บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 870: ร่างแท้
ตอนที่ 870: ร่างแท้
วาจาของชายหนุ่มแข็งกระด้าง
ความหมายของวาจานี้ทำให้เย่เทียนฉวีและถูยงรู้สึกไม่สบายใจ ขมวดคิ้วเข้าหากัน
“เจ้าโง่! เจ้าพูดอันใดอยู่?”
เย่เทียนฉวีตำหนิเสียงดัง “รีบขอขมาสหายเต๋าท่านนี้เร็วเข้า!”
เย่ป๋อเหิงกล่าวอย่างดื้อรั้น “ข้าพูดความจริงนี่”
เย่เทียนฉวีหน้าคล้ำดำ
ซูอี้ผู้มองอยู่ตลอดพลันกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้ากล้าพูดความจริง ไฉนเล่าจึงไม่บอกพ่อเจ้าว่าทำอันใดลงไปเมื่อคืน?”
เย่ป๋อเหิงตกใจไปชั่วขณะ จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “เจ้าหมายความเช่นไร?”
“หากเจ้ากล้าทำ ก็ต้องกล้ารับ ข้าจะให้โอกาสเจ้าเปลี่ยนใจ หากเจ้าไม่เปิดเผยมันออกมา เจ้าจะไร้โอกาสได้ชดใช้บาปแล้วนะ”
ซูอี้หยิบเก้าอี้หวายออกมานั่งข้างราวกันตก จากนั้นก็หยิบไหสุราออกมาดื่มอย่างสบายใจ
เมื่อเห็นเช่นนี้ เย่เทียนฉวีก็ฉงนสงสัย พลางขมวดคิ้วถามเย่ป๋อเหิง “เมื่อคืนเจ้าทำอันใดลงไป?”
ถูยงเองก็มองเย่ป๋อเหิง
แรงกดดันบนบ่าของเย่ป๋อเหิงเพิ่มขึ้นกะทันหัน และสีหน้าของเขาก็ไม่แน่ชัด
ครู่ต่อมา เขาก็สูดหายใจลึก ๆ และกล่าวว่า “ท่านพ่อยังจำคำกล่าวก่อนหน้านี้ของข้าได้หรือไม่ ที่ว่าไม่ว่าอย่างไร ข้าจะไม่ยอมให้เกิดอันใดขึ้นกับท่านและท่านลุงยง”
เย่เทียนฉวีตระหนักถึงบางอย่าง สีหน้าแปรเปลี่ยนยากอ่านออก และกล่าวชัด ๆ คำต่อคำ “ข้าถามเจ้าอยู่ ว่าเมื่อคืนเจ้าทำอันใด!!”
โทสะอันไม่ได้ปิดบังทำให้ใบหน้าของเย่ป๋อเหิงซีดขาว ร่างทั้งร่างสะท้านสั่น
นับแต่เกิดมา เขาไม่เคยเห็นบิดาเขาโกรธขนาดนี้มาก่อน!
ทว่าเย่ป๋อเหิงก็รู้สึกน้อยใจนัก เขากัดฟันกล่าวว่า “ข้ายอมรับว่าข้าแอบไปพบกับแม่นาง ‘เซี่ยงเถียน’ จากเผ่าปีศาจไก่ฟ้าโลหิตเมื่อคืน แต่สิ่งที่ข้าคุยกับนางนั้นเป็นเพื่อประโยชน์ของเราทั้งนั้นนะขอรับ!”
สีหน้าของเย่เทียนฉวีเปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์ มันซีดขาวด้วยโทสะ “ลูกชั่ว กล้าดีเช่นไรถึงร่วมมือกับศัตรู!!”
เพียะ!
ฝ่ามือตบเข้าที่หน้าเย่ป๋อเหิงอย่างแรง ทำให้เขาเดินเซทรุดลงนั่งกับพื้น ใบหน้าครึ่งหนึ่งบวมห้อเลือด
เมื่อเห็นเช่นนี้ ถูยงก็รีบปราม “ใต้เท้า โปรดสงบโทสะเถิด ให้บุตรท่านเล่าให้จบก่อนเถอะขอรับ”
เย่เทียนฉวีกัดฟันกล่าว “ยังมีสิ่งใดต้องพูดกันอีก? เมื่อครู่เจ้าก็เห็นแล้วว่าสตรีชุดดำมาจากเผ่าปีศาจไก่ฟ้าโลหิต!”
เขาสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวด้วยแววตาเย็นชา “ก่อนหน้านี้ข้าแปลกใจนัก เราไม่ได้แพร่งพรายข่าวใด ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เราทำอยู่แท้ ๆ ไฉนสตรีในชุดกระโปรงสีดำและคณะของนางจึงมาขึ้นเรือล่องสำราญหอเมฆาเมื่อวานนี้ ยามนี้ข้าเข้าใจแล้ว ว่าเป็นฝีมือเจ้าลูกชั่วนี่!!”
เย่ป๋อเหิงเช็ดเลือดที่มุมปากของเขา กล่าวด้วยแววตาที่ยังดื้อรั้น “ท่านพ่อ ข้าสาบานว่าการกระทำของข้าเป็นเพื่อประโยชน์สุขของเราเองนะขอรับ! ข้าไร้เจตนาทรยศโดยสิ้นเชิง!”
“แม่นางเซี่ยงเถียนบอกข้าเมื่อคราก่อน ว่ายามนี้ที่เมืองเทียนหยา ตระกูลหลักของเผ่าเรากำลังอยู่ในอันตราย และแม้เราจะเดินทางไปกับสมบัตินี้ ก็ยังแต่จะประสบเคราะห์มากกว่าโชค”
เขาลุกขึ้นมากล่าวว่า “ข้าเกลี้ยกล่อมท่านอยู่หลายครั้งแล้วว่าอย่าเข้าไปจมปลักโคลนนี้เลย แต่ท่านก็ไม่ฟังข้าสักนิด!”
ท้ายที่สุด เย่ป๋อเหิงก็ดูกรุ่นโกรธน้อยใจนัก
เมื่อเห็นเช่นนั้น ดวงตาของเย่เทียนฉวีก็ถลนด้วยโทสะ และกล่าวว่า “แล้วเจ้าก็เลยติดต่อนางมารนี่มาช่วยกันจัดการข้าหรือไร?”
เย่ป๋อเหิงส่ายหน้ากล่าว “ท่านพ่อ ท่านเข้าใจผิดแล้ว เมื่อคืนแม่นางเซี่ยงเถียนรับปากแล้วว่า ขอเพียงเราส่งสมบัตินั่นให้นาง เราจะไม่ต้องสิ้นไร้หนทาง แล้วก็สัญญา…”
“สัญญาอันใด?”
ถูยงถาม
เย่ป๋อเหิงก้มหน้าลงกล่าว “ข้าชอบแม่นางเซี่ยงเถียน และนางก็ชอบข้าเช่นกัน นางบอกว่าในภายหน้า… นางจะเป็นคู่วิถีกับข้า…”
กล่าวถึงจุดนี้ สีหน้าเจ็บปวดก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ดวงตาพลันเบนไปมองซูอี้พลางกล่าวอย่างขมขื่น “ทว่าคนผู้นี้กลับสังหารแม่นางเซี่ยงเถียนไปเมื่อครู่!”
หลังจากได้ยินวาจาเหล่านี้ เย่เทียนฉวีก็โกรธเสียจนหน้าดำ อดไอตัวโยนจนหยาดโลหิตหลั่งจากปากของเขามิได้
ถูยงพลันกระวนกระวาย “ใต้เท้า ใจเย็นก่อนขอรับ!”
เย่ป๋อเหิงเองก็เปลี่ยนสีหน้า และกล่าวว่า “ท่านพ่อ สิ่งที่ข้าพูดก่อนหน้านี้เป็นความจริง และข้าก็กล้าสาบานต่อสวรรค์ว่าทั้งหมดที่ข้าทำเป็นเพื่อความปลอดภัยของเราเองขอรับ! ท่านพ่อ! อย่าโกรธเลย…”
เย่เทียนฉวีหอบหายใจ ทั้งเศร้าและชิงชัง
ทว่า เมื่อเห็นสีหน้าเป็นห่วงของบุตรชาย เขาก็เปี่ยมโทสะโดยไร้ที่ระบายจนสิ้นวาจาไปชั่วขณะ
ซูอี้ผู้มองเหตุการณ์นี้มาตลอดอดลอบส่ายหน้าไม่ได้
เย่ป๋อเหิงผู้นี้ซึ่งดูเหมือนจะทำเรื่องต่าง ๆ เพื่อบิดาตนด้วยประสงค์ดี ที่แท้ก็เป็นเพียงคนโง่ที่ถูกหลอกใช้ ช่างน่ารังเกียจ
หากเขาเป็นบิดาของคนผู้นี้ คงโกรธจนกระอักเลือดแน่แท้
“สหายเต๋า ตระกูลข้าช่างอับโชค ทำให้เจ้าหัวเราะเยาะเสียแล้ว! หากมีการล่วงเกินอันใด โปรดอภัยให้ข้าด้วยเถิด”
เย่เทียนฉวีถอนใจพลางโค้งให้ซูอี้ สีหน้าเปี่ยมความอ้างว้างขมขื่น
ซูอี้โบกมือตอบ “บุตรเจ้าไม่ได้มีใจชั่วร้าย เขาแค่โง่เกินไปเท่านั้น”
ประโยคเดียวนั้นทำให้เย่ป๋อเหิงเดือดดาล
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “ไม่พอใจหรือ? งั้นเจ้ารู้ระดับฝึกฝนของสตรีผู้นี้หรือไม่?”
เย่ป๋อเหิงขมวดคิ้วถาม “เจ้าหมายความเช่นไร?”
เย่เทียนฉวีและถูยงมองหน้ากันอย่างแปลกใจเล็กน้อย
ซูอี้กล่าวต่อ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่ตายเมื่อครู่เป็นเพียงอวตารหนึ่งของสตรีผู้นั้น?”
เย่ป๋อเหิงตะลึงราวถูกฟ้าผ่า “นี่…”
ซูอี้กล่าวด้วยสายตาสงสาร “เจ้าไม่รู้อันใดเลย แต่ก็ยังคิดโง่ ๆ ว่าตนจะสามารถเป็นคู่วิถีกับอีกฝ่ายได้ คิดว่าขอเพียงอีกฝ่ายให้คำสัญญา มันก็จะแลกกับความสงบสุขที่เจ้าว่าได้ หากเจ้าไม่โง่… แล้วจะให้เรียกเช่นไร?”
สีหน้าของเย่ป๋อเหิงแปรเปลี่ยนอย่างมหันต์ ในขณะที่เขากำลังจะโต้เถียงนั้นเอง
ซูอี้ละสายตาออกมากล่าวว่า “รอก่อน เดี๋ยวร่างจริงของสตรีผู้นั้นก็จะมาในไม่ช้า เมื่อถึงเวลา เจ้ามองปราดเดียวก็จะรู้เอง”
ทันทีที่วาจาเหล่านั้นกล่าวจบ สีหน้าของเย่เทียนฉวีและถูยงก็เปลี่ยนไปอย่างช่วยไม่ได้
ในขณะเดียวกัน เย่ป๋อเหิงพึมพำอย่างไร้สติ “หากเป็นเช่นเจ้าว่า แม่นางเซี่ยงเถียนยังมีชีวิต งั้นก็ไม่เป็นไร…”
ซูอี้อดส่ายหน้าไม่ได้ เจ้าเด็กนี่เกินเยียวยาแล้ว
ทันใดนั้นเอง เขาก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และกล่าวด้วยเสียงเบาแผ่ว “มาเร็วเอาการเลยนะ”
ยังไม่ทันขาดคำ ไกลออกไปบนท้องฟ้า นภาอันเดิมแจ่มใสก็แปรเป็นสีเลือดแดงฉาน
เห็นได้ราง ๆ ว่ามีร่างอรชรบอบบางนางหนึ่งเดินท่ามกลางเพลิงสีเลือดอันปกนภาคลุมแดนดิน ราวกับเทพปีศาจเยื้องยาตรา
พื้นที่โดยรอบสะเทือนสั่น ทุกสิ่งดูหม่นมืด
ปราณอันร้ายกาจชวนหดหู่กระจายออกมา
ผู้คนในเรือล่องสำราญหอเมฆาหนีหายไปนานแล้ว
ยามนี้ คนที่เหลืออยู่สิ้นสติโดยสิ้นเชิง พวกเขากรีดร้องอย่างลนลานและเผ่นหายไปจากเรือล่องสำราญอย่างบ้าคลั่ง
“จ…จักรพรรดิ!!!”
เย่เทียนฉวีและถูยงอ้าปากค้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความตะลึง
เย่ป๋อเหิงเองก็ตะลึง เขาเห็นชัดเจนว่าร่างงดงามที่เยื้องย่างอยู่บนเวหาคือแม่นางเซี่ยงเถียนผู้เป็นนางในฝันของเขา!
ทว่าครานี้ เซี่ยงเถียนดูราวจักรพรรดินีผู้สูงส่ง อาภรณ์ยาวสีดำพลิ้วไสว ผมยาวรวบเป็นมวย และมองมาทางเขาด้วยสีหน้าแววตาเย็นชาเฉยเมย
บนหน้าผากเรียบเนียนของนาง ตราสีทองเจิดจ้าราวเปลวเพลิง
และขณะที่นางก้าวเดิน ท้องนภา ผืนหล้าและทั่วบริเวณต่างปกคลุมด้วยชั้นแสงสีเลือดสะกดใจผู้คน
อำนาจน่าหวาดหวั่นนั้นทำให้ทุกสิ่งทั่วโลกาแปรสีสัน!
เย่ป๋อเหิงอุทานอย่างแปลกใจ “แม่นางเซี่ยงเถียน เจ้ายังมีชีวิตอยู่จริง ๆ ด้วย!”
เย่เทียนฉวีอยากจะตีบุตรชายชั่วนี้ให้ตายเหลือเกิน!
จนป่านนี้ยังไม่เข้าใจสถานการณ์อีกหรือ?!
ไกลออกไปบนอากาศ สตรีในชุดกระโปรงสีดำเยื้องย่างเข้ามา
ดวงตาของนางเฉยเมย เมินเฉยต่อเย่ป๋อเหิง ดวงตาของนางจับจ้องเพียงซูอี้ผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้หวาย “คุณชาย เราพบกันอีกแล้ว”
วาจาของนางเย็นชากังวาน
ซูอี้แย้มยิ้ม ขณะชี้เย่ป๋อเหิงพลางกล่าวว่า “เจ้าเคยสัญญาจะเป็นคู่วิถีกับเขานี่ ยังถือสัญญานั้นอยู่หรือไม่?”
สตรีในชุดกระโปรงสีดำขมวดคิ้วน้อย ๆ ร่างของนางเปี่ยมอำนาจมหาศาล และกล่าวอย่างเย็นชา “ยามจะตายอยู่รอมร่อ ยังใช้ไอ้โง่อุบาทว์สายตานั่นมายั่วยุข้าอีก ความกล้าของเจ้านี่ยิ่งใหญ่จริง ๆ”
อุบาทว์สายตา?
ไอ้โง่!?
ราวถูกสายฟ้าฟาดใส่ เย่ป๋อเหิงแทบพูดไม่ออก “แม่นางเซี่ยงเถียน เจ้า… เจ้าพูดเช่นนั้นได้เยี่ยงไร? กาลก่อนเจ้าบอกนี่ว่าเจ้าอยากอยู่กับข้า…”
เขาถูกตบเข้าที่หลังหัวโดยเย่เทียนฉวี ร่างของเขาอ่อนยวบหมดสติ ช่างน่าอายนัก!
ลูกชั่วผู้นี้ทำให้เย่เทียนฉวีเสียหน้าแทบแทรกแผ่นดินหนี
ซูอี้เมินเรื่องเล็กน้อยนี้ไป
เขาลุกขึ้น เก็บเก้าอี้หวายพลางหันไปกล่าวอย่างจริงจังกับสตรีในชุดกระโปรงสีดำที่มีนามว่าเซี่ยงเถียน
“สัญญาจะไม่ถือเป็นจริงได้เช่นไร? ไม่ว่าอย่างไร ข้าจะจัดงานแต่งนี้ระหว่างพวกเจ้าให้เอง”
เย่เทียนฉวีและถูยงต่างตะลึงทั้งคู่ ไม่คิดเลยว่าต่อหน้าตัวตนระดับสูงเยี่ยงจักรพรรดิ ชายหนุ่มชุดเขียวผู้นี้จะยังพูดเช่นนั้น
“จริงหรือ งั้นข้าล่ะอยากเห็นจริง ๆ”
เซี่ยงเถียนกล่าวด้วยแววตาเย็นชาน่าหวาดหวั่น และทันทีที่เสียงถูกเปล่ง นางพลันเอื้อมมือคว้าไปบนอากาศ
ตู้ม!
ตราประทับฝ่ามือสีเลือดขนาดสิบจั้งก่อตัวขึ้นบนอากาศ เต็มไปด้วยอำนาจลี้ลับแห่งกฎเต๋าวิถีลึกล้ำ คว้าเข้าใส่ซูอี้อย่างดุดัน
ทั่วบริเวณพังทลาย
เรือล่องสำราญหอเมฆามิอาจทานรับอำนาจร้ายกาจแห่งจักรพรรดิได้ มันพลันระเบิดกลายเป็นเศษซากปลิดปลิวกลางนภา
แม้ว่าอำนาจของฝ่ามือนี้จะเล็งไปหาซูอี้ แต่เย่เทียนฉวีและถูยงต่างถูกสะกดจนรู้สึกไร้พลัง ซึ่งทำให้สีหน้าคนทั้งสองแปรเปลี่ยนทันที
ทว่า ในขณะที่พวกเขากำลังจะดิ้นรน เสียงครวญดาบกังวานใสพลันปรากฏขึ้นสะท้อนก้องทั่วทศทิศเก้าชั้นฟ้า
อาภรณ์เขียวของซูอี้โบกไสว เขายกดาบขึ้นฟาดฟัน
ตู้ม!!
เหนือหัวของซูอี้บังเกิดรอยดาบเป็นเส้นตรงขึ้นบนรอยประทับฝ่ามือสีเลือดขนาดสิบจั้ง ก่อนจะระเบิดตูม
สิ่งที่ยิ่งอหังการนั้นคือ แม้แต่แรงกดดันร้ายกาจของจักรพรรดิที่ปกคลุมทั่วบริเวณยังถูกปราณดาบนี้สะบั้นขาด
เย่เทียนฉวีและถูยงต่างตะลึงงัน
หนึ่งปราณดาบสลายการโจมตีของจักรพรรดิ!?
“หือ?”
ไกลออกไปในอากาศ ดวงเนตรงามของสตรีผู้นั้นหรี่ลงเล็กน้อยอย่างประหลาดใจ
วิชาดาบอันร้ายกาจเหลือเชื่อนี้จะมาจากมือของชายหนุ่มในขอบเขตวงล้อวิญญาณได้เช่นไร?