บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 875: ตกใจ
ตอนที่ 875: ตกใจ
เถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นค่อย ๆ ลุกขึ้นจากที่นั่ง ดวงตาจับจ้องนิ่งที่ซูอี้ด้วยคิ้วที่ขมวดเล็กน้อย
ดูเขาจะงุนงงมาก
ครู่ต่อมา เขาก็ปริปากถาม “เจ้า… เป็นใครกันแน่?”
วาจาของเขายังคงเฉยเมยเย็นชา
ทว่า ทุกคนต่างเห็นได้ว่ากิริยาของเถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นแปรเปลี่ยนไปแล้ว
ซูอี้แย้มยิ้ม หยิบไหสุราบนโต๊ะคิดเงินออกมารินลงบนโต๊ะ
จากนั้นก็ยื่นนิ้วจิ้มลงไปในสุรา และวาดลงบนโต๊ะ
รอยน้ำไหลด้วยทิศทางลี้ลับภายใต้ปลายนิ้วของซูอี้ ร่างเป็นลวดลายประหลาดอย่างรวดเร็ว
เถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นจับจ้องเขาแต่ต้นจนจบ และเมื่อเห็นลวดลายที่ปลายนิ้วของซูอี้วาด มือของเขาก็สั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุม สายตาคู่นั้นเหม่อลอย
ยามนี้ กระทั่งเย่จื่อซานและสตรีในชุดกระโปรงสีหมึกเห็นสภาพของเถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋น พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกผิดปกติมากขึ้นทุกที
เขาดูตกใจ ตะลึง และเหม่อลอยอย่างไม่อาจบรรยาย
สิ่งนี้ทำให้พวกเขาทั้งสองสงสัย
น่าเสียดายที่ไม่ว่าจะพยายามเพียงไร ทั้งสองก็ไม่อาจเห็นลวดลายบนโต๊ะได้ถนัดตา
“เรื่องระหว่างเจ้ากับข้า เราจะหารือกันภายหลัง”
ซูอี้เก็บนิ้วของเขา แล้วหันกลับมานั่งที่โต๊ะร่ำสุราถัดจากเย่จื่อซานและสตรีในชุดกระโปรงสีหมึก
จากนั้น เขาก็เคาะโต๊ะถามยิ้ม ๆ “ทั้งสองท่าน เราคุยกันได้หรือยัง?”
สตรีในชุดกระโปรงสีหมึกลังเล
เย่จื่อซานเหลือบมองเถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นเบื้องหลังโต๊ะไม้ซึ่งดูเหม่อลอยราวเสียวิญญาณ และไม่ได้ขัดซูอี้แต่อย่างใด
ควรค่าจดจำว่าเมื่อครู่นี้ ยอดฝีมือผู้ทะลวงสวรรค์ทลายปฐพีซึ่งเร้นกายอยู่ผู้นี้ไม่ใคร่อยากพบชายหนุ่มผู้นี้อย่างมาก!
สิ่งนี้ทำให้เย่จื่อซานตระหนักได้ในที่สุดว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว!
ชายหนุ่มตรงหน้าเขาผู้นี้ไม่ใช่ ‘เด็กไม่รู้ความ’ ที่เขาคาดคิด!
หลังสงบใจได้ เย่จื่อซานก็ไอแห้ง ๆ ก่อนจะประสานมือคำนับ “เป็นเราสองที่ไม่สุภาพ หวังว่าสหายเต๋าจะให้อภัยกันได้”
ซูอี้โบกมืออย่างเฉยเมย กล่าวว่า “ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด นั่งเถิด”
เขานั่งลงอย่างสุขุมราวกับเป็นเจ้าบ้าน จากนั้นหยิบไหสุราบนโต๊ะและจอกสุราออกมารินดื่มเอง
“หากว่าตามนั้น”
เห็นเช่นนี้ เย่จื่อซานก็พยักหน้าและนั่งลงตรงข้ามซูอี้
สตรีในชุดกระโปรงสีหมึกกัดริมฝีปากสีกุหลาบของนางและนั่งลงเช่นกัน
ดวงตาคู่งามของนางจ้องมองชายหนุ่มซึ่งนั่งตรงข้ามอย่างงุนงงเล็กน้อย ไม่อาจคาดเดาได้ว่าเขาต้องมีที่มาใดจึงทำให้เถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นแปรเปลี่ยนได้มากปานนั้น
“ข้าจะถามเพียงสามคำถาม”
ซูอี้ดื่มสุราในจอก และกล่าวว่า “ผู้ใดในเผ่าปีศาจงูที่เป็นแกนนำเลือกผู้นำคนใหม่?”
เย่จื่อซานกล่าวโดยไม่ลังเล “เย่ตงเหอ ผู้อาวุโสสูงสุดที่สามของเผ่าเรา”
หลังชะงักไป เขาก็กล่าวเสริมว่า “ทว่าข้าคิดว่าเรื่องนี้ ศิษย์ของผีหมัว เจียงอิ้งหลิ่วก็เกี่ยวข้องด้วย”
ซูอี้พยักหน้า และถามต่อ “คำถามที่สองคือเย่หนานเจิงในเผ่าเจ้ายังมีชีวิตหรือไม่?”
เย่หนานเจิง!
ทั้งเย่จื่อซานและรั่วซีต่างแปลกใจ
คนผู้นี้คือตัวตนบรรพกาลในเผ่าปีศาจงู เขาเป็นตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิซึ่งอยู่ในภูมิมืดมิดมานับแต่สามหมื่นกว่าปีก่อน!
ทั้งคู่ไม่คาดเลยว่าจู่ ๆ ชายหนุ่มตรงหน้าจะถามเรื่องนี้ขึ้นมา
หลังเงียบไปครู่หนึ่ง เย่จื่อซานก็กล่าวโดยไม่ปิดบัง “กล่าวตามตรงกับสหายเต๋า บรรพชนเย่หนานเจิงเดินทางไปยังเก้ามหาแดนดินนานแล้ว และไม่ได้กลับมาเลย”
ซูอี้แปลกใจ “เขาไปที่ใดหรือ?”
“ข้าก็ไม่ทราบ”
เย่จื่อซานส่ายหน้า
ซูอี้ครุ่นคิดสักพัก จึงถามว่า “จุดประสงค์ที่แท้จริงของเย่ตงเหอในการเลือกผู้นำเผ่าใหม่คืออันใด?”
เย่จื่อซานรำพึง “หากเพื่อเป็นการลดความขัดแย้งในเผ่า ก็มิเห็นต้องรีบร้อนเลือกผู้นำใหม่ ดังนั้นเหล่าผู้อาวุโสจากสายตระกูลหลักจึงสงสัยว่าผู้อาวุโสสูงสุดที่สามคงต้องการเข้าสู่ ‘ดินแดนต้องห้าม’ ของเผ่าปีศาจงูเราเป็นแน่!”
สตรีในชุดกระโปรงสีหมึกอดกล่าวมิได้ว่า “จากกฎเผ่าปีศาจงูของข้า ต้องใช้สิทธิ์แห่งผู้นำเผ่าและลัญจกรหยกบรรพชนทั้งสี่ชิ้นเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าสู่ ‘วิหารบรรพชนแดนต้องห้าม’ ได้”
ซูอี้พลันกล่าว “เข้าใจแล้ว”
ในที่สุดเขาก็เข้าใจ
เมื่อครั้งอดีตชาติ เขาเคยได้ยินเย่น้อยเล่าให้ฟังว่า ‘วิหารบรรพชนแดนต้องห้าม’ นี้คือโลกเร้นลับโบราณซึ่งเปิดโดยบรรพชนของเผ่าปีศาจงู
ในวิหารบรรพชนแดนต้องห้ามมีมหาปริศนามาก ซึ่งก็เกี่ยวพันกับความลับเบื้องหลังที่มาของเผ่าปีศาจงูด้วย
กระทั่งสมบัติศักดิ์สิทธิ์ประจำเผ่าปีศาจงูอย่าง ‘โคมสงบวิญญาณเทียนหยา’ ยังถูกผนึกอยู่ในนั้นตลอดมา
ทว่าไม่ว่าเย่ตงเหอจะวางแผนเช่นไร จุดประสงค์ของเขาก็คงเป็นการเข้าสู่วิหารบรรพชนแดนต้องห้ามนี้!
“พวกเจ้าไปได้แล้วล่ะ”
ซูอี้กล่าว
เย่จื่อซานและสตรีในชุดกระโปรงสีหมึกต่างตกใจทั้งคู่
เย่จื่อซานถามอย่างลังเลทันที “ไม่ใช่ว่าสหายเต๋าเพิ่งบอกไปหรือ ว่าจะช่วยเราแก้ความขัดแย้งในเผ่าปีศาจงู?”
สตรีในชุดกระโปรงสีหมึกเองก็กำลังจับจ้องซูอี้
ซูอี้พยักหน้ากล่าว “ไม่ต้องกังวลไป เรื่องที่พวกเจ้ากังวลจะไม่เกิดขึ้น”
สตรีในชุดกระโปรงสีหมึกอดกล่าวมิได้ “จริงหรือ?”
ซูอี้แย้มยิ้มโดยไม่กล่าววาจาใด
เมื่อเห็นเช่นนี้ เย่จื่อซานก็ลุกขึ้นกุมกำปั้นกล่าว “ไม่ว่าอย่างไร หากสหายเต๋าช่วยเราแก้ความขัดแย้งนี้ได้ เย่จื่อซานจะตอบแทนด้วยทุกสิ่งที่ทำได้!”
จากนั้น เขาก็พาสตรีในชุดกระโปรงสีหมึกจากไปด้วยกัน
…
บนถนนอันมืดมิด
“ท่านอา ชายผู้นั้นพิลึกยิ่งนัก ซ้ำยังพูดว่าจะช่วยเราแก้วิกฤต เขา… พยายามทำสิ่งใดกันแน่?”
หลังออกจากหอเสียงอวิ๋น รั่วซีก็อดถามอย่างเปี่ยมสงสัยไม่ได้
เย่จื่อซานถอนหายใจ “เจ้าเองก็บอกแล้วว่าคนผู้นี้แปลก ๆ ข้าก็เดาไม่ออกเช่นกันว่าในใจของเขาคิดอ่านเช่นไร”
หลังชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาของเขาก็วูบไหว “แต่ข้าก็เห็นว่าเถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นดูจะมองเห็นตัวตนของชายหนุ่มชุดเขียวผู้นั้น กระทั่งกิริยายังแปรเปลี่ยน นั่นเพียงพอจะสรุปได้ว่าที่มาของชายหนุ่มชุดเขียวผู้นี้ไม่มีทางเป็นเรื่องธรรมดาได้!”
สตรีในชุดกระโปรงสีหมึกพยักหน้าอย่างเผลอไผล
ยอดฝีมือซึ่งซุกซ่อนในเมือง
ครั้งหนึ่ง นางเคยได้ยินบรรพชนของนาง เย่อวี๋กล่าวว่าเถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นเป็นตัวตนอันเก่งกาจ มีวิถีเต๋าสูงส่งเกินประมาณ ปกป้องสวรรค์ถล่มแดนดินได้!
และชายหนุ่มผู้สามารถทำให้เถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นเปลี่ยนกิริยาได้ ที่มาของเขาย่อมไม่ธรรมดา
“ท่านอา อย่าบอกข้านะว่าเราต้องฝากความหวังให้ชายหนุ่มพิลึกผู้นั้น?”
รั่วซีเอ่ยถาม
เย่จื่อซานครุ่นคิด “ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นข่าวดี หากชายหนุ่มผู้นั้นสามารถทำให้เถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นลงมือได้ เขาก็อาจมีโอกาสแปรกระแสสถานการณ์ได้”
ทันใดนั้น เขาก็เปลี่ยนวาจา “ทว่าเราเองก็ยังต้องเตรียมการทำอย่างอื่นไว้เช่นกัน”
หญิงสาวกล่าวด้วยแววตาเป็นประกาย “ท่านอา ท่านมีทางอื่นหรือ?”
สถานการณ์ปัจจุบันของสายตระกูลหลักเผ่าปีศาจงูนั้นย่ำแย่จริงแท้
ไม่นานนัก ผู้อาวุโสใหญ่สูงสุดได้เดินทางสู่เมืองมืดในเมืองมรณะเพื่อตรวจสอบข่าวของบรรพชนเย่อวี๋ และเป็นไปไม่ได้หากจะกลับเผ่าในกาลอันสั้น
ผู้อาวุโสสูงสุดที่สองก็กำลังพินิจความลึกล้ำแห่งชีวิตและความตายถึงช่วงระยะคับขัน หากไม่เกิดอันตรายถึงขั้นความเป็นความตายของเผ่า ห้ามผู้ใดรบกวน
และเย่ตงเหอ ผู้อาวุโสสูงสุดที่สามก็คือแกนนำสนับสนุนให้เลือกตั้งผู้นำเผ่าคนใหม่
นอกจากนี้ เจียงอิ้งหลิ่วก็เป็นศิษย์ผู้หนึ่งของผีหมัว รายล้อมโดยยอดฝีมือจาก ‘หอดาบฟ้าดิน’ หนึ่งในสำนักหกมหาวิถีแห่งเก้ามหาแดนดิน นับแต่ที่นางมายังเมืองเทียนหยาเมื่อสามร้อยปีก่อน เผ่าปีศาจงูก็ให้เกียรติต่อเจียงอิ้งหลิ่วอย่างสูงสุด
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แทบไร้หวังจะหยุดเรื่องนี้ไม่ให้เกิดขึ้นด้วยพลังของสายตระกูลหลักของเผ่าปีศาจงู ณ ขณะนี้เลย
ดังนั้น วันนี้รั่วซีและเย่จื่อซานจึงมาขอความช่วยเหลือที่หอเสียงอวิ๋น
เย่จื่อซานครุ่นคิดสักพัก จึงกล่าวว่า “ข้าจะไม่ปิดบังเจ้าไปนานกว่านี้ ผู้อาวุโสบางคนของสายตระกูลหลักเราได้ส่งจดหมายถึงผู้อาวุโสสูงสุดของ ‘ตำหนักเทพอัคคีกระจ่าง’ ‘เยว่สือ’ แล้ว เพื่อรบกวนให้เขาออกมาจัดการกับเรื่องนี้”
หลังชะงักไป เขาก็กล่าวต่อ “นานมาแล้ว ผู้อาวุโสเยว่สือเคยได้รับความเมตตาจากบรรพชนของเราเย่อวี๋ และยังเป็นศิษย์พี่ของผู้อาวุโสสูงสุดที่สอง จึงมีฐานะสูงส่งเปี่ยมเกียรติภูมิ หากผู้อาวุโสเยว่สือมาด้วยตนเองก็อาจพลิกสถานการณ์ได้”
ตำหนักเทพอัคคีกระจ่าง!
เยว่สือ!
สตรีในชุดกระโปรงสีหมึกดูสดใสขึ้น และกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนั้นได้คงดีไม่น้อย”
“เรื่องนี้ อย่าให้แพร่งพรายไว้ก่อนเป็นดี”
เย่จื่อซานย้ำ
นางพยักหน้าซ้ำ ๆ
…
เมืองเทียนหยาท่ามกลางความมืดนั้นสว่างไสวคลาคล่ำไปด้วยผู้คน
ทว่าในหอเสียงอวิ๋นกลับดูเคว้งคว้างวังเวงนัก
นอกจากซูอี้ก็ไม่มีแขกใดอื่น
อันที่จริง ในหอเสียงอวิ๋นนี้ นอกจากเถ้าแก่ก็ไม่มีแม้คนรับใช้สักคน
กาลก่อน ไม่ว่าธุรกิจจะย่ำแย่เพียงไร เถ้าแก่ร้านก็จะยังไม่ขยับตัว ไม่ปิดร้านจวบจนเที่ยงคืน
ทว่าครานี้ เถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นกลับลุกขึ้นปิดประตูก่อนกำหนด
จากนั้นก็หิ้วไหสุรามานั่งตรงข้ามซูอี้ช้า ๆ เปิดไหสุราซึ่งจมฝุ่นอยู่หลายปีออกและรินใส่สองจอกให้ทั้งตนและซูอี้
กลิ่นฉุนของสุราลอยออกมาทันที
สีของสุรานั้นดุจสายนทีเหลืองทองอ่อน ๆ ระยิบระยับภายใต้แสงจากตะเกียง
เถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นยกจอกขึ้นกล่าว “ไอ้หนู สัตว์ประหลาดเฒ่าซูขอให้เจ้ามาหาข้าหรือ? แล้วเจ้าตัวเล่า ไฉนจึงไม่มาด้วยตนเอง?”
ใบหน้าของเขาซูบตอบเย็นชา สวมเสื้อคลุมยาว เส้นผมและหนวดเคราแซมสีเทาเล็กน้อย และไม่แย้มยิ้ม
กระทั่งเสียงยังไม่เจืออารมณ์ใด
“ไอ้หนูรึ?”
ซูอี้หยิบจอกสุราขึ้นมามองของเหลวภายใน และรำพึงเบา ๆ “โลกนี้มีผู้คนมากมายซึ่งถูกหนึ่งใบไม้บดบังสายตา ทว่าไม่คาดเลยว่าเพชฌฆาตเฒ่าเช่นเจ้าจะมีวันตาบอดเยี่ยงนี้เช่นกัน”
กล่าวพลาง เขาก็มองชายชราตรงหน้าและกล่าวอย่างครุ่นคิด “หรือตลอดสามหมื่นปีมานี้ เจ้าจะยังไม่สามารถพังกำแพงขวางในใจได้อีกหรือ?”
เถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นซึ่งเพิ่งดื่มสุราในจอกของตนและกำลังลิ้มรสดมกลิ่น ยามได้ยินเช่นนั้น เขาก็ตกใจจนพ่นสุราออกมา กระแอมไออย่างแรง ดูน่าเวทนานัก
ทว่าเขาไม่ได้ใส่ใจกิริยา ดวงตาคมปลาบดุจอสนีบาตอันเยือกเย็นจับจ้องซูอี้ด้วยสีหน้าไม่แน่ใจ “สัตว์ประหลาดเฒ่าซู!?”
เสียงของเขาตื่นเต้นอย่างหาได้ยาก และเก็บอาการไม่อยู่!
ซูอี้ดื่มสุราในจอก ก่อนจะกล่าวยิ้ม ๆ “ตกใจหรือไม่?”