด็กหญิง มันหาได้ทั่วไป แต่ก็สะอาดมาก เปลือกบางฉ่ำเนื้อ
“แม่หนู มีแต่เด็กเท่านั้นแหละที่กินพุทราเขียวนี่”
เซี่ยขุยจวี่กระแอมแห้ง ๆ “รีบเก็บมันไปเสียสิ”
ซูอี้เอื้อมมือออกไปรับมันมา พลางกล่าวเบา ๆ “เจตนามีค่าสูงสุด ข้าจะรักษามันอย่างดี”
เขากล่าวพลางลูบศีรษะของเด็กหญิงผมเปีย
“พี่ชายแตกต่างจากคนอื่นจริง ๆ ตอนข้าให้พุทราเขียวนี่กับคนอื่นเมื่อกาลก่อน ไม่เห็นมีใครชอบมันเลย”
เด็กหญิงผมเปียยิ้มอย่างเป็นสุข ดวงตาทอประกาย
“เพราะพวกเขาไม่เข้าใจเจตนาของเจ้าไง”
ซูอี้กล่าวอย่างอบอุ่น
ในขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น ร่างอรชรร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นไกล ๆ นางสวมชุดกระโปรงสีดำและมีผิวพรรณขาวเนียนยิ่งกว่าหิมะ
นางคือสตรีในชุดกระโปรงสีดำที่เขาเห็นเมื่อคืน
นางมองเด็กหญิงผมเปียก่อน แล้วจึงหันไปกล่าวกับซูอี้ด้วยรอยยิ้มหวาน “คุณชาย ข้าคิดว่าเราควรคุยกันดี ๆ เพื่อเลี่ยงความเข้าใจผิดและปัญหายุ่งยากไม่พึงประสงค์นะ”
ซูอี้อดแปลกใจน้อย ๆ ไม่ได้ เขามิคาดว่านางจะยังกล้าพอมาปรากฏตัวตรงหน้าเขาอีก
หลังจากคิดสักครู่ เขาก็กล่าวตอบ “ข้าจะพูดอันใดได้อีก เหมือนเช่นที่บอกเมื่อคืน หากเจ้าอยากตายก็ทำต่อไป”
วาจาของเขาเย็นชาไม่ไว้หน้าใคร
รอยยิ้มบนใบหน้างามของสตรีในชุดกระโปรงสีดำหายไป ตาคู่งามวาวโรจน์อย่างเย็นชา
บรรยากาศกดดันโรยตัวอย่างเงียบ ๆ
เซี่ยขุยจวี่ร่างแข็งทื่ออย่างหวาดกลัว
มีเพียงเหล่าเด็กชายหญิงซึ่งเล่นกันอย่างไม่รู้เรื่องราว เสียงหัวเราะร่าเริงดังไม่ขาดสาย
…………………………………………………………..