บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 876: ช่วยเหลือ
ตอนที่ 876: ช่วยเหลือ
เถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นมองชายหนุ่มซึ่งนั่งยิ้มอยู่ตรงหน้าโดยไม่อาจสงบลง
อกของเขากระเพื่อมขึ้นลง ราวกับจะสะกดกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในใจ
ครู่ถัดมา เขาก็นั่งกลับที่ คว้าไหสุรามากระดกดื่มติด ๆ กัน
จากนั้นก็ถอนหายใจยาว ขณะพึมพำว่า “นั่นสินะ มีเพียงสัตว์ประหลาดเฒ่านี่เท่านั้นในโลกาที่รู้ว่าหัวใจวิถีของข้ามีกรงขังข้าไว้แสนนานโดยไม่อาจสลัดหลุด…”
กล่าวจบ ดวงตาของเขาที่มองซูอี้ก็แปรเปลี่ยนอีกครั้ง และกล่าวด้วยสีหน้าซับซ้อน “เมื่อห้าร้อยปีก่อน ข่าวการตายของเจ้าสะพัดไปทั่วโลกา และข้าก็ดีใจเสียจนเมามาย ใครเล่าจะคิดว่าเจ้า สัตว์ประหลาดเฒ่าซูยังไม่ตาย…”
ซูอี้ยิ้มและกล่าวอย่างเฉยเมย “ต่อให้ข้าตายไป ด้วยฝีมือเจ้าก็ทลายสิ่งกีดขวางในหัวใจวิถีเจ้าไม่ได้หรอก ท้ายที่สุดเจ้าก็ยังต้องมาถามข้าอยู่ดี”
ชายชราตรงหน้าเขามีนามว่า ‘ซางเทียนเชวีย’ จากเผ่าปีศาจวานรผู้มีสมญา ‘จักรพรรดิวิญญาณเชือดโลหิต’
ทว่าซูอี้นั้นชาชินกับการเรียกอีกฝ่ายว่าเพชฌฆาตเฒ่ามากกว่า
เมื่อหลายหมื่นปีก่อน ซางเทียนเชวียนั้นก็เป็นชายชราผู้อยู่ในห้วงลึกแห่งทะเลทุกข์มานานหลายปี ด้วยนิสัยโหดเหี้ยมเจ้าอารมณ์ เขาจึงเป็นหนึ่งใน ‘เจ็ดปีศาจแห่งทะเลทุกข์’
จนกระทั่งได้พบซูอี้ผู้เดินทางเข้ามาในทะเลทุกข์ ซางเทียนเชวียก็พบปัญหาใหญ่
ยามนั้น ซางเทียนเชวียคิดว่าซูอี้เป็นแกะอ้วน เขาจึงเอาโอกาสอันไม่มีอยู่จริงมาล่อ และออกปากชวนให้ซูอี้ร่วมมือกันตรวจสอบโอกาสนี้
ซูอี้ย่อมตอบตกลง
ผลสุดท้ายคือ ณ จุดลอบโจมตีที่ซางเทียนเชวียพิถีพิถันจัดเตรียม เขาก็โดนซูอี้ตลบหลังปล้นเสียเกลี้ยง…
นี่คือการพบปะครั้งแรกระหว่างเขาและเพชฌฆาตเฒ่า
“ขอเจ้าให้ช่วย?”
เพชฌฆาตเฒ่าเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงถอนหายใจเบา ๆ “นั่นสินะ แม้ข้าจะหวังให้เจ้า สัตว์ประหลาดเฒ่าซูตาย ๆ ไปซะ แต่ก็รู้อยู่ว่าหากเจ้าตาย เกรงว่าชาตินี้ข้าคงไม่อาจทลายกรงในหัวใจวิถีได้”
กาลก่อน หลังจากพ่ายแก่ซูอี้ขณะที่วิถีเต๋าอยู่ในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นกลาง เงามืดติดค้างก็ปรากฏในหัวใจวิถีของเขา
และนี่ยังทำให้การฝึกฝนของเขาคาอยู่ที่เดิม ไม่อาจกระดิกไปไหนได้ตลอดสามหมื่นหกพันปี!
เขาเองก็เคยพยายามดิ้นให้หลุดจากเงามืดนี้มามากกว่าหนึ่งหน ทว่าท้ายที่สุดก็ไม่อาจสมหวัง
จนกระทั่งภายหลัง เพชฌฆาตเฒ่าก็เข้าใจถ่องแท้ว่าผู้ขมวดปมต้องเป็นผู้แก้ เขาจะไม่อาจพัฒนาต่อเว้นแต่ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินจะออกปากช่วยเหลือ
หาไม่ ชีวิตของเขาจะจมในเงานี้ตลอดกาล ไม่อาจเคลื่อนไปข้างหน้าได้!
“เจ้าเกลียดข้าหรือไม่?”
ซูอี้ถาม
สีหน้าของเพชฌฆาตเฒ่าไม่อาจคาดเดา และครู่ต่อมาก็กัดฟันตอบ “เกลียดสิ!!”
ซูอี้อดหัวเราะไม่ได้ “อย่าห่วงเลย ข้าสัญญาไปแต่แรกแล้วว่าไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะคืนอิสรภาพแก่เจ้า และข้าจะไม่มีวันผิดสัญญา”
คนฟังแค่นเสียงอย่างเย็นชา “สัตว์ประหลาดเฒ่าซู หากข้าไม่รู้จักและเชื่อสิ่งที่เจ้าพูด ข้าจะใช้เวลานับหมื่น ๆ ปีที่นี่เพื่อการใด? ไฉนข้าจึงยังต้องรอให้เจ้ามาพบข้าด้วย?”
วาจาของเขาเจือความแค้นเคืองอันไม่อาจควบคุม
ซูอี้หยิบไหสุราขึ้นรินให้ตนเอง “เอาล่ะ หมดช่วงระบายทุกข์ ถึงกาลเข้าเรื่องแล้ว”
เพชฌฆาตเฒ่ากล่าวอย่างขุ่นเคือง “ข้ายังไม่ทันได้ระบายเลย! ผ่านมาสามหมื่นหกพันปี เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าอยู่เช่นไร? ข้า…”
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย “หือ?”
เพชฌฆาตเฒ่าพูดไม่ออก สีหน้าของเขายากคาดเดาไปครู่หนึ่ง และในที่สุดก็ระงับคำบ่นระบายทั้งหลายทิ้ง พลางแค่นเสียงอย่างเย็นชา “ว่ามา เจ้าจะพูดอันใด?”
ซูอี้ครุ่นคิด และกล่าวว่า “เจ้าก็เห็นแล้วเมื่อครู่ ว่าเผ่าปีศาจงูทุกวันนี้มีเรื่องพิพาท…”
ก่อนซูอี้จะพูดจบ เพชฌฆาตเฒ่าก็ขัดขึ้น “คราแรกข้ารับปากไว้เพียงว่าจะลอบปกป้องจักรพรรดิวิญญาณหยาดสวรรค์ และเจ้าก็บอกว่าข้าไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเผ่าปีศาจงู สิ่งที่ข้าทำในคืนนี้ไม่ได้ผิดตรงไหน”
วาจาเหล่านี้กล่าวขึ้นราวกับว่ากลัวซูอี้จะยกเรื่องนี้ขึ้นมา จึงชิงอธิบายเสียก่อน
จากเหตุนี้ เห็นได้ว่าซูอี้ทิ้งเงามืดในใจขนาดมโหฬารไว้ให้เพชฌฆาตเฒ่า…
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “ข้าไม่ได้จะบอกว่าเจ้าผิดอันใด”
เพชฌฆาตเฒ่าผ่อนคลายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าแข็งกระด้างเย็นชาของเขาผ่อนลงมาก “งั้นข้าก็โล่งใจ”
“กล่าวให้สั้นก็คือ ข้าต้องการผู้ช่วยสงบสถานการณ์ในเผ่าปีศาจงู”
ซูอี้มองเพชฌฆาตเฒ่า “อยากช่วยหรือไม่?”
เพชฌฆาตเฒ่าพึมพำ “ในเมื่อเจ้าออกปากเอง ข้าจะกล้าไม่ช่วยได้เช่นไร?”
ทันใดนั้น เขาก็ดูจะตระหนักถึงบางสิ่ง และกล่าวกับซูอี้ว่า “ด้วยวิธีการของเจ้า จะกวาดล้างเผ่าปีศาจงูทิ้งเสียก็ทำได้ง่าย ๆ ไฉนเจ้าจึงยังต้องการความช่วยเหลือจากข้าอีก? หรือว่า…”
ซูอี้พยักหน้ากล่าวอย่างสุขุม “เจ้าก็เห็นแล้วว่าข้าในยามนี้อยู่เพียงในขอบเขตวงล้อวิญญาณ ห่างไกลเกินจะเทียบกับอดีตชาติข้าได้”
“เช่นนั้นหรือ…”
ดวงตาของเพชฌฆาตเฒ่าวูบไหว ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ไม่ใช่ว่านี่หมายถึง… แค่ขยับนิ้ว ข้าก็ฆ่าเจ้า สัตว์ประหลาดเฒ่าซูได้แล้วหรือไร…?”
บรรยากาศพลันตึงเครียดอย่างละเอียดอ่อน
ซูอี้ยกไหสุรารินใส่จอกตน จากนั้นจึงเล่นกับจอกสุราพลางกล่าวอย่างเฉยเมย “กล้าลองหรือไม่?”
เพชฌฆาตเฒ่าลังเล ใบหน้าซูบตอบของเขาดูไม่แน่ใจ
หากเป็นผู้ฝึกตนทั่วไปในขอบเขตวงล้อวิญญาณมาเผชิญกับปีศาจเฒ่าอันร้ายกาจเกินเทียบผู้นี้ คงตัวสั่นงันงกไปแล้ว
ทว่าซูอี้ไม่ใช่เช่นนั้น
สีหน้าท่าทาง กระทั่งแววตาของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปร
ในทางกลับกัน วาจาของเขากลับแฝงด้วยความดูแคลน ซึ่งดูยั่วยุให้ลงมือนัก
เพชฌฆาตเฒ่าสูดหายใจลึกพลางยิ้มเยาะ “ลึกเข้าไปในทะเลทุกข์ เจ้าก็แสร้งทำเป็นอ่อนแอจนข้าคิดว่าเจอแกะอ้วน ทว่าสุดท้ายสมบัติทั้งหมดของข้าก็เสียแก่เจ้าคนใจดำนี่ อย่าว่าแต่เรื่องที่ข้าถูกเจ้าอัดจนหัวใจหม่นหมอง ยังไม่อาจสลัดหลุดจนป่านนี้อีก!”
หลังชะงักไป เขาก็พูดเน้นทีละคำ “เจ้าคิดว่า… ข้าจะยังถูกเจ้าหลอกอีกหรือไร?”
จากนั้นเขาก็ยกจอกสุราขึ้นมาดื่มอั้ก ๆ
ซูอี้กล่าวอย่างใจเย็น “ข้ามีการฝึกฝนเพียงขอบเขตวงล้อวิญญาณจริง ๆ หาไม่ ข้าคงไม่มาขอความช่วยเหลือจากเจ้าหรอก”
เพชฌฆาตเฒ่าหัวเราะกล่าว “ขอบเขตวงล้อวิญญาณของเจ้าซูเสวียนจวินคงเหนือกว่าจักรพรรดิผู้ใดในโลกหล้า! เรื่องโง่ ๆ ที่ข้ารู้ว่าพ่ายแน่เช่นนี้ ข้าซางเทียนเชวียจะไม่มีวันทำ!”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ “เมื่อพายุในเผ่าปีศาจงูจบสิ้น ข้าจะช่วยเจ้าทำลายเงาในหัวใจวิถี และคืนอิสรภาพแก่เจ้า”
ทันทีที่วาจานี้ถูกกล่าว เพชฌฆาตเฒ่าก็เงียบไป
ใบหน้าตอบซูบของเขาวูบไหวภายใต้เงาตะเกียง เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ปรีดา เฝ้ารอและไม่อยากเชื่อ
เนิ่นนานจากนั้น
เขาก้มหัวลงจ้องจอกสุรา “ได้!”
เขายกจอกสุราดื่มอึกเดียวหมด และยามนี้ ความหดหู่อันเก็บงำมากว่าสามหมื่นหกพันปีก็ถูกปัดเป่าในที่สุด!
…
คืนเดียวกัน
เผ่าปีศาจงู
ในวิหารอันสว่างไสวแห่งหนึ่ง
เย่ตงเหอนั่งทำหน้ามืดหม่นเย็นชา “งั้นเจ้าก็ส่งลัญจกรหยกบรรพชนให้คนนอกรักษาไว้จริง ๆ หรือ?”
เขาสวมอาภรณ์โบราณ จอนผมขาวดุจหิมะเกาะ ดวงตาคมกริบดุจพญาเหยี่ยว
ในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดที่สามแห่งเผ่าปีศาจงู เย่ตงเหอจึงมีระดับการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นสมบูรณ์แบบ ซึ่งห่างจากขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำเพียงหนึ่งก้าว
“ถูกต้อง”
เย่เทียนฉวีผู้นั่งบนเก้าอี้ด้านข้างโถงพยักหน้าอย่างสุขุม
ไม่นานหลังจากเขากลับสู่เผ่าปีศาจงู ก่อนจะทันได้ถามสถานการณ์จากสายตระกูลหลัก เขาก็ได้รับคำสั่งให้เข้าพบผู้อาวุโสสูงสุดที่สามเสียก่อน
จึงเกิดเป็นสถานการณ์ ณ ยามนี้
ระหว่างการสนทนา เย่เทียนฉวีได้แจ้งเป็นที่เรียบร้อยว่าลัญจกรหยกบรรพชนไม่ได้อยู่กับเขา แต่มอบให้สหายผู้หนึ่งเก็บรักษา
ส่วนคนอื่น ๆ ไม่ได้กล่าวอันใดมากนัก
ตู้ม!
เย่ตงเหอตบโต๊ะอย่างแรง และกล่าวเสียงแข็ง “เย่เทียนฉวี เจ้าช่างกล้านัก! ลัญจกรหยกบรรพชนเป็นของสำคัญประจำเผ่าปีศาจงูเรา จะส่งให้ผู้อื่นเก็บรักษาได้เช่นไร?”
โถงสั่นสะท้านด้วยอำนาจยิ่งใหญ่
แรงกดดันบนตัวเย่เทียนฉวีพลันเพิ่มทวี รู้สึกอึดอัดยากหายใจ
ทว่าเขาก็ยังกล่าวอย่างสุขุมไร้ความกลัว “บรรพชนเย่อวี๋ก็แค่ถูกกักไว้ในเมืองมืด ผู้อาวุโสใหญ่สูงสุดก็กำลังไปถามไถ่สถานการณ์ในเมืองมืด ข้าไม่คิดว่าเราไม่จำเป็นต้องเลือกผู้นำใหม่ ณ ขณะนี้”
สีหน้าของเย่ตงเหอเย็นชาลง “ข้าถามเจ้าแค่ว่าผู้ใดถือลัญจกรหยกบรรพชนอยู่? คนนอกผู้นั้นอยู่หนใด?”
เย่เทียนฉวีสูดหายใจลึก ๆ ลุกขึ้น “ไร้วาจา!”
เขาหันหลังจากไป
เย่ตงเหอกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “หากไม่แจ้งให้กระจ่าง ก็จะไม่ให้ไปไหนวันนี้!”
ตู้ม!
ค่ายกลปรากฏขึ้นผนึกประตูจากรอบโถง
สีหน้าของเย่เทียนฉวีแปรเปลี่ยนกะทันหัน
ทันใดนั้น เขาก็คืนสติ “ยามนี้ผู้เฒ่าจากสายตระกูลหลักรู้แล้วเรื่องที่ข้ามาพบเจ้าที่นี่ หากเกิดสิ่งใดขึ้น เจ้าก็คงต้องเตรียมคำอธิบายที่ดีไว้แล้วหรือไม่?”
เย่ตงเหอกล่าวอย่างเฉยเมย “หากจะขังเจ้าที่แหกกฎเผ่า ส่งลัญจกรหยกบรรพชนให้คนนอก ใครเล่าจะกล้าบอกว่าข้าทำอันใดผิด?”
เย่เทียนฉวีลอบถอนหายใจ ซูอี้เตือนเขาแล้วเมื่อยามเข้าสู่เมืองเทียนหยาดุจนักพยากรณ์
จริงอยู่ที่การฆ่ากันเองในเผ่าปีศาจงูเป็นข้อห้าม
ทว่าหากต้องการจัดการเขาเย่เทียนฉวี ก็แค่หาเหตุผลขังเขาไว้ก็พอ!
เย่เทียนฉวีสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวอย่างมั่นใจ “ต่อให้ข้าถูกขัง ข้าก็จะไม่แพร่งพรายตำแหน่งลัญจกรหยกบรรพชนเป็นแน่”
เย่ตงเหอแค่นเสียงอย่างเย็นชา “ถึงเจ้าไม่พูด ก็จะมีผู้อื่นพูดแทนอยู่ดี พาเย่เทียนฉวีไปขังในคุกใต้ดิน!!”
เย่เทียนฉวีใจสั่น และในที่สุดก็เปลี่ยนสีหน้า
เขาไม่กังวลเรื่องของตนเอง แต่กังวลว่าถูยงกับเย่ป๋อเหิงจะแพร่งพรายเรื่องเกี่ยวกับลัญจกรหยกบรรพชน!
คืนนั้น
ความจริงที่เย่เทียนฉวีส่งลัญจกรหยกบรรพชนให้คนนอกตามอำเภอใจและถูกผู้อาวุโสสูงสุดที่สามขังไว้ในคุกใต้ดินโด่งดังไปทั่วเผ่าปีศาจงู จนทำให้เกิดเสียงฮือฮามากมาย
ส่วนถูยงและเย่ป๋อเหิง หลังได้รับข่าว พวกเขาก็ถูกผู้อาวุโสสูงสุดที่สามพาตัวไปทันที
“อย่ากลัวไปพ่อหนุ่ม แค่ใช้วิชาค้นจิต เมื่อพบคำตอบ ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป”
เย่ตงเหอกล่าวกับเย่ป๋อเหิง ดูอ่อนโยนใจดี
เย่ป๋อเหิงหน้าซีด กล่าวเสียงสั่น “ท่านบรรพชน ข้า…”
ทว่าก่อนที่จะกล่าวจบ เขาพลันส่งเสียงครวญอย่างเจ็บปวดก่อนหมดสติไป
ชั่วขณะต่อมา
เย่ตงเหอก็เก็บจิตสัมผัส ขมวดคิ้วเล็กน้อย ซูอี้? หอเสียงอวิ๋น?
ในความทรงจำของเย่ป๋อเหิงไม่มีเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับซูอี้เลย
เหตุผลนั้นแสนง่าย นั่นเพราะยามที่เขาอยู่บนเรือล่องสำราญหอเมฆา เขาก็หมดสติไปนับแต่การปรากฏตัวของเซี่ยงเถียน จึงไม่ได้รู้เรื่องราวต่อจากนั้นเลย
นี่ก็ทำให้เย่ตงเหอรู้เพียงว่าชายหนุ่มชุดเขียวมีนามว่าซูอี้ และหลังจากเข้ามาในเมืองเทียนหยา เขาก็เดินทางตรงสู่หอเสียงอวิ๋น!
“เถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นไม่ใช่คนธรรมดา…”
เย่ตงเหอดูไม่แน่ใจ
ทันใดนั้น เขาก็มองถูยงซึ่งอยู่อีกฝั่ง และกล่าวว่า “หลังจากนี้ ข้าต้องการให้เจ้าไปทำบางอย่างที่หอเสียงอวิ๋น”