บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 874: เถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋น
ตอนที่ 874: เถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋น
สองวันถัดมา
ยามโพล้เพล้
นอกประตูเมืองเทียนหยาอันสูงตระหง่าน
ซูอี้ยืนเอามือไพล่หลัง ขณะทอดมองกำแพงเมืองโบราณจากระยะไกล และอดนึกถึงสตรีผู้หนึ่งไม่ได้
ดวงตาและคิ้วของนางหยีโค้ง สวมมงกุฎบงกช อาภรณ์ขนนกกระเรียน ถือโคมบงกชยืนเดียวดายในความมืด ไม่อาจซุกซ่อนความสง่างามอันไร้ผู้เปรียบได้
ครู่ต่อมา ซูอี้ก็ส่ายหน้า
“สหายเต๋าวางแผนจะไปเผ่าของข้ายามใดหรือ?”
เย่เทียนฉวีอดถามไม่ได้
“เมื่อถึงกาลสมควร”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย
ในอีกสิบวัน การประชุมเผ่าปีศาจงูจะบังเกิด ก่อนหน้านั้นซูอี้ตั้งใจจะไปหาข่าวคราวก่อน แล้วจึงเลือกหาโอกาสไปเยือนเผ่าปีศาจงู
“กลับไปครานี้ เจ้าควรระวังตน”
ซูอี้ย้ำเตือน
เย่เทียนฉวีกล่าวยิ้ม ๆ “ในเผ่าปีศาจงูของข้า การให้คนในเผ่าฆ่ากันเองเป็นข้อห้าม ขอเพียงข้าเข้าไปในเมืองเทียนหยา จะไม่มีผู้ใดกล้าสังหารข้า”
ซูอี้กล่าวอย่างไม่แยแส “แม้จะฆ่าเจ้าไม่ได้ แต่ใส่ความให้เจ้าเป็นคนบาปและขังเจ้าไว้ก็ได้นี่”
ดวงตาของเย่เทียนฉวีหรี่ลงเล็กน้อย ขณะสูดลมหายใจลึก ๆ และกล่าวว่า “ต่อให้ขังข้าไว้ ข้าก็จะไม่มีวันเห็นด้วยกับการเลือกผู้นำเผ่าใหม่!”
ซูอี้ครุ่นคิด และกล่าวว่า “ในช่วงนี้ ข้าจะอาศัยใน ‘หอเสียงอวิ๋น’ ทางทิศตะวันตกของเมือง หากมีปัญหาก็มาหาข้าได้”
เย่เทียนฉวีกล้าให้ลัญจกรหยกบรรพชนแก่เขาซึ่งเป็นคนนอกด้วยเชื่อใจ
และเขาจะไม่มีวันทรยศความเชื่อใจนั้น
ต่อมา ซูอี้ก็เดินไปยังเมืองเทียนหยา และหายลับไปในฝูงชนในเวลาไม่นาน
“ใต้เท้า ท่าน… เชื่อมั่นจริง ๆ หรือว่าคุณชายซูอี้ผู้นั้นจะเก็บลัญจกรหยกของบรรพชนไว้?”
ถูยงถามเสียงเบา
คนถูกถามเงียบไปครู่หนึ่ง จึงถามว่า “หากไร้สหายเต๋าซู เราจะรอดชีวิตมาถึงเมืองเทียนหยาหรือ?”
ถูยงตกใจ
ทว่าเย่เทียนฉวีเดินเข้าไปยังประตูเมืองแล้ว
…
ทางทิศประจิมของเมือง
หอเสียงอวิ๋นเป็นโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเทียนหยาเมื่อนานมาแล้ว
กล่าวกันว่าต้นตระกูลเถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นเคยมีนักดาบซึ่งแข็งแกร่งยิ่งในขอบเขตจักรพรรดิ และใช้เพียงหนึ่งดาบฆ่าฟันสัตว์ปีศาจมากมาย
ไม่ว่าข่าวลือจะเป็นจริงหรือไม่ แต่หอเสียงอวิ๋นก็เป็นโรงเตี๊ยมอันเก่าแก่โบราณยิ่ง
มันเก่าแก่จนผู้เฒ่าผู้แก่บางคนยังจำไม่ได้ว่าโรงเตี๊ยมนี้ปรากฏขึ้นในเมืองเทียนหยานับแต่เดือนปีใด
ทุกวันนี้ หอเสียงอวิ๋นนับได้ว่าเป็นโรงเตี๊ยมซึ่งปลอดภัยที่สุดในเมืองเทียนหยา
แม้จะเกิดหายนะร้ายกาจขึ้น แต่ขอเพียงเข้าประตูหอเสียงอวิ๋นมาและได้เปิดห้องพักในที่แห่งนี้ ก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับอันตรายใด
ในอดีตเคยมีปีศาจร้ายทะนงตนซึ่งบาดหมางกับเผ่าปีศาจงูและถูกประกาศจับไปทั่วเมืองตนหนึ่ง ทว่าหลังจากเข้ามาเป็นแขกของหอเสียงอวิ๋น ขุมกำลังจากเผ่าปีศาจงูก็อพยพลี้ไป
ทว่าท้ายที่สุด เจ้าปีศาจตนนี้ก็ถูกเผ่าปีศาจงูจับได้อยู่ดี
เหตุผลนั้นแสนง่าย เพราะห้องในโรงเตี๊ยมแพงเกินไป
หลังจากซุกซ่อนอยู่ในหอเสียงอวิ๋นมาครึ่งเดือน เจ้าปีศาจนี่ก็ถูกหอเสียงอวิ๋นถีบออกเพราะไม่อาจจ่ายค่าห้องได้…
ค่าเช่าห้องในหอเสียงอวิ๋นก็ผันผวนยิ่งนัก
หากเถ้าแก่อารมณ์ดี เขาจะไม่คิดเงินสักแดง
หากเถ้าแก่ไม่สบอารมณ์ อ้าปากที ราคาที่คิดก็จะทะลวงเวหา
แน่นอนว่าปกติแล้ว ราคาค่าห้องก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนทั่วไปเอื้อมถึง
เพราะห้องพักแขกทั่วไปมีราคาอยู่ที่หินวิญญาณขั้นแปดจำนวนแปดร้อยแปดสิบแปดก้อน!
นี่คือราคาที่ทำให้แม้แต่ผู้ฝึกตนที่ร่ำรวยในขอบเขตวงล้อวิญญาณเจ็บปวดรวดร้าวได้ ดังนั้นในช่วงไม่กี่ปีมานี้ กิจการของหอเสียงอวิ๋นจึงเงียบมาก
เมื่อยามรัตติกาลใกล้เยื้องกราย แสงสว่างเริ่มเคลื่อนคล้อยลงต่ำนั้นเอง
เถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นนั่งเดียวดายอยู่ที่โต๊ะ ขณะยกไหสุราขึ้นจิบครั้งแล้วครั้งเล่า
เขามีรูปร่างปานกลาง สวมชุดสีเทาเก่า ๆ ใบหน้าชราวัยซูบตอบ สีหน้าไร้อารมณ์เฉยเมย
ในโถงอันกว้างใหญ่ของชั้นแรกมีแขกเพียงสองคน
หนึ่งหญิงสาวหนึ่งชายวัยกลางคนต่างสวมอาภรณ์งามสง่า มองปราดเดียวก็บอกได้ว่ามีประสบการณ์ชีวิตเหนือธรรมดา
ชายวัยกลางคนลังเลอยู่นาน จนสุดท้ายก็ลุกขึ้นมาที่โต๊ะเถ้าแก่
สีหน้าของเขาจริงจังนอบน้อม กุมกำปั้นกล่าวกับเถ้าแก่หอเสียงอวิ๋นว่า “ข้า ‘เย่จื่อซาน’ จากตระกูลหลักเผ่าปีศาจงู คารวะผู้อาวุโส”
เถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นกล่าวอย่างเฉยเมย ไม่แม้แต่จะปรือตาขึ้นมอง “อย่าพูดเกี่ยวกับปัญหาเผ่าในเจ้าให้ข้าฟัง”
เสียงของเขาเฉยเมย ไร้การเปลี่ยนแปรความรู้สึกใด
สีหน้าของชายวัยกลางคนนามเย่จื่อซานแปรเปลี่ยนเล็กน้อย แต่ก็ยังทำใจกล้าพูด “ผู้อาวุโส แม้ข้าจะทำให้ท่านไม่ชอบใจ ทว่าข้าก็ยังต้องวอนขอให้ท่านลงมือช่วยตระกูลข้าด้วยขอรับ!”
เถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นขมวดคิ้วเล็กน้อย จิบสุราในไหและกล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องของเผ่าเจ้า ไม่ใช่เรื่องการบุกรุกของศัตรูภายนอก เจ้าควรแก้ไขกันเอง”
สีหน้าของเย่จื่อซานเปลี่ยนไปเล็กน้อย ขณะกล่าวอย่างขมขื่น “ผู้อาวุโสไม่รู้อันใด ผู้อาวุโสสูงสุดที่สามของเผ่าข้าร่วมมือกับเจียงอิ้งหลิ่ว ศิษย์ของผีหมัวและอยากเลือกผู้นำเผ่าเราใหม่ในวันที่สิบห้าเดือนแปด เจตนาทะเยอทะยานสูงส่ง และผลที่ตามมาก็เกินคาดคิด”
“ศิษย์ของผีหมัว?”
เถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นพึมพำกับตนเอง
ครู่ต่อมา เขาก็ส่ายหัวน้อย ๆ พลางกล่าวว่า “ข้าบอกแล้ว ข้าจะไม่เข้าพัวพันกับเรื่องนี้”
วาจาของเขาเฉยเมยเย็นชา
เย่จื่อซานดูโศกเศร้าราวเสียกำลังวังชาทั้งหมด กล่าวอย่างไม่เต็มใจว่า “รบกวนผู้อาวุโสแล้ว”
จากนั้น เขาก็นั่งกลับลงไปที่โต๊ะ และกล่าวกับหญิงสาวด้วยเสียงเบา
ไม่นานนัก หญิงสาวก็แสดงสีหน้าสิ้นหวัง
“ใครขอให้เจ้ามาขอให้ข้าลงมือ?”
ทันใดนั้น ไกลออกไปที่โต๊ะคิดเงิน เจ้าของหอเสียงอวิ๋นก็กล่าวด้วยสายตาเย็นชา
หญิงสาวรีบลุกขึ้นกล่าวทันที “สมัยข้ายังเด็ก ผู้น้อยเคยได้ยินจากบรรพชนว่าผู้อาวุโสเป็นยอดฝีมือเร้นกาย มีอำนาจทะลวงสวรรค์ถล่มปฐพี และมีความสัมพันธ์พิเศษกับตระกูลเรา ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจโดยพลการและมาขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสกับอาของข้า”
หญิงสาวสวมอาภรณ์สีดำ ใบหน้างดงาม ร่างสูงสง่า และกิริยาของนางก็สง่าสมควร
ทว่าใบหน้าของนางกลับแฝงความกังวล
เถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นถามอีกครั้ง “บรรพชนที่เจ้าพูดถึงคือผู้ใด?”
หญิงสาวในอาภรณ์สีดำสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวว่า “นามของบรรพชนข้าคือเย่อวี๋ ทุกคนเรียกขานนางเป็นจักรพรรดิวิญญาณหยาดสวรรค์!”
ท่าทีของเถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นเย็นชาเฉยเมย ทว่าในดวงตากลับปรากฏร่องรอยความสับสนเล็กน้อยที่ไม่อาจสังเกตเห็น
เขากล่าวทันทีด้วยเสียงเฉยชา “บรรพชนของเจ้าจะไม่ตาย และเมื่อนางกลับมา นางจะสยบทุกความขัดแย้งในเผ่าปีศาจงูของเจ้า”
หญิงสาวชุดดำตกใจ กล่าวอย่างกระวนกระวาย “แต่เมื่อเกิดการเลือกผู้นำเผ่าคนใหม่ จากกฎเผ่า แม้บรรพชนจะกลับมาก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้แล้วนะเจ้าคะ”
หลังชะงักไป นางก็กล่าวต่อ “อีกประการ เราสงสัยว่าเหตุครานี้มีสิ่งอื่นแอบแฝง เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสสูงสุดที่สามและเจียงอิ้งหลิ่ววางแผนทำอะไรบางอย่างอยู่ และเมื่อเกิดหายนะนี้ขึ้น มันจะไม่อาจแก้ไขได้อีกต่อไปนะเจ้าคะ”
หลังได้ยินเช่นนี้ เถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นก็กล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน “หากไม่มีธุระอื่นก็ไปเสีย”
เขาหยิบไหสุราออกมาดื่มเงียบ ๆ
เห็นเช่นนี้ สตรีในชุดกระโปรงสีหมึกก็ดูราวเสียวิญญาณ
เย่จื่อซานผู้อยู่ข้างกายนางอดถอนหายใจไม่ได้
ในเผ่าปีศาจงูทุกวันนี้ อำนาจสายตระกูลหลักของพวกเขาอ่อนลงโดยสมบูรณ์
แน่ใจได้ว่าในการประชุมเผ่าวันที่สิบห้าเดือนแปด สายตระกูลหลักไร้หนทางในการหยุดการเลือกผู้นำเผ่าคนใหม่โดยลำพัง!
บรรยากาศหม่นหมองไปชั่วขณะ
ทันใดนั้นเอง ชายหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่งก็เดินเข้ามา
เขาไพล่มือไว้เบื้องหลัง กิริยาเอ้อละเหย ดวงตากวาดมองเถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นผู้นั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ และหันมองเย่จื่อซานกับสตรีในชุดกระโปรงสีหมึกซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกล
แล้วเขาก็เดินตรงไปถามว่า “เย่อวี๋เป็นบรรพชนของตระกูลเจ้าหรือ?”
จู่ ๆ ก็มีชายหนุ่มประหลาดมาเอ่ยนาม ‘เย่อวี๋’ ตรง ๆ ซึ่งนั่นทำให้เย่จื่อซานและสตรีในชุดกระโปรงสีหมึกขมวดคิ้วน้อย ๆ
“ท่านอา ไปกันเถอะเจ้าค่ะ”
สตรีในชุดกระโปรงสีหมึกไม่ใคร่ใส่ใจ แล้วนางก็ลุกขึ้นเดินจาก
“ได้”
เย่จื่อซานเองก็ลุกขึ้น
ซูอี้ยิ้มอย่างเฉยเมย กล่าวว่า “ตอบคำถามข้าสิ บางทีข้าอาจช่วยเจ้าแก้ความขัดแย้งนี้ได้”
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว สตรีในชุดกระโปรงสีหมึกและเย่จื่อซานต่างชะงักงัน
กระทั่งเถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นซึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ยังอดเหลือบมองซูอี้แล้วส่ายหน้ามองเมินไม่ได้
ตัวตนต่ำต้อยในขอบเขตวงล้อวิญญาณ ไม่ว่าจะวางมาดใหญ่โตเพียงไร ก็ยากจะดึงความสนใจผู้เฒ่าเช่นเขาได้
“เจ้าหรือ?”
สตรีในชุดกระโปรงสีหมึกดูเคลือบแคลงใจ
เย่จื่อซานแค่นเสียงอย่างเย็นชา “เจ้าหนุ่ม ต่อให้เป็นตัวตนขอบเขตจักรพรรดิมาที่นี่ยังไม่กล้ากล่าววาจาใหญ่โต โปรดระวังคำพูดด้วย!”
การที่จู่ ๆ ชายหนุ่มประหลาดผู้หนึ่งปรากฏขึ้น และกล่าวว่าจะช่วยพวกเขาแก้ความขัดแย้งภายในเผ่าปีศาจงูในขณะนี้นั้น มองอย่างไรก็เหมือนเด็กน้อยไม่รู้ความ
ทว่า ซูอี้ก็ครุ่นคิดสักพัก ก่อนกล่าวว่า “เจ้าไม่เชื่อก็มีเหตุผล รอก่อนเถอะ”
เขาหันเดินไปยังโต๊ะเถ้าแก่
เย่จื่อซานขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าชายหนุ่มชุดเขียวผู้นี้ต้องการทำอันใด กระซิบว่า “รั่วซี เจ้ารอดูนะ”
สตรีในชุดกระโปรงสีหมึกกระซิบ “ท่านอา ข้าคิดว่าคนผู้นี้คงเสียสติแน่แท้ ไฉนต้องใส่ใจการกระทำเขาด้วย?”
ดวงตาของผู้เป็นอาวูบไหว “รอดูก่อนเถอะ”
สตรีในชุดกระโปรงสีหมึกพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ
เถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นหลังโต๊ะไม้จิบสุราโดยไม่มองหน้าซูอี้ผู้เดินเข้ามาหา และกล่าวอย่างเฉยชา
“ไอ้หนู หากเจ้ามาพักอาศัยก็จ่ายมา หาไม่ก็ออกไปให้ไว ข้าในยามนี้กำลังอารมณ์เสีย หากทำให้ข้าไม่สบอารมณ์ก็อย่าโทษข้าว่าโยนเจ้าออกไปเลย”
ซูอี้แค่นเสียง หยิบไหสุราบนโต๊ะมาดม แล้วจึงกล่าวว่า “เพชฌฆาตเฒ่า หนี้ชีวิตที่เจ้าติดค้าง ได้เวลาจ่ายแล้วกระมัง?”
วาจาที่ไม่อาจอธิบายได้กระทบสู่โสตเถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋น ทว่ามันกลับไม่ต่างกับอสนีบาตที่ฟาดก้องในใจของเขา
คู่เนตรเฉยเมยเย็นชาเรืองประกายกดดัน จ้องมองซูอี้โดยไม่พูดจา
เถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นผู้นี้ไม่เคยแปรเปลี่ยนสีหน้ามาก่อน ราวกับเป็นศิลาอันแข็งแกร่งที่ถูกกาลเวลาไล้พัด มองทุกสิ่งอย่างเฉยเมย
ทว่าครานี้ เขาเสียอาการอย่างเห็นได้ชัด!
เมื่อเย่จื่อซานและสตรีข้างกายเห็นดังนี้ก็อดแปลกใจไม่ได้ และตระหนักแล้วว่าบางอย่างผิดแปลก
เพชฌฆาตเฒ่า?
ไฉนชายหนุ่มผู้นี้จึงเรียกเถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นเช่นนั้น?
อีกประการ วาจาของเขา… หมายความเช่นไร ไฉนจึงทำให้ยอดฝีมือซึ่งเร้นกายที่นี่พลันนั่งไม่ติด?