บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 869: ไฉนจึงขอโทษ
ตอนที่ 869: ไฉนจึงขอโทษ
สามชั่วดีดนิ้ว!
ฆ่าศัตรูทั้งหมด!
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ดังออกมา พวกเย่เทียนฉวีในร้านน้ำชาก็อดอ้าปากค้างไม่ได้
สตรีในชุดกระโปรงสีดำหัวเราะ
นางไม่พูดพร่ำ และทำเพียงโบกมือ
ตู้ม!
เบื้องหลังนาง ตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณทั้งสิบเก้าที่พร้อมลงมือต่างโจมตีอย่างดุดันพร้อมกัน
พวกเขาแต่ละคนระเบิดปราณอหังการ บ้างก็เรืองแสงสีม่วง บ้างควบคุมอสนีบาต บ้างเดินวายุพัดอัคคี บ้างส่งปราณดาบทะยานฟ้า…
ในภูมิมืดมิด จักรพรรดิคือสุดยอดพลังต่อสู้ เพียงพอจะควบคุมโลกหล้าได้ทุกแห่งหน
ทว่าตามปกติแล้ว จักรพรรดิซึ่งเข้ามาพัวพันกับความขัดแย้งทางโลกมีน้อยแสนน้อย การจะได้เห็นจักรพรรดิปรากฏกายจึงมักเป็นยามเกิดข้อพิพาทระหว่างขุมกำลังใหญ่เสียมากกว่า
เหมือนเช่นศึกที่เกิดในเมืองตาข่ายม่วง ณ คืนเทศกาลหมื่นโคมอันเกี่ยวเนื่องกับความเป็นความตายของขุมกำลังใหญ่อย่างตระกูลชุยโบราณ ในสถานการณ์เช่นนั้น จักรพรรดิจึงเป็นกุญแจตัดสินผลลัพธ์
กล่าวสั้น ๆ ก็คือ ตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณคือกำลังอันอหังการที่สุดยามจักรพรรดิไม่ปรากฏกาย!
เพราะเหตุนี้ เมื่อตัวตนทั้งสิบเก้าในขอบเขตวงล้อวิญญาณลงมือพร้อมกัน เพียงพลังที่แสดงก็เพียงพอให้เรือล่องสำราญหอเมฆาสะเทือนไหวรุนแรงแล้ว
ทุกคนบนเรือต่างแตกตื่นตกใจ
เซี่ยขุยจวี่ตกใจกับตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณเหล่านี้
เขาไม่ได้กังวลเรื่องตนเอง แต่กังวลว่าเด็ก ๆ ที่อยู่รอบตัวเขาจะได้รับผลกระทบ!
“ถูยง ลงมือด้วยกันเถอะ!”
ดวงตาของเย่เทียนฉวีฉายประกายเย็นเฉียบพลางทะยานออกไป
แทบจะในขณะเดียวกัน ถูยงก็ชักดาบเบื้องหลังเขาออกมาพลางพุ่งออกไป
สตรีในชุดกระโปรงสีดำและคณะมาเพื่อฆ่าพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นเย่เทียนฉวีหรือถูยงย่อมไม่อาจอยู่เฉย
“ท่านพ่อ…”
เย่ป๋อเหิงพลันลนลานและรู้สึกวิตกกังวล
ทุกสิ่งนี้ดูเนิบช้า ทว่าที่จริงแล้ว พวกมันเกิดขึ้นแทบจะเป็นในพริบตาเดียว
และแทบจะในขณะเดียวกัน ซูอี้ก็โจมตี
วูบ!!
พลังปราณพลุ่งพล่านดุจแม่น้ำแยงซีเชี่ยวคลั่งในร่างสูงใหญ่ของเขา ผิวทุกตารางนิ้วเรืองแสงสีใสพร่างพราย คู่เนตรสีดำลึกล้ำไร้แยแส
ชั่วดีดนิ้วแรก
ซูอี้ยกมือขวาขึ้นสู่อากาศ
ห้าคีรีดาบทะลวงสู่นภา เชื่อมโลกาและแดนสรวงไม่อาจประมาณ
ทุกคนในเรือล่องสำราญหอเมฆารู้สึกเล็กจ้อยเยี่ยงมด
เขตแดนมหาดาบเบญจธาตุ!
ห้าคีรีดาบต่างเจือด้วยพลังมหาวิถีแห่งแก่นแท้เอกกะ และยามเมื่อพวกมันปรากฏ พื้นที่ในบริเวณก็ดูราวถูกจองจำนิ่งงัน
จากนั้น ภาพอันสุดตระการตาก็ปรากฏในคลองจักษุผู้คน…
ทั้งวจีวิถี ขวดสมบัติ แส้ ดาบบิน ง้าวสั้น… สมบัติทุกชิ้นที่ตัวตนทั้งสิบเก้าในขอบเขตวงล้อวิญญาณใช้ต่างหยุดค้างนิ่งกลางอากาศ
ถูกจองจำค้างกลางหาว!
ขณะเดียวกัน สารพัดพลังมหาวิถีที่ตัวตนทั้งสิบเก้าในขอบเขตวงล้อวิญญาณใช้ต่างพังทลายดุจฟองสบู่ภายใต้แรงกดดันของคีรีดาบเบญจธาตุ
“นี่…”
เย่เทียนฉวีและถูยงผู้เพิ่งเร่งมาจากร้านน้ำชาไกลออกไปต่างนิ่งตะลึง
“นี่มันวิชาดาบใดกัน?”
ใบหน้างามของหญิงสาวแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
บรรพตดาบเบญจธาตุลอยเด่นบนฟ้า และบรรยากาศกดดันที่มันแผ่ออกมาก็ยิ่งใหญ่ดุจบรรพตบรรพกาลค้ำโลกา อำนาจแข็งแกร่งน่าหวาดเกรง!
แค่มองก็ทำให้ผู้คนรู้สึกจนปัญญาต่อต้านได้แล้ว
“แข็งแกร่งนัก!!!”
ร่างของเซี่ยขุยจวี่สั่น ดวงตาเบิกกว้างอย่างตกใจ โดยไม่คาดคิดว่าอำนาจแข็งแกร่งนี้จะออกมาจากเพียงปลายนิ้วของซูอี้
“ไม่ดีแล้ว!”
สีหน้าของตัวตนทั้งสิบเก้าในขอบเขตวงล้อวิญญาณต่างเปลี่ยนแปร
พวกเขาทุ่มสุดฝีมือ แต่ก็ไม่อาจขยับสมบัติของตนได้ ทำให้พวกเขาตัวสั่น ลอบร้องว่าท่าไม่ดี
“ถอย!” ใครบางคนตะโกน สัมผัสได้ถึงภัยคุกคามถึงตายของบรรพตเบญจธาตุที่กีดขวางสกัดอากาศอยู่
“ไป!”
สตรีในชุดกระโปรงสีดำโยนปิ่นผมสีครามชิ้นหนึ่งออกมาโดยไม่ลังเล มันยาวเพียงสี่ชุ่น หัวปิ่นสลักเป็นดอกไม้ตูมสีเลือด และภายในดอกตูมนั้นมีดวงเนตรซึ่งมีรูม่านตาเรียวแหลมดวงหนึ่ง
เมื่อสมบัติชิ้นนี้ถูกโยนออกไป มันก็เปล่งแสงสีเลือดพร่างพราวทันที และดูเหมือนบนฟากฟ้าจะปรากฏแม่น้ำสีเลือดอันชั่วร้ายอันเชี่ยวกรากราวจะบดบังนภาตะวันขึ้น
ปิ่นบุปผานรกโลหิต!
สมบัติระดับจักรพรรดิ!
นี่เพียงพอแล้วในการสังหารตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณส่วนใหญ่บนโลกหล้า
ซูอี้เมินเฉย ไม่แม้แต่จะมองมัน
ชั่วดีดนิ้วที่สอง
มือขวาที่ยกอยู่ของซูอี้ก็กดลงบนอากาศ
ตู้ม!
เสียงคำรามทึบ ๆ กังวานขึ้นทั่วหล้าดั่งสายฟ้าฟาดจากสวรรค์ชั้นเก้า
ทั่วอาณาเขตถล่มลงทีละน้อย ความอลหม่านแผ่กระจายดุจดอกหญ้าถูกเป่า
เมื่อคีรีดาบเบญจธาตุเคลื่อนลงมา สมบัติที่คนเหล่านั้นใช้ ไม่ว่าจะเป็นดาบบิน ขวดหยก ง้าวสั้นหรือสมบัติใด ๆ ต่างถูกแรงกดดันขยี้ขยำดุจกระดาษ
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
เสียงระเบิดเลือนลั่นดังสนั่นไม่ขาดหู
เมื่อปิ่นบุปผานรกโลหิตส่งธารเลือดพุ่งเข้าใส่ มันก็ดูราวคลื่นซัดกระทบฝั่ง ทว่าล้มเหลวที่จะทำให้คีรีดาบเบญจธาตุสั่นคลอน
ในทางกลับกัน ปิ่นผมกลับถูกกดดันเสียจนส่งเสียงครวญตัวสั่น และหดร่างลงอย่างต่อเนื่อง
“หนีไปซะ!!”
สตรีในชุดกระโปรงสีดำกรีดร้องลั่น
ทว่าเสียงของนางถูกกลบหายโดยเสียงครวญดาบ
อันที่จริง แม้นางจะกล่าวเตือนก็ไร้ค่า เพราะวิถีเต๋าของตัวตนทั้งสิบเก้าในขอบเขตวงล้อวิญญาณต่างถูกพันธนาการแน่นหนาโดยเขตแดนมหาดาบเบญจธาตุ
ไม่ว่าพวกเขาจะดิ้นรนเพียงไรก็ไม่อาจช่วย
ท้ายที่สุด พวกเขาก็ทำได้เพียงมองคีรีดาบเบญจธาตุกดทับลงมายังพวกตน
“ไม่!”
“ช่วยด้วย!!”
เสียงร้องอย่างหวาดกลัวสิ้นหวังดังระงม
ภายใต้สายตาตื่นกลัวของผู้คน ร่างของตัวตนทั้งสิบเก้าในขอบเขตวงล้อวิญญาณต่างถูกขยี้เป็นเศษซาก วิญญาณสายเกินหนี จึงถูกสังหารทิ้งคาที่
ด้วยหนึ่งการโจมตี ตัวตนทั้งสิบเก้าในขอบเขตวงล้อวิญญาณก็ถูกทำลาย!!
ภาพการนองเลือดอันน่าพรั่นพรึงนี้ทำให้เย่เทียนฉวีและถูยงตกใจตัวสั่น
ควรค่าจดจำว่าตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณนับเป็นตัวตนอันแข็งแกร่งที่สุดภายใต้ขอบเขตจักรพรรดิ และยังเป็นกำลังหลักในขุมกำลังใหญ่ทั่วโลกหล้าอีกด้วย
ทว่ายามนี้ ตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณเหล่านั้น ตั้งแต่ต้นจนจบก็เป็นราวไก่งวงไร้ทางสู้และถูกฆ่าทันที!
“บ้าเอ๊ย!”
ใบหน้างามของสตรีในชุดกระโปรงสีดำเขียวคล้ำ จิตสังหารพลุ่งพล่านในแววตา ยกมือขึ้นฟาดใส่ยันต์ลับใบหนึ่งพลางทะยานร่างหนีไปไกล
ตู้ม!
ยันต์ลับระเบิดออก แปรเปลี่ยนเป็นอสนีบาตสีเลือดนับพันสาย พุ่งเข้าใส่เรือล่องสำราญหอเมฆา
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การโจมตีนี้ของสตรีในชุดกระโปรงสีดำตั้งใจจะทำลายเรือล่องสำราญหอเมฆาและหยุดซูอี้ไปพร้อม ๆ กัน
ซูอี้แค่นเสียงอย่างเย็นชา พลางโบกแขนเสื้อกวาดฝ่ามือ
หนึ่งปราณดาบพลุ่งพล่านปะทุกวาดออกไปบนอากาศ พันอสนีบาตสีเลือดที่ถูกมันกวาดผ่านต่างถูกชะล้างไปก่อนจะทันได้สัมผัสเรือล่องสำราญหอเมฆา
และด้วยการโบกมือของซูอี้
ไกลออกไปในอากาศหลายพันจั้ง สันหลังของสตรีในชุดกระโปรงสีดำพลันหนาวเยือกและเงยหน้าขึ้นมอง
ปราณดาบสายหนึ่งปรากฏขึ้นในอากาศเหนือหัวนางอย่างกะทันหัน เจิดจ้าดุจทองเทวะ คมดาบฟาดฟันเกิดเป็นแสงลี้ลับเจิดจรัส
จิตสังหารร้ายกาจแผ่ออกมาจากปราณดาบ รุนแรงพอจะทำให้หนังศีรษะของนางชา
“ควบแน่น!”
สตรีในชุดกระโปรงสีดำตวาด
คันฉ่องสำริดบานหนึ่งซึ่งสลักลวดลายบุปผา สกุณา มวลแมลงและมัจฉาทะยานออก บานคันฉ่องราบเรียบระเบิดคลื่นโลหิตกระเพื่อมไหว
ทว่านางยังดูแคลนความร้ายกาจของดาบซูอี้เกินไปอยู่ดี
ควรค่าจดจำว่าวิถีเต๋าแห่งดาบที่ซูอี้ฟาดฟันออกไปในขณะนี้ ต่อให้แทนที่นางด้วยจักรพรรดิในขั้นต้นขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ อาจไม่สามารถขัดขืนการโจมตีนี้ได้เลย!
ตู้ม!
เสียงสะเทือนเลือนลั่นกังวานก้อง
ชั้นอากาศราวระเบิดแหลกเป็นคลื่นอัดทำลาย
เห็นชัดแม้ใช้ตาเปล่าว่าด้วยการฟาดดาบของซูอี้ ลำแสงดาบอันเจิดจ้านั้นเป็นดั่งใช้มีดหั่นเต้าหู้ ฟันสะบั้นคลื่นกระเพื่อมสีเลือดและบดทำลายคันฉ่องสำริด!
“เจ้า…”
สตรีในชุดกระโปรงสีดำมองไปยังซูอี้ด้วยความประหลาดใจ
ขณะที่นางกำลังจะกล่าวบางอย่างนั้นเอง เส้นโลหิตก็ปรากฏบนหน้าผาก ลากยาวถึงสันจมูก ริมฝีปาก คาง คอและอกเป็นทาง
ฉับ!
ร่างอรชรของนางถูกผ่าเป็นสองซีกอย่างเงียบ ๆ โลหิตทะลักรินดุจน้ำตก ย้อมนภาเป็นสีชาด
เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาเพียงสามชั่วดีดนิ้ว!
ในช่วงกาลอันแสนสั้นนี้ ซูอี้ผู้เฉยเมยสังหารตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณทั้งสิบเก้า และประหารสตรีในชุดกระโปรงสีดำ!
อากาศปั่นป่วน โลหิตยังคงคละคลุ้ง
เย่เทียนฉวีและถูยงต่างมองหน้ากันอย่างตื่นตะลึง หัวใจกระตุกแทบพลิก
สามชั่วดีดนิ้ว สังหารสิ้นศัตรู!
ภาพอันนองเลือดนี้ ผู้ใดเล่าจะไม่ตกใจ ผู้ใดเล่าจะไม่กลัว?
“ชายหนุ่มผู้นี้… ไม่ใช่ว่าเป็นตัวตนบรรพกาลผู้แข็งแกร่งทะลวงฟ้าสะเทือนแดนดินหรือ? หาไม่ เขาจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ได้เช่นไร?”
เซี่ยขุยจวี่เงยหน้ามองอย่างทึ่มทื่อ
ก่อนหน้านี้ เขาลุกลี้ลุกลนจนหัวใจจุกคอ ไม่อาจทนมองไหว เพราะเขาไม่คิดว่าซูอี้จะรอดได้เลย
ทว่าใครเล่าจะคิดว่าในเวลาเพียงสามชั่วดีดนิ้ว กลุ่มศัตรูจะถูกกวาดล้าง ผลลัพธ์จะถูกตัดสิน!
“เป็นไปได้เช่นไร…”
เย่ป๋อเหิงในร้านน้ำชาไกลออกไปดูราวสิ้นวิญญาณ
ยามนี้ มีเพียงเขาที่หวาดกลัวลังเลในใจที่สุด
ซูอี้ปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้าราวกับเพิ่งทำเรื่องเล็กน้อยเสร็จ
เขาหันไปกล่าวกับเซี่ยขุยจวี่ “เจ้าพาเด็กพวกนั้นไปเถอะ เรือลำนี้ไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว”
เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยขุยจวี่ก็พยักหน้าเร็ว ๆ อย่างเห็นด้วย
เมื่อเกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นในเรือล่องสำราญหอเมฆา เขาก็ไม่อยากอยู่ต่อแล้ว
“พี่ชาย ที่แท้พี่ก็ชนะ!”
เด็กหญิงผมเปียหยีตาร้องอย่างตื่นเต้น
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “พุทราเขียวนั่นอร่อยมากนะ”
“ผู้อาวุโส งั้นข้าต้องขอตัวลาก่อน!”
เซี่ยขุยจวี่ยกมือขึ้นคำนับ
ซูอี้พยักหน้า
เซี่ยขุยจวี่พาเด็ก ๆ ทะยานออกไปทันที
ก่อนจากจร เด็กหญิงผมเปียนามเยว่หรงโบกมือให้ซูอี้ไม่หยุด
เกรงว่ากระทั่งเด็กหญิงผู้นี้จะไม่คาดเลยว่าเนิ่นนานจากนี้ ยามที่นางโด่งดังทั่วโลกหล้าในเส้นทางแห่งการฝึกฝน ประสบการณ์อันยากลืมเลือนที่สุดในชีวิตของนางจะเป็นสิ่งที่นางเผชิญบนเรือล่องสำราญนี้ในวัยเด็ก และพี่ชายผู้ยอมกินผลพุทราของนางไปหนึ่งลูก
จลาจลบนเรือล่องสำราญค่อย ๆ จางหาย
ทว่าหลังจากความตื่นตะลึงนองเลือดเช่นนี้ เหล่าแขกเหรื่อผู้โชคดีพอจะรอดตายได้ก็รีบออกจากที่นี่โดยเร็วที่สุดราวกับหนีตาย
บนดาดฟ้าเรือล่องสำราญหอเมฆา
“เย่เทียนฉวี ทายาทเผ่าปีศาจงูคารวะสหายเต๋า!”
เย่เทียนฉวีรีบก้าวออกมาทักทายซูอี้ “กล่าวตามตรงกับสหายเต๋า ครานี้ คนเหล่านี้มาก็เพื่อข้า คนแซ่เย่ขออภัยด้วยจริง ๆ”
เขากล่าวด้วยสีหน้าเจือความอับอาย
“ท่านพ่อ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราเป็นใคร ไฉนท่านต้องขอโทษเพราะเรื่องนี้ด้วย ยิ่งกว่านั้น ต่อให้คนผู้นี้ไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง เราก็จะไม่ประสบอันตรายใดแท้ ๆ!”
ไกลออกไป เย่ป๋อเหิงเดินมาหาด้วยสีหน้ามืดหม่น