บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 872: ลัญจกรหยกบรรพชน
ตอนที่ 872: ลัญจกรหยกบรรพชน
ทั่วโลกหล้าปรากฏภาพดุจดั่งพื้นที่รกร้าง
หมอกควันจากการทำลายล้างลอยสูงเหนือพื้นปฐพีอันไหม้เกรียม
ส่วนเรือล่องสำราญหอเมฆานั้นถูกฉีกกระชากกลายเป็นเศษซากไปนานก่อนสงครามจะเริ่มแล้ว
ชายหนุ่มบนอากาศยืนสง่า กำคอจักรพรรดินีผู้หนึ่งยกขึ้นด้วยมือเดียว!
เย่เทียนฉวีและถูยงต่างตะลึงสติหลุดลอย
ศึกอันกล่าวได้ว่าไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์นี้จบลงในเพียงชั่วอึดใจ
และจักรพรรดิผู้หนึ่งจากเผ่าปีศาจไก่ฟ้าโลหิตก็ถูกชายหนุ่มผู้หนึ่งในขอบเขตวงล้อวิญญาณจับตัวได้ทั้งเป็น!!
ทัศนาทั่วโลกหล้า จะมีผู้ใดบ้างไม่ตกใจเมื่อเห็นภาพนี้?
“เจ้า… เจ้าเป็นใครกันแน่?”
สตรีในชุดกระโปรงสีดำหน้าซีด
ในฐานะจักรพรรดิ ตลอดมานางอยู่สูงกว่าผู้คนและได้รับความนับถือยำเกรง ทว่ายามนี้นางกลับถูกคว้าคอเยี่ยงไก่ ไม่อาจดิ้นรนขัดขืนแม้แต่น้อย
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้สตรีในชุดกระโปรงสีดำดูสับสน ลนลานและสิ้นหวังในใจ รวมไปถึงอับอายโดยไม่อาจกล่าวเป็นวาจา
“ข้าเป็นใครไม่สำคัญ แต่เจ้าต้องจำไว้ว่านับแต่ยามนี้ เจ้าเป็นเพียงเชลยผู้ไม่อาจทำสิ่งใดได้”
ซูอี้เก็บดาบนิลกาฬบริสุทธิ์ พลางหันไปกล่าวกับเย่เทียนฉวีและถูยงซึ่งอยู่ไกลออกไป “ตามข้ามา ข้ามีบางอย่างอยากถามพวกเจ้า”
เย่เทียนฉวีและถูยงมองหน้ากันราวเพิ่งตื่นจากฝัน และไม่มีผู้ใดกล้าปฏิเสธ
…
ห่างออกไปสามร้อยลี้ ทิวทัศน์ที่นี่งดงามจับตา
ธารฟ้าครามกลางทิวเขา ต้นกกเอนไสวตามลม ฝูงสกุณากางปีกโผบิน ทั้งสายลมพลิ้วพัด สกุณาขับขาน เสียงเสียดสีกันของต้นกก และเสียงธารรินไหลประสานสอดรับกัน
ซูอี้นั่งอยู่บนเก้าอี้หวายข้างธาร พลางหรี่ตาลงรับแสงแดดอย่างสบายใจ และนาน ๆ ครั้งก็จะหยิบสุราขึ้นจิบ
บนพื้นข้างกายเขา ร่างของเซี่ยงเถียนขดนิ่งเงียบ เส้นผมของนางกระเซอะกระเซิง ร่างเปรอะโลหิต ดูเละเทะไม่สมยศโดยสิ้นเชิง
เย่เทียนฉวีและถูยงต่างยืนอยู่อีกข้าง กิริยาท่าทางยำเกรง
บนพื้นข้างกายเย่เทียนฉวี เย่ป๋อเหิงยังคงนอนไม่ได้สติ
“ทุกวันนี้ เกิดสิ่งใดขึ้นกับเผ่าปีศาจงู?”
ซูอี้ถาม
เย่เทียนฉวีลังเลอยู่ชั่วขณะ จากนั้นถึงกล่าวเสียงต่ำ
เรื่องทั้งหมดคล้ายคลึงกับสิ่งที่ซูอี้ได้ยินจากบนเรือล่องสำราญหอเมฆา
ในคืนเทศกาลหมื่นโคม ดินแดนต้องห้ามอันโหดร้าย ‘เมืองมืด’ ในเมืองมรณะเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวง และเส้นทางหยินหยางอันนำไปสู่เมืองมืดก็เสียหายอย่างหนัก
เย่อวี๋ จักรพรรดิแห่งเผ่าปีศาจงูซึ่งเข้าไปในเมืองมืดเมื่อหลายร้อยปีก่อนโชคร้าย ติดอยู่ในนั้น
ไม่มีผู้ใดทราบว่าเย่อวี๋จะสามารถหนีออกจากเมืองมืดได้หรือไม่
ในอดีต นางกุมอำนาจชักนำเผ่าปีศาจงูมาโดยตลอด
ฝูงมังกรไร้ผู้นำจึงตกสู่ความอลหม่านโดยไม่อาจเลี่ยง
เหตุการณ์นี้กลายมาเป็นต้นตอความไม่สงบภายในเผ่าปีศาจงู
ในฐานะหนึ่งในเก้าเผ่าราชันย์แห่งภูมิมืดมิด เผ่าปีศาจงูแบ่งออกเป็นสายตระกูลหลักและสามตระกูลสาขา สมาชิกทั้งหมดในเผ่ามีนับหมื่น ๆ คน
ไม่นานมานี้ ผู้อาวุโสคนหนึ่งจากตระกูลสาขาในเผ่าปีศาจงูออกมาเป็นแกนนำ เสนอให้มีการเลือกผู้นำเผ่าคนใหม่
หนึ่งศิลากวนสมุทรให้เกิดคลื่นนับพัน
ข้อเสนอนี้ได้รับการตอบรับโดยผู้อาวุโสส่วนใหญ่ในเผ่าปีศาจงูทันที
ทว่าเหล่าสมาชิกสายตระกูลหลักแห่งตระกูลเย่ให้การคัดค้าน
ความขัดแย้งภายในเผ่าปีศาจงูจึงเกิดขึ้นจากเหตุนี้
ท้ายที่สุด ‘เย่ตงเหอ’ ผู้อาวุโสลำดับสามแห่งเผ่าปีศาจงูจึงเสนอให้จัดการประชุมเผ่าเพื่อให้ผู้อาวุโสจากทั้งตระกูลหลักและสามสายตระกูลรองมาพบปะหารือเรื่องนี้
ด้วยกฎเกณฑ์ที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นภายในเผ่าปีศาจงู ทั้งสายตระกูลหลักรองทั้งหมดต่างถือ ‘ลัญจกรหยกบรรพชน’ ไว้สายละชิ้น และการจะเลือกผู้นำเผ่าคนใหม่นั้น ต้องใช้ ‘ลัญจกรหยกบรรพชน’ ทั้งสี่ชิ้น
ทว่าตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อน ยามที่เย่อวี๋เดินทางสู่เมืองมืด นางก็ฝากลัญจกรหยกบรรพชนประจำตระกูลหลักให้อยู่ในมือของผู้อาวุโสสูงสุดที่สามอย่าง ‘เย่ตงเหอ’ แล้ว
และเย่ตงเหอผู้มาจากตระกูลสาขาเผ่าปีศาจงูผู้นี้ก็ได้เสนอความเห็นชอบต่อการเลือกผู้นำใหม่!
นอกจากนี้ สายตระกูลสาขาที่หนึ่งและสามแห่งเผ่าปีศาจงูก็ได้ตอบตกลงแล้ว
เย่เทียนฉวีคือผู้นำสายตระกูลสาขาที่สอง และยังเป็นผู้อาวุโสผู้ถืออำนาจที่แท้จริงแห่งเผ่าปีศาจงู แม้จะยังไม่ก้าวสู่ขอบเขตจักรพรรดิ แต่เขาก็กุมสิทธิ์เหนือสายตระกูลสาขาที่สอง
ลัญจกรหยกบรรพชนของสาขาตระกูลที่สองก็อยู่ในมือของเย่เทียนฉวีเช่นกัน
การเลือกหาผู้นำเผ่าคนใหม่นั้น เย่เทียนฉวีคัดค้านเรื่องนี้อย่างชัดเจน ด้วยเชื่อว่าจักรพรรดิวิญญาณหยาดสวรรค์ถูกกักขังไว้เพียงชั่วคราวเท่านั้น และเผ่าก็ยังมิจำเป็นต้องเลือกผู้นำใหม่
การวางตนของเขาทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ผู้อาวุโสแห่งเผ่าปีศาจงูมากมาย
เพราะหากขาดลัญจกรหยกบรรพชนในมือเขาไป ก็ไม่มีทางเลือกผู้นำเผ่าคนใหม่ตามกฎของเผ่าได้เลย
“เพราะเหตุนี้ เมื่อไม่นานมานี้ เหล่าผู้อาวุโสในเผ่าบางคนจึงเขียนจดหมายถึงข้าเพื่อเกลี้ยกล่อมให้เปลี่ยนใจ”
สีหน้าของเย่เทียนฉวีดูยากคาดเดา “บางคนเตือนข้า ว่าหากข้ายังคงยืนกรานตามเดิม ข้าจะสวนกระแสความต้องการของคนส่วนใหญ่ในเผ่า ไม่ช้าก็เร็วก็จะถูกลงทัณฑ์หนัก”
“กระทั่งผู้อาวุโสสูงสุดเย่ตงเหอยังส่งจดหมายถึงข้า บอกว่าหากยังไม่เปลี่ยนใจ ก็ให้เตรียมตัวเตรียมใจเดินตามทางของตนเอง!”
ถึงจุดนี้ เขาก็รำพึงด้วยสีหน้าผิดหวัง “ข้าไม่อาจคิดได้จริง ๆ ว่าเหตุใดเผ่าข้าจึงเปลี่ยนเป็นเช่นนี้เพียงเพราะการเปลี่ยนแปลงในเมืองมืด? ต้องทราบว่าบรรพชนเย่อวี๋นั้นก็แค่ติดอยู่ในเมืองมืดเท่านั้น”
ซูอี้ฟังจบแล้วก็ยืนยัน “ต้องมีสิ่งอื่นซุกซ่อนอยู่เป็นแน่ แค่เลือกผู้นำใหม่นั้นเป็นไปไม่ได้หรอก”
เย่เทียนฉวีตะลึงไป และกล่าวว่า “ข้าเองก็ฉงนใจ แต่ไม่อาจเดาหาเหตุผลได้ ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจนำ ‘ลัญจกรหยกบรรพชน’ มายังเมืองเทียนหยาเพื่อไปถามหาเหตุผลกับผู้อาวุโสแห่งสายตระกูลหลัก”
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อ “ยิ่งกว่านั้น เผ่าข้าจะจัดการประชุมขึ้นในวันที่สิบห้าเดือนแปด ซึ่งห่างออกไปไม่ถึงเดือนแล้ว ตามกฎของเผ่า หากข้าไม่เข้าร่วมมันด้วยตนเอง จะเท่ากับข้าเห็นด้วยกับการเลือกผู้นำใหม่โดยปริยาย นี่ไม่ใช่เรื่องดีเลย”
ซูอี้กล่าว “นี่อาจเป็นเหตุผลที่ว่าไฉนเจ้าจึงถูกลอบฆ่าระหว่างทาง”
เย่เทียนฉวีกล่าวอย่างขมขื่น “ข้าก็กะแล้วว่าสิ่งนี้ต้องเกิด ดังนั้นข้าจึงไม่กล้าใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังเมืองเทียนหยาด้วยกลัวว่าจะถูกขัดระหว่างทาง”
“ทว่า ข้าไม่คาดเลยว่ายามอยู่บนเรือล่องสำราญหอเมฆา บุตรชั่วของข้าจะทำให้เรื่องของเรารั่วไหล…”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เขาก็ดูทุกข์ใจรวดร้าว
ซูอี้ลูบคางพล่างกล่าว “บอกข้าทีว่าผู้อาวุโสสูงสุดที่สาม เย่ตงเหอเป็นตัวการเบื้องหลังเรื่องนี้หรือไม่?”
เย่เทียนฉวีเงียบไปครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “เป็นไปได้”
ซูอี้เลิกคิดต่อ
เรื่องภายในเผ่าใหญ่นั้นซับซ้อนเสียจนคนในเยี่ยงเย่เทียนฉวียังไม่รู้กระจ่าง แล้วคนนอกเยี่ยงเขาเล่า?
สำหรับซูอี้ การแก้ปัญหานี้ง่ายนิดเดียว
แค่มองหาตัวการให้เจอระหว่างการประชุมเผ่าปีศาจงู และจัดการซะก็เท่านั้น
บางครั้ง ยิ่งเรื่องราวซับซ้อน ยิ่งต้องทะลวงผ่านความยุ่งเหยิง!
“แล้วเจ้าเล่า ในฐานะจักรพรรดิแห่งเผ่าปีศาจไก่ฟ้าโลหิต ไฉนจึงมาล่าสังหารคนจากเผ่าปีศาจงู? หรือจะได้รับคำสั่งจากคนใหญ่คนโตในเผ่าปีศาจงูหรือไร?”
ซูอี้มองไปทางสตรีในชุดกระโปรงสีดำผู้คู้ตัวอยู่
เห็นได้ชัดว่าสตรีในชุดกระโปรงสีดำสงบสติลงแล้ว นางก้มหัวลงพูดเสียงแหบ “เผ่าปีศาจงูไม่อาจฝืนให้ข้าทำงานให้พวกเขาหรอก”
ซูอี้กล่าวอย่างแปลกใจ “แล้วใครเล่าที่สั่งให้เจ้ามา?”
สตรีผู้นั้นเงียบไปครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าสหายเต๋าเป็นผู้ใด แต่ก็อยากเตือนสหายเต๋าไว้ว่าเรื่องของเผ่าปีศาจงูพัวพันซับซ้อน หากเข้าไปยุ่งเกี่ยว เจ้าจะถูกฆ่า!”
กล่าวถึงตรงนี้ นางก็เงยหน้าซีดขาวของนางมากล่าวต่ออย่างสุขุม “นี่ไม่ใช่คำขู่ แต่เป็นความจริง”
เย่เทียนฉวีและถูยงรู้สึกหนาวเยือกในใจ เรื่องของเผ่าปีศาจงูพัวพันซับซ้อนเพียงไร? เหตุใดจึงทำให้จักรพรรดิผู้หนึ่งจากเผ่าปีศาจไก่ฟ้าโลหิตต้องออกคำเตือนมาเช่นนี้?
ทว่าซูอี้กลับทำหูทวนลม และกล่าวอย่างไม่แยแส “ตอบคำถามข้า”
เซี่ยงเถียนตะลึงไป ก่อนจะหัวเราะเยาะตนเอง “นั่นสินะ ขุนศึกพ่ายสงครามเช่นข้า เตือนไปจะมีประโยชน์อันใด? ในเมื่อเจ้าดึงดันนำตัวเองมายุ่งเกี่ยว ก็เอาสิ ข้าจะบอกเจ้าให้”
กล่าวจบ นางก็สูดหายใจลึก ๆ และกล่าวว่า “ครั้งนี้ ข้าลงมือภายใต้คำสั่งของเจียงอิ้งหลิ่ว ศิษย์ลำดับสี่ของผู้นำพันธมิตรเสวียนจวิน ผีหมัว!”
“ไฉนจึงเป็นนางไปได้?!”
เย่เทียนฉวีแปรสีหน้าโดยสมบูรณ์
“เจียงอิ้งหลิ่ว…”
ซูอี้จำได้ว่ายามที่เขาจัดการกับเถาเชียนชิวที่นอกเมืองตาข่ายม่วง อีกฝ่ายได้พูดบางอย่าง
เมื่อสามร้อยหกสิบปีก่อน ผีหมัวส่งศิษย์หกคนใต้บัญชามายังภูมิมืดมิดพร้อมด้วยผู้ฝึกตนจากสำนักหกมหาวิถี
ในหมู่พวกเขา เถาเชียนชิวซึ่งเป็นศิษย์ลำดับที่เจ็ดของผีหมัวได้นำยอดฝีมือจาก ‘โถงดาบเทียบเทวะ’ ซึ่งเป็นหนึ่งในสำนักหกมหาวิถีมาประจำการในสำนักนภายมโลก
และศิษย์ลำดับที่สี่ของผีหมัว เจียงอิ้งหลิ่วก็นำยอดฝีมือจาก ‘หอดาบฟ้าดิน’ หนึ่งในสำนักหกมหาวิถีเช่นกันมาประจำอยู่ในเผ่าปีศาจงู!
ทีแรกเมื่อได้ข่าวนี้ ซูอี้ก็อดแผ่จิตสังหารในใจไม่ได้
เพราะเมื่อนานมาแล้ว ขุมอำนาจใหญ่ต่าง ๆ ในภูมิมืดมิดต่างรู้ว่าเย่น้อยจากเผ่าปีศาจงูมีมิตรภาพแน่นแฟ้นมากกับเขา ซูเสวียนจวิน!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าผีหมัวก็ทราบเรื่องนี้ก่อนจะส่งเจียงอิ้งหลิ่วมาคุมเผ่าปีศาจงู
จุดประสงค์นั้นชัดเจนในตัว นั่นก็คือตรวจสอบข่าวเกี่ยวกับเขาจากเผ่าปีศาจงู!
ทว่ายามนี้ เมื่อเกิดเหตุขัดแย้งภายในเผ่าขึ้น เจียงอิ้งหลิ่วซึ่งเป็นคนนอกกระทั่งเข้ามาพัวพัน และส่งจักรพรรดิแห่งเผ่าปีศาจไก่ฟ้าโลหิตให้มาไล่ล่าเย่เทียนฉวี
นี่ย่อมหมายความว่าศิษย์ลำดับที่สี่ของผีหมัวเห็นด้วยกับการเลือกผู้นำเผ่าปีศาจงูใหม่!
และนางต้องมีแผนอื่นในการทำเช่นนั้น!
“ดูเหมือนว่ากุญแจของเหตุการณ์นี้จะอยู่ที่ ‘ลัญจกรหยกบรรพชน’ ทั้งสี่แห่งเผ่าปีศาจงู ไม่ก็ตำแหน่งผู้นำเผ่า!”
ดวงตาของซูอี้วูบไหว เขาพอจะเดาได้แล้วว่าสิ่งใดคือหลักสำคัญซึ่งนำมาสู่พายุในเผ่าปีศาจงูขณะนี้
“ดูเหมือนว่าสหายเต๋าจะรู้ว่าใต้เท้าผีหมัวคือทายาทของผู้ใด ดังนั้นเจ้าก็ควรรู้ว่าหากเจ้าเข้ามาพัวพันกับความขัดแย้งนี้ เจ้าจะมิเพียงล่วงเกินเผ่าปีศาจงูส่วนใหญ่ แต่ยังรวมถึงใต้เท้าผีหมัวด้วย!”
สีหน้าของเซี่ยงเถียนเยือกเย็นลงเรื่อย ๆ “สหายเต๋าคงไม่อยากเห็นผลลัพธ์เช่นนั้นใช่หรือไม่?”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “เจ้าผิดแล้ว จุดประสงค์ที่ข้าเดินทางไปยังเผ่าปีศาจงูครั้งนี้มีเพียงหนึ่ง และบังเอิญว่านั่นคือการไปหาเจียงอิ้งหลิ่วผู้นี้พอดี”
สตรีในชุดกระโปรงสีดำเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ
กระทั่งร่างของเย่เทียนฉวีและถูยงยังแข็งทื่อ ตื่นตะลึงกับวาจาของซูอี้