บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 868: สามชั่วดีดนิ้ว
ตอนที่ 868: สามชั่วดีดนิ้ว
ภายในร้านน้ำชาที่อยู่ชั้นบนสุดของเรือล่องสำราญหอเมฆา
จากข้างหน้าต่างจะสามารถมองเห็นภาพที่เกิดขึ้นบนแท่นชมวิวในระยะไกลได้อย่างชัดเจน
“สตรีชุดดำผู้นั้นเป็นใคร?”
ชายร่างผอมกระซิบ
เนื่องจากยังคงเช้าตรู่ จึงยังไม่มีลูกค้าในร้านน้ำชามากนัก
นอกจากชายร่างผอม ยังมีถูยง เย่ป๋อเหิงและเจ้าของร้านน้ำชา คนรับใช้หนึ่งคน และแขกที่กระจายกันอยู่อีกสามคน
“สตรีนางนั้นขึ้นเรือมาเมื่อวาน ปราณของนางไม่แน่ชัด น่าจะปกปิดโดยใช้สมบัติลับขอรับ มีคนอีกสี่คนที่ขึ้นเรือมากับนาง พวกเขาอยู่แต่ในห้องและไม่เคยปรากฏตัวเลย”
ถูยงมองไปทางคนอื่น ๆ ในร้านน้ำชาพลางส่งกระแสเสียงปราณถึงชายร่างผอมและเย่ป๋อเหิง
เปลือกตาของเย่ป๋อเหิงกระตุกและยังคงเงียบงัน
ชายร่างผอมขมวดคิ้วกล่าว “ชายหนุ่มชุดเขียวคนนั้นขึ้นเรือเมื่อสามวันก่อนเหมือนเรา ส่วนสตรีผู้นั้นขึ้นเรือมาเมื่อวาน แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะรู้จักกันอยู่นานแล้วนะ”
ถูยงพยักหน้า “ยามนี้ข้ากล้าสรุปแล้วว่าชายหญิงคู่นี้มีบางอย่างผิดแปลก และอาจจะเป็นกลุ่มเดียวกันขอรับ”
เย่ป๋อเหิงดูพิกลเล็กน้อย ลังเลเหมือนจะพูดบางอย่าง
“หวังว่าคงไม่ได้มาเล่นงานเรานะ”
ชายร่างผอมกระซิบ
ขณะนี้เอง เย่ป๋อเหิงอดกล่าวไม่ได้ว่า “ท่านพ่อ เรา… ไฉนเราต้องนำสมบัตินั่นกลับเมืองเทียนหยาด้วยเล่า? เราก็แค่ตระกูลสาขาหนึ่งในเผ่าปีศาจงู แยกจากสายตระกูลหลักมานานแล้วนี่”
“ยามนี้สายตระกูลหลักเกิดการเปลี่ยนแปลงมหันต์ สถานการณ์ไม่ดี ชาวเผ่าจากตระกูลสาขาต่างประกาศชัดว่าอยากเลือกผู้นำเผ่าใหม่ และยังส่งจดหมายมาถึงเรา หวังไม่ให้เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่ท่าน… ไฉนจึงยังทำเช่นนี้เล่า?”
ชายหนุ่มงุนงงและดูจะไม่พอใจเล็กน้อย
ชายร่างผอมเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตอบว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับสายตระกูลหลักก็เหมือนกิ่งก้านบนต้นไม้ใหญ่ หากกิ่งใหญ่เปลี่ยนแปร กิ่งฝอยจะไม่ได้รับผลกระทบได้เช่นไร?”
“นี่แหละที่เขาว่าหากไร้หนัง เส้นขนจะอยู่ไม่ได้”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ชายร่างผอมก็มองผู้ที่อายุน้อยกว่า และกล่าวอย่างอบอุ่น “เจ้ายังเด็ก ย่อมเป็นธรรมดาที่จะไม่เข้าใจ”
หลังจากชะงักไป สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นสุขุมหนักแน่น “ในฐานะทายาทเผ่าปีศาจงู เพื่อเผ่า ข้าก็ต้องนำสมบัตินี้กลับเมืองเทียนหยาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องเลวร้ายที่สุดขึ้น!”
เย่ป๋อเหิงตะลึงอึ้ง
ครู่ต่อมา เขาพลันกัดฟันกล่าวบางอย่างแปลก ๆ ออกมา “ท่านพ่อ ไม่ว่าอย่างไร ข้าจะไม่ยอมให้เกิดอันใดขึ้นกับท่านและท่านลุงยง!”
วาจานั้นกังวานชัดเจน
ชายร่างผอมอดแย้มยิ้มอย่างตื้นตันไม่ได้ “ลูกข้า เจ้าช่างกตัญญู ข้าช่างเป็นพ่อที่มีความสุขนัก”
ทว่าถูยงรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งผิดแปลก จึงอดหันไปถามเย่ป๋อเหิงมิได้ “นายน้อย ไม่ใช่ว่าท่านปิดบังอันใดกับเราอยู่หรือ?”
เย่ป๋อเหิงหัวใจเต้นกระตุกเฉียบพลัน ทว่าในยามที่เขากำลังจะกล่าวบางอย่างนั้นเอง…
ชายร่างผอมก็กล่าวขึ้นอย่างแปลกใจ “ชายหญิงคู่นั้นดูจะขัดแย้งกันอยู่นะ!”
ทันใดนั้น เย่ป๋อเหิงและถูยงต่างหันไปมอง
บนแท่นทัศนาไกลออกไป
บรรยากาศหดหู่
สตรีในชุดกระโปรงสีดำจ้องซูอี้ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เมื่อคืนข้าถามเย่ป๋อเหิงแล้ว เขาไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร ข้าเลยคิดว่าคุณชายน่าจะแค่ผ่านทางมาโดยบังเอิญ… น้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง ทว่ายามนี้ดูเหมือนเจ้าจะ… แปลกนัก!”
ซูอี้เมินนาง เขาลูบหัวเด็กหญิงผมเปียและกล่าวกับเซี่ยขุยจวี่ “พาพวกนางไปเล่นห่าง ๆ หน่อย”
เซี่ยขุยจวี่พยักหน้า
เขาคว้าแขนของเด็กหญิงผมเปีย ก่อนจะรีบเรียกเหล่าเด็กชายหญิงที่เล่นอยู่ไม่ไกลนัก
สตรีในชุดกระโปรงสีดำไม่ได้หยุดกระบวนการแต่ต้นจนจบ และกล่าวพร้อมกับยิ้มว่า “เจ้าปล่อยพวกเขาไปไม่ได้หรอก คนที่อยู่บนเรือลำนี้จะต้องตาย”
วาจาเรียบเฉยนี้ชวนให้คนฟังตัวสั่น
ทว่าซูอี้ดูไม่ใส่ใจเรื่องนี้เลย และถามว่า “เมื่อคืนนี้ ไฉนเจ้าจึงใช้ ‘ยาสั่งสะกดวิญญาณ’ กับเด็กหญิงผู้นั้น?”
สตรีผู้นั้นตะลึงไป ก่อนจะยกยิ้ม “วิญญาณของแม่หนูผู้นั้นไม่เลว เป็นวัตถุดิบที่ดีสำหรับการหล่อหลอมวิญญาณสั่งตาย ข้าในฐานะนักล่าย่อมยินดีและไม่อยากพลาดมัน”
“อย่างไรเสีย ทุกคนบนเรือนี้ก็ต้องตายอยู่ดี และวิญญาณของนางก็ใช้เป็นวิญญาณสั่งตายได้ เท่ากับว่าข้าช่วยหนึ่งชีวิตคืนชีพ เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ?”
วิญญาณสั่งตาย!
จิตวิญญาณอันถูกหล่อหลอมโดยเคล็ดวิชาเลวร้าย มันทั้งโหดเหี้ยมและเสื่อมทรามยิ่ง
จากปากของสตรีในชุดกระโปรงสีดำ เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้มองเด็กหญิงผมเปียเป็นคน แต่เป็นวัตถุดิบ!
ท่าทีเฉยเมยนี้ทำให้ซูอี้ขมวดคิ้วน้อย ๆ จนไม่อาจมองเห็น
เขามองพุทราเขียวในมือ ก่อนจะเงยขึ้นกล่าวกับสตรีในชุดกระโปรงสีดำอย่างไร้อารมณ์ “ส่งร่างจริงเจ้ามา หาไม่ ข้าจะฆ่าเจ้าซะ”
ม่านตาของสตรีในชุดกระโปรงสีดำหดเท่ารูเข็ม ใบหน้างามของนางก็แปรเปลี่ยน
นางยกมือซ้ายขึ้นกะทันหัน
ณ ข้อมือเล็กเรียวสีขาวหิมะของนาง สายกระพรวนกะโหลกเงินขนาดราวเหรียญทองแดงพลันส่งเสียงประหลาดออกมา
มันฟังดูราวเสียงภูตผีครวญครางดังสะท้อนท้องนภาเหนือเรือล่องสำราญหอเมฆา
เกิดเสียงดังลั่นเมื่อเสียงอุทาน ตะโกน และกรีดร้องอย่างเจ็บปวดดังระงมไปทั่วเรือล่องสำราญหอเมฆา…
เรือทั้งลำมีคนมากกว่าพันคน ทว่าขณะนี้วิญญาณของพวกเขาดูราวถูกมีดปาดเลื่อยเถือ บางคนกระทั่งเลือดออกทั่วเจ็ดทวาร และร่วงลงไปบนพื้น
เซี่ยขุยจวี่พลันเรียกใช้โล่ศึกสำริด สร้างม่านแสงสีทองปกป้องเขาและเด็ก ๆ ไว้รอบกายทันที
ทว่าการโจมตีของเสียงประหลาดนั้นยังทำให้เซี่ยขุยจวี่ ผู้อาวุโสจากสำนักวิญญาณยมโลกกระอักเลือด และโล่ศึกในมือเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
ในร้านน้ำชา ชายร่างผอมและคณะของเขารับการโจมตีแรกไว้ได้ แต่พวกเขาก็ยังมีสภาพย่ำแย่มาก
รอบข้างปั่นป่วนไปในชั่วขณะนั้น
ภาพในลักษณะนี้เกิดขึ้นทั่วเรือล่องสำราญหอเมฆา คนอ่อนแอมากมายแตกสลายตายคาที่ทันทีที่ได้ยินเสียงกระพรวนอันร้ายกาจพิสดาร
และเรื่องนี้เกิดขึ้นในพริบตา
ซูอี้ขมวดคิ้วน้อย ๆ และดีดนิ้ว
ปราณดาบสีทองซีดสายหนึ่งระเบิดขึ้นสู่อากาศ
ตู้ม!
เงาร่างของสตรีในชุดกระโปรงสีดำระเบิดแปรเป็นพิรุณแสงโปรยปราย
อึดใจต่อมา นางก็ปรากฏขึ้นห่างออกไปหลายสิบจั้ง มือขวากุมข้อมือซ้ายไว้ และกระพรวนกะโหลกเงินที่นางสวมอยู่ก็แตกสลาย กระทั่งข้อมือของนางยังโหว่เป็นรูเลือดอาบย้อมตามเรียวนิ้ว
เสียงกระพรวนอันแสนน่าหวาดหวั่นก็หายไปเช่นกัน
สตรีในชุดกระโปรงสีดำหน้าเสีย สีหน้าของนางแสดงความแปลกใจ “ช่างเป็นปราณดาบที่แข็งแกร่งนัก!”
นางแน่ใจว่าหากไม่ใช้สมบัติลับหลบหลีก ร่างของนางคงไม่อาจต้านทานอำนาจดาบนี้ได้!
วูบ! วูบ!
ขณะเดียวกัน เงาร่างต่าง ๆ ก็โผล่มาจากรอบทิศในเรือล่องสำราญหอเมฆา
บ้างก็เป็นสาวใช้ในเรือ บ้างก็เป็นผู้ฝึกตนไร้สังกัดผู้เดินเตร็ดเตร่อยู่บนเรือ บ้างก็เป็นตัวตนที่ไม่ได้ปรากฏตัวนับแต่ขึ้นเรือมา
มีทั้งชายหญิง เยาว์วัยและชราภาพ แต่เมื่อพวกเขาปรากฏตัว ไม่เพียงรูปลักษณ์ของพวกเขาจะเปลี่ยนไปเท่านั้น แต่ปราณบนร่างยังแปรเปลี่ยนเป็นน่าสะพรึง
พวกเขารวมตัวกันรอบ ๆ กายสตรีในชุดกระโปรงสีดำ ทั้งยังเปี่ยมด้วยจิตสังหารแรงกล้า
ชายร่างผอมและถูยงในร้านน้ำชาต่างเปลี่ยนสีหน้า
พวกเขากระทั่งเห็นเจ้าของร้านและเด็กรับใช้ในร้านน้ำชาพุ่งออกไป กลายร่างเป็นชายไว้เคราแบกหอกไว้เบื้องหลัง และชายชราผู้หนึ่งถือแส้สีดำ!
ภาพนี้ทำให้สีหน้าของชายร่างผอมและถูยงดำมืดลง
พวกเขาไม่เคยคาดว่าเรือล่องสำราญหอเมฆาอันดูธรรมดานี้จะมียอดฝีมือซุกซ่อนมากมายเพียงนี้!
นี่เกินกว่าคำว่าเข้าใจผิด แต่เหมือนตกสู่กับดักที่เตรียมไว้อย่างดี!
ไม่นานนัก สตรีในชุดกระโปรงสีดำก็ถูกรายล้อมโดยผู้ฝึกตนสิบเก้าคน ซึ่งแต่ละคนก็มีระดับฝึกฝนในขอบเขตวงล้อวิญญาณ
มีผู้แข็งแกร่งหลายคนในกลุ่มนั้น และยังรวมถึงผู้ที่มีพลังมหาวิถีในขั้นสมบูรณ์แบบของขอบเขตวงล้อวิญญาณ!
และนับแต่ต้นจนจบ ซูอี้ก็ยืนมองด้วยสีหน้าเรียบเฉยอยู่ที่เดิม
เขาจะไม่หยุดศัตรูไม่ให้พากันมาออถึงที่
“ลูกน้องของข้า แต่เดิมเตรียมไว้เพื่อจับตัวเย่เทียนฉวี แต่ตอนนี้ข้าคงต้องจัดการเจ้าก่อน”
สตรีในชุดกระโปรงสีดำกล่าวเบา ๆ
บรรยากาศรอบตัวนางก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบร้ายกาจ โดยเฉพาะลวดลายพิลึกสีทองที่ปรากฏขึ้นบนหว่างคิ้วขาวสะอาดของนาง
ซูอี้เคยเห็นลวดลายแบบนี้ที่หน้าผากชายร่างกำยำซึ่งถูกเขาฆ่าไปเมื่อคืน แต่ลวดลายของชายผู้นั้นเป็นสีเลือด
ในขณะที่ของสตรีในชุดกระโปรงสีดำเป็นสีทอง
ซูอี้ย่อมรู้ว่าสตรีในชุดกระโปรงสีดำก็มาจากเผ่าปีศาจไก่ฟ้าโลหิตเช่นกัน และเป็นทายาทเลือดบริสุทธิ์เสียด้วย
“ว่าแล้วเชียวว่ามีปัญหา!”
สีหน้าของชายร่างผอมในร้านน้ำชาย่ำแย่ลง
เพราะเขาคือเย่เทียนฉวีที่สตรีในชุดกระโปรงสีดำว่า!
เขามาจากตระกูลสาขาที่สองแห่งเผ่าปีศาจงู!
ทว่า สิ่งที่ทำให้เย่เทียนฉวีงุนงงคือการรุมสังหารเขากลับไปเกิดขึ้นกับชายหนุ่มชุดเขียวก่อน
ถูยงเองก็แปลกใจ
เย่ป๋อเหิงดูสับสนสุดขีด ใบหน้าของเขามึนงงไม่แน่ใจ ทั้งกระวนกระวายและโกรธ
“พี่ชาย พี่ต้องระวังนะ!”
ไกลออกไป เสียงหวานใสดังสั่น ๆ
เด็กหญิงผมเปียกำกระโปรงของนางด้วยสองมือแน่น ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความกังวล
เสียงนี้ถูกโพล่งขึ้นมากะทันหัน
นางเป็นเพียงเด็กอายุห้าหกขวบปี ทว่ากลับกล้าออกเสียงในช่วงกาลคับขัน ผู้คนจึงอดหลั่งเหงื่อแทนนางไม่ได้
ทว่าซูอี้กลับยิ้มและกล่าวอย่างอบอุ่น “แม่หนู เจ้าหลับตาเสีย”
เด็กหญิงผมเปียตะลึงงง
ก่อนที่นางจะทันได้มีปฏิกิริยา ดวงตาของนางก็ถูกปิดโดยเซี่ยขุยจวี่
ผู้อาวุโสแห่งสำนักวิญญาณยมโลกตกใจเสียจนอาภรณ์ชื้นด้วยเหงื่อกาฬ ดึงดันอยู่ได้เพียงจากแรงใจ
เขาอยู่ในสนามรบมาแสนนาน และมองปราดแรกก็เห็นได้ว่าสถานการณ์ขณะนี้แย่เกินไปสำหรับซูอี้!
“ช่างน่าขัน ดูกาลเทศะเสียก่อน เจ้ายังห่วงเรื่องของแม่หนูนั่นอีกหรือ?”
สตรีในชุดกระโปรงสีดำกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย ดวงตาเย็นชา “ทว่าข้าให้โอกาสสุดท้ายเจ้าก็ได้นะ ไปเสีย แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
นับแต่คืนวานจวบจนยามนี้ การกระทำมากมายของซูอี้ก็ทำให้นางรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ดังนั้นนางจึงระงับจิตสังหารอันเดือดพล่านในใจมาต่อรองกับเขา
ทว่าซูอี้กลับกล่าวอย่างครุ่นคิด “ดูเหมือนว่าร่างจริงของเจ้าจะไม่ได้อยู่บนเรือในขณะนี้”
สตรีในชุดกระโปรงสีดำพลันขมวดคิ้ว
ซูอี้หยิบพุทราเขียวในมือเข้าปากกิน รสชาติของมันไม่ได้เยี่ยมยอด แต่ก็อร่อยใช้ได้
จากนั้น เขาก็หันไปกล่าวกับพวกสตรีในชุดกระโปรงสีดำอย่างเฉยชา
“สามชั่วดีดนิ้ว หากฆ่าพวกเจ้าไม่ได้ คิดเสียว่าข้าแพ้ได้เลย!”