บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 873: เจียงอิ้งหลิ่ว
ตอนที่ 873: เจียงอิ้งหลิ่ว
ช่างน่ากระอักกระอ่วนที่จะพูด ทว่ายามนี้เย่เทียนฉวีและถูยงยังไม่ได้ทราบถึงตัวตนของซูอี้
กระทั่งชื่อยังไม่อาจทราบ
ลึก ๆ ในใจเขา เขาถืออีกฝ่ายเป็นเพียงคนประหลาดที่บังเอิญได้พานพบซึ่งมีฝีมือร้ายกาจยากหยั่งถึง
ทว่าทั้งคู่ไม่คาดเลยว่าชายหนุ่มชุดเขียวผู้นี้จะกำลังไปเผ่าปีศาจงูของพวกเขา และยังไปหาเจียงอิ้งหลิ่วด้วย!
เขาจะไปทำอันใดในเผ่าปีศาจงู?
มีจุดประสงค์อันใดที่ไปหาเจียงอิ้งหลิ่ว?
ความเคลือบแคลงปรากฏขึ้นในใจของเย่เทียนฉวีและถูยงข้อแล้วข้อเล่า
ยามนี้เอง พวกเขาจึงตระหนักว่าชายหนุ่มชุดเขียวตรงหน้านี้ไม่ใช่เพียงคนผ่านทางซึ่งบังเอิญถูกลากมาพัวพัว แต่เขามีจุดประสงค์อื่น!
“เจ้า… เจ้าจะไปสู้กับเจียงอิ้งหลิ่วหรือ?”
สตรีในชุดกระโปรงสีดำตะลึงอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาของนางเบิกกว้าง
“สู้?”
ซูอี้ผู้กำลังทอดร่างบนเก้าอี้หวายกล่าวอย่างเหม่อลอย “นาง… ไร้คุณสมบัติ”
สตรีในชุดกระโปรงสีดำตะลึงเงียบกริบโดยสมบูรณ์
เย่เทียนฉวีและถูยงมองหน้ากัน แล้วก็อดสูดหายใจเฮือกไม่ได้
เจียงอิ้งหลิ่ว!
ศิษย์ของผู้นำพันธมิตรเสวียนจวินแห่งเก้ามหาแดนดิน ผีหมัว!
แค่จากฐานะนี้ ในภูมิมืดมิดปัจจุบัน ขุมกำลังใหญ่ใดบ้างจะไม่ยำเกรง?
ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่เจียงอิ้งหลิ่วก็เป็นจักรพรรดิผู้หนึ่งด้วย!
นางมีระดับการฝึกฝนอยู่ในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นกลาง และบรรพชนของนางก็คือปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินผู้ใช้หนึ่งดาบยืนค้ำสวรรค์
จักรพรรดิผู้มีที่มาเช่นนี้ ใครเล่าจะกล้าต่อต้าน?
จริงอยู่ที่ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินจากไปเมื่อห้าร้อยปีก่อน แต่แค่อำนาจขุมกำลังใหญ่เช่นพันธมิตรเสวียนจวินโดยลำพังก็พอให้จักรพรรดิหวาดกลัวได้แล้ว!
ทว่ายามนี้ ชายหนุ่มผู้หนึ่งในขอบเขตวงล้อวิญญาณกลับกล่าวอย่างดูแคลนว่าเจียงอิ้งหลิ่วไร้คุณสมบัติต่อกรกับเขา ช่าง… ใจกล้า?
หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ความแข็งแกร่งของซูอี้ในการต่อสู้ครั้งก่อนนั้นแข็งแกร่งเกินไป พวกเย่เทียนฉวีคงสงสัยว่าชายหนุุ่มตรงหน้าเขาแค่ไม่รู้เรื่องราวและไร้ความกลัว ไม่รู้ว่าเจียงอิ้งหลิ่วเป็นตัวตนอันสูงส่งทรงพลังเพียงไร!
ครู่ต่อมา เซี่ยงเถียนก็อดกล่าวไม่ได้ว่า “เจ้า… แน่ใจหรือว่าเข้าใจความแข็งแกร่งและพื้นเพของเจียงอิ้งหลิ่วแล้ว?”
เห็นเช่นนี้ เย่เทียนฉวีเองก็กล่าวเสียงเบา “สหายเต๋า ฐานะของแม่นางเจียงอิ้งหลิ่วพิเศษและสูงส่งยิ่ง แม้นางจะอยู่ในเผ่าปีศาจงูของเรา แต่นางก็ยังมีสถานะสูง นาง…”
ซูอี้ขมวดคิ้วกล่าว “นางตายแน่”
เย่เทียนฉวี “…”
ซูอี้ยิ้ม และกล่าวราวเพิ่งนึกได้ “ลูกชายเจ้าหลงใหลสตรีนางนี้ และนางก็สัญญาจะเป็นคู่วิถีกับลูกเจ้า ข้าสงสัยว่าเจ้าจะเต็มใจหรือไม่?”
“อ่า นี่…”
เย่เทียนฉวีตะลึงอึ้ง
สตรีในชุดกระโปรงสีดำดูตะลึงราวถูกสายฟ้าฟาด และกล่าวด้วยมิอาจสงบใจ “มันก็แค่กลลวงในการฆ่าคน ไฉนจึงต้องหยามเกียรติข้าเช่นนี้?”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยชา “แม้ว่าเย่ป๋อเหิงจะโง่ไปหน่อย แต่เขาก็ยังคู่ควรกับเจ้านะ เจ้าทำให้เขาหลง ทั้งยังสัญญาจะเป็นคู่วิถีกับเขา ไฉนเลยจึงมองว่านี่คือการหยามเกียรติ? เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าเป็นจักรพรรดิแล้วจะสูงส่งดูแคลนสรรพชีวิตอื่น ๆ ได้?”
สตรีในชุดกระโปรงสีดำร่างสั่น และกล่าวด้วยสีหน้าหม่นหมอง “นั่นมันอุบายชัด ๆ จะมองเป็นจริงเป็นจังไม่ได้!”
ซูอี้พยักหน้ากล่าว “อุบายอันล้อเล่นกับหัวใจผู้คนนั้นไม่อาจมองเป็นจริงเป็นจังได้ แล้วเจ้าคิดว่าในฐานะเชลย จะเกิดสิ่งใดขึ้นกับเจ้า?”
สตรีในชุดกระโปรงสีดำหนาวเยือก นางตระหนักแล้วว่าบางสิ่งผิดแปลก จึงกล่าวว่า “หากสหายเต๋าไว้ชีวิตข้า ข้าจะชดใช้ด้วยทุกสิ่งที่เป็นไปได้!”
ซูอี้กล่าว “หากเจ้าเต็มใจเป็นคู่วิถีกับเย่ป๋อเหิง เจ้าจะรอดตาย”
สตรีในชุดกระโปรงสีดำ “…”
ใบหน้าของนางคล้ำดำ ความคิดแผดเผาในหัว จากนั้นครู่หนึ่งจึงกัดฟันพูด “งั้น… ข้าตายดีกว่า!”
ซูอี้หันไปกล่าวกับเย่เทียนฉวีว่า “เมื่อบุตรเจ้าตื่น เล่าเรื่องเมื่อครู่ให้เขาฟังนะ ข้าเชื่อว่าครานี้เขาจะตาสว่างและเปลี่ยนใจได้”
เย่เทียนฉวีพยักหน้าด้วยสีหน้าซับซ้อน
“แล้วก็หากเชื่อใจข้า เจ้าสามารถส่งลัญจกรหยกบรรพชนมาฝากไว้ที่ข้าก่อนได้ แต่หากไม่ก็มิเป็นไร เพราะท้ายที่สุด ข้าก็จะไปยังเผ่าปีศาจงูของเจ้าอยู่แล้ว”
ซูอี้กล่าว “เจ้าตัดสินใจเองแล้วกัน ไปเถอะ”
กล่าวจบ เขาก็ยืดร่างนอนสบายอยู่บนเก้าอี้หวาย เหม่อมองธารคราม อาบแสงอบอุ่นจากนภา แว่วฟังเสียงฝูงสกุณาบินร่อน และเสียงเสียดสีของต้นกกกลางวายุ
เย่เทียนฉวีเงียบอยู่นาน
และสุดท้ายเขาก็กล่าวถาม “สหายเต๋า ข้าขอบังอาจถามได้หรือไม่ว่าท่าน… เป็นศัตรูหรือมิตร?”
ซูอี้กล่าวลอย ๆ “ข้าก็ไม่เห็นด้วยกับการเลือกผู้นำเผ่าปีศาจงูคนใหม่เหมือนเจ้า”
เย่เทียนฉวีได้ยินเช่นนั้น เขาก็สูดหายใจลึก ๆ และกระซิบถูยง “ส่งสมบัตินั่นให้สหายเต๋า”
ถูยงหยิบกล่องหยกใบหนึ่งจากแขนเสื้อส่งให้ซูอี้ “ขอสหายเต๋าเก็บมันไว้”
ซูอี้เปิดกล่องหยก และพบว่ามีลัญจกรหยกขนาดประมาณสองช่วงกำปั้นหนึ่งชิ้น มันเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมและมีสีดำ เหนือลัญจกรเป็นโคมบงกชประหลาดอันมีไส้โคมดุจงู
สิ่งนี้ส่องประกายแวววาว ให้ความรู้สึกเปี่ยมมนตร์ขลังแห่งกาลเวลา และแสงจาง ๆ ที่ปรากฏในโคมบงกชนั้นทั้งดูเรียบง่ายและลึกลับ
“มีอำนาจประหลาดสลักอยู่ในของชิ้นนี้ มันมีจุดประสงค์อื่นในการใช้งานหรือไม่?”
ซูอี้ถาม
เย่เทียนฉวีครุ่นคิดสักพัก และกล่าวว่า “ในคำสอนของเผ่าข้าแต่โบราณ กล่าวไว้ว่ายามเมื่อเผ่าพบวิกฤตอันไม่อาจแก้ ก็ให้รวมลัญจกรหยกทั้งสี่เพื่อปัดเผ่าอันตราย ส่วนการใช้งานอื่น ๆ นั้น ข้าไม่อาจทราบ”
ซูอี้แค่นเสียงหึ จากนั้นเก็บกล่องหยกไปพลางลุกจากเก้าอี้หวาย “เมื่อเรื่องในเผ่าปีศาจงูของเจ้าจบลง ข้าจะคืนให้”
เห็นได้ชัดว่าเย่เทียนฉวีโล่งอก
“ส่วนเจ้า…”
ซูอี้กหันมองสตรีในชุดกระโปรงสีดำ “ฆ่าเจ้าไปตอนนี้คงน่าเสียดาย”
สตรีในชุดกระโปรงสีดำแววตาวูบไหว กล่าวทันทีราวฉวยโอกาส “ขอสหายเต๋าเมตตาด้วย!
“เมื่อถึงเมืองเทียนหยา ข้าจะให้โอกาสเจ้าไถ่บาป”
ซูอี้ดีดนิ้ว
ตู้ม!
จากนั้นนางก็สลบไปทันที
“ไปเผ่าปีศาจงูของพวกเจ้ากัน”
ซูอี้มองไปไกลพลางกล่าวอย่างสบายอารมณ์
…
เมืองเทียนหยา
เมืองใหญ่ชั้นนำอันรุ่งเรืองแห่งเผ่าจัตุรัสผี
เมืองแห่งนี้คือแดนบรรพชนของเผ่าปีศาจงู
ลือกันว่าสาเหตุที่เมืองนี้มีนามว่า ‘เทียนหยา’ นั้นเกี่ยวพันกับ ‘โคมสงบวิญญาณเทียนหยา’ ซึ่งเป็นสมบัติประจำเผ่าปีศาจงู
เมืองเทียนหยานั้นกว้างใหญ่ยิ่งนัก มิได้มีเพียงถนนตรอกซอยและอารามมากมาย แต่ยังมียอดเขาหลายสิบ และลำธารกว้างกระจายอยู่ตามที่ต่าง ๆ ทั่วไปหมด!
และยามนี้ ณ อารามอันโอ่โถงแห่งหนึ่ง ณ ยอดเขามีนามว่า ‘เพลิงปฐพี’
สตรีผู้หนึ่งในอาภรณ์สีแดงผู้มีเส้นผมสยายดำดุจน้ำตกนั่งอยู่บนเก้าอี้ประธาน
ลำคอระหงของนางขาวดุจหิมะ ผิวกระจ่างใส รูปลักษณ์ของนางสง่างามมีเสน่ห์ ขณะนี้นางกำลังใช้นิ้วเรียวขาวลูบไปบนดาบโบราณเล่มหนึ่งเบา ๆ
ดาบโบราณเล่มนี้ยาวสองจั้ง เป็นสีดำสนิทเยี่ยงหมึก และที่ด้ามสลักอักษร ‘สิ้นพยายาม’
พยายามออกวิชาดาบใด ๆ ไปก็ไร้ผล*[1] ดาบนี้สมชื่อของมัน
สตรีนางนั้นมองดาบโบราณด้วยแววตารักใคร่
นี่คือดาบวิถีที่อาจารย์ของนางมอบให้ และเป็นหนึ่งในดาบเลื่องชื่อมากมายที่บรรพชนของนางสะสมเอาไว้!
“จะว่าไป… ‘เซี่ยงเถียน’ แห่งเผ่าปีศาจไก่ฟ้าโลหิตยังไม่กลับมาอีกหรือ?”
นางพลันถามเสียงเบาราวเพิ่งนึกได้ เสียงของนางก้องไปทั่วอารามโบราณอันว่างเปล่านี้ราวธารใสรินไหลในหุบเขาว่างเปล่า
“รายงานใต้เท้า เซี่ยงเถียนยังไม่มีข่าวคราวใด ๆ กลับมาขอรับ”
ณ นอกอาราม ชายผู้มีรูปลักษณ์โดดเด่นในชุดอันขาวเกินหิมะพลันปรากฏกาย และโค้งตัวมาทางนาง
“แค่ชิงสมบัติจากผู้อาวุโสในขอบเขตวงล้อวิญญาณผู้หนึ่งในเผ่าปีศาจงู ด้วยวิธีการของนาง แค่ปลายนิ้วแตะก็ได้มาแล้ว ไฉนเลยจึงยังไร้ข่าวคราว?”
สตรีผู้นั้นงุนงงเล็กน้อย
ชายชุดขาวกล่าวเสียงเบา “ใต้เท้าต้องการให้ข้าน้อยไปตรวจสอบเองหรือไม่?”
สตรีนางนั้นครุ่นคิด เก็บดาบโบราณตรงหน้านางไป และกล่าวว่า “ไม่ต้องหรอก ไม่ว่าเซี่ยงเถียนจะทำสำเร็จหรือไม่ ขอเพียงลัญจกรหยกบรรพชนชิ้นนั้นมาปรากฏในการประชุมเผ่าปีศาจงู ณ วันที่สิบห้าเดือนแปดได้ก็พอแล้ว”
หลังเงียบไปครู่หนึ่ง นางก็มองไปทางชายชุดขาวที่นอกอาราม “เจ้าส่งข้อความหาผู้อาวุโสหวงแห่งหอดาบฟ้าดิน บอกเขาให้ไปเผ่าปีศาจงูด้วยกันกับข้าในวันที่สิบห้าเดือนแปด”
“ขอรับ!”
ชายชุดขาวรับคำสั่งและหันหลังจากไป
สตรีนางนั้นนั่งเพียงลำพัง มองแสงสว่างเฉิดฉายนอกโถงหลักพลางพึมพำ “ท่านอาจารย์ ในที่สุดข้าก็พบความลับหนึ่ง ปรากฏว่าบรรพชนเราเคยทิ้ง ‘ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์’ ไว้ในเผ่าปีศาจงูนี้!”
เมื่อกล่าวถึงคำว่า ‘ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์’ นัยน์ตาพร่างดาวของสตรีผู้นี้ก็เปี่ยมความบ้าคลั่งตื่นเต้นอย่างไม่อาจควบคุม
นี่คือดาบวิถีซึ่งครั้งหนึ่งเคยปกครองสวรรค์สะท้านยุค ดาบวิถีสูงสุดซึ่งทำให้เหล่าจักรพรรดิทั่วโลกาต้องก้มหัว!
และยังเป็นดาบที่บรรพชนภาคภูมิที่สุดในชั่วชีวิตนี้!
“สมบัติของบรรพชนข้าจะทิ้งไว้ในเผ่าปีศาจงูได้เช่นไร? ข้าเจียงอิ้งหลิ่วจะสมบัตินี่กลับไปเอง!”
ในดวงเนตรของหญิงสาวปรากฏความมุ่งมั่น
[1] ชื่อของดาบเล่มนี้ (不工) มาจาก 重剑无锋,大巧不工 (เมื่อดาบหนักไร้คม พยายามออกวิชาดาบใดไปก็ไร้ผล)