บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 877: หมาแมว
ตอนที่ 877: หมาแมว
สีหน้าของถูยงพลันเปลี่ยนแปร มือเท้าเย็นเฉียบ
เย่ตงเหอถามเฉื่อย ๆ “เจ้าเป็นเพียงข้ารับใช้ข้างกายเย่เทียนฉวี ฆ่าเจ้าไปก็ไม่อาจสร้างเป็นเรื่องราวใหญ่โต คิดให้ดี”
ถูยงเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้า
เขาพลันจำได้ว่ายามเข้ามาในเมืองเทียนหยา ซูอี้เคยกล่าวว่าหากเขาประสบปัญหา ให้มาขอความช่วยเหลือได้ที่หอเสียงอวิ๋น
และนี่แหละโอกาสในการขอความช่วยเหลือ!
“ฉลาด”
เย่ตงเหอหัวเราะ “อย่าห่วงไป เมื่อข้าหาลัญจกรหยกบรรพชนพบ ข้าจะปล่อยเจ้าและครอบครัวไป”
ถูยงเงียบไป
“สิบสาม”
ร่างวูบไหวดุจภูตพรายปรากฏจากอากาศธาตุอย่างเงียบ ๆ เขาโค้งตัวก้มหัวกล่าว “นายท่านมีคำสั่งอันใด?”
“เจ้ากับถูยงไปหอเสียงอวิ๋นกันหน่อย จำไว้ว่าอย่าได้วิวาทกับเถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋น ผู้ฝึกตนทั่วเมืองเทียนหยารู้หมดแล้วว่าตาเฒ่านั่น… ไม่ธรรมดา”
เย่ตงเหอออกคำสั่ง
“ขอรับ”
ชายชรานามสิบสามพยักหน้า
…
และในเผ่าปีศาจงูเช่นกัน
ในโถงแห่งหนึ่งปรากฏกลุ่มผู้อาวุโสจากสายตระกูลหลักเผ่าปีศาจงูนั่งเรียงกัน
เย่จื่อซานและรั่วซีเองก็รวมอยู่ในนั้น
ทว่า สีหน้าของเย่จื่อซานแปรเปลี่ยนไปอย่างมาก ณ ขณะนี้ “ท่านอาตงเหอพลิกลิ้นเก่งนัก!!”
บรรยากาศมืดหม่นหดหู่
สีหน้าของเหล่าผู้อาวุโสต่างมืดมนยากอ่านความคิด
เมื่อครู่ผู้อาวุโสสูงสุดที่สามเย่ตงเหอใช้กลเม็ดพลิกลิ้นของเขาขังเย่เทียนฉวีไว้ในคุกใต้ดิน จากนั้นก็พาตัวเย่ป๋อเหิงและถูยงไป ทำให้พวกเขาหยุดไว้ไม่ทัน
“จบสิ้นแล้ว ลัญจกรหยกบรรพชนชิ้นสุดท้ายจะตกสู่มือผู้อาวุโสสูงสุดที่สามเช่นกัน”
บางผู้รำพัน
“จื่อซาน สถานการณ์จบแล้ว ข้าว่า… เราไม่ต้องดิ้นรนแล้วล่ะ หาไม่ ข้าก็ไม่รู้ว่ามันจะก่อให้เกิดกระแสรบกวนมากเพียงไร”
ชายชราคร่ำครึผู้หนึ่งกล่าวด้วยเสียงลึกล้ำ
ทันใดนั้น ทุกผู้ต่างหันไปสนใจเย่จื่อซาน
เมื่อเย่อวี๋จากเผ่าปีศาจงูไป นางได้มอบหมายให้เย่จื่อซานรับหน้าที่จัดการเรื่องต่าง ๆ ในสายตระกูลหลักเผ่าปีศาจงู
“ไม่ได้!”
เย่จื่อซานกล่าวอย่างเฉียบขาด “หากเป็นเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสสูงสุดที่สามจับมือกับเจียงอิ้งหลิ่ว และสิ่งที่พวกเขาวางแผนกระทำก็ไม่ได้มีเพียงยึดตำแหน่งผู้นำเผ่า!”
ผู้คนในห้องต่างเงียบกริบ
รั่วซีอดกล่าวไม่ได้ว่า “ท่านอา แล้วสถานการณ์เช่นนี้ เราควรทำเช่นไร?”
เย่จื่อซานสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวว่า “ยังมีเวลาอีกสิบวันก่อนจะถึงวันที่สิบห้าเดือนแปด และสถานการณ์จะต้องมีจุดพลิกผันเป็นแน่!”
แม้เขาจะพูดเช่นนั้น แต่ทุกคนในห้องต่างเงียบสนิท หัวใจไม่อาจเชื่อมั่น
ยามนี้ สายตระกูลรองสองในสามของเผ่าปีศาจงูเลือกสนับสนุนคำเสนอของผู้อาวุโสสูงสุดที่สามแล้ว
ยิ่งกว่านั้น ลัญจกรหยกบรรพชนสามชิ้นก็อยู่ในมือผู้อาวุโสสูงสุดที่สามด้วย
และคืนนี้ ผู้อาวุโสสูงสุดที่สามก็ได้ลงมือจัดการกับผู้แทนตระกูลสาขาอีกตระกูล เย่เทียนฉวี
เมื่อมีการสนับสนุนจากเจียงอิ้งหลิ่ว ขอเพียงการประชุมเผ่าเกิดขึ้น ใครเล่าจะหยุดผู้อาวุโสสูงสุดที่สามไม่ให้เลือกผู้นำเผ่าใหม่ได้?
“ก่อนหน้านี้ ผู้อาวุโสเทียนฉวีบอกไว้ว่าเขาส่งลัญจกรหยกบรรพชนให้สหายดูแล และจะไม่มีวันยอมให้สิ่งนี้ถึงมือผู้อาวุโสสูงสุดที่สามได้”
หญิงสาวกล่าวเบา ๆ “กล่าวอีกนัยก็คือ ขณะนี้ ผู้อาวุโสสูงสุดที่สามยังทำไม่สำเร็จ หาไม่ เขาจะส่งผู้อาวุโสเทียนฉวีสู่คุกใต้ดินเพื่อการใด?”
ทุกคนพยักหน้า
ทันใดนั้น ข้ารับใช้ผู้หนึ่งก็รีบร้อนเข้ามาในโถง โค้งตัวให้เย่จื่อซานและรายงานว่า “นายท่านขอรับ เมื่อครู่ ข้ารับใช้เฒ่า ‘สิบสาม’ ซึ่งอยู่ข้างกายผู้อาวุโสสูงสุดที่สามจากเผ่าไปพร้อมกับถูยงแล้วขอรับ”
เปลือกตาเย่จื่อซานกระตุก กล่าวว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเขาไปที่ใด?”
ข้ารับใช้ส่ายหน้า “ไม่ทราบขอรับ”
ทว่าทุกคนในห้องต่างตระหนักแล้วว่าสถานการณ์ย่ำแย่ ถูยงเป็นคนสนิทของเย่เทียนฉวี ทว่ายามนี้เขากลับพาคนของผู้อาวุโสสูงสุดที่สามออกจากเผ่า
เป็นไปได้ที่สุดว่ามันจะเป็นการไปหา ‘ลัญจกรหยกบรรพชน’ ซึ่งฝากคนนอกไว้!
“โอ้ ที่นี่ครึกครื้นดีแท้”
ร่างของทุกคนชะงักค้าง และต่างลุกขึ้นคำนับ
ไม่ว่าอย่างไร เย่ตงเหอก็มีฐานะเป็นผู้อาวุโสลำดับที่สามแห่งเผ่าปีศาจงู ดังนั้นจึงยังต้องเคารพให้เกียรติ
“ไม่ต้องมากพิธีหรอก”
เย่ตงเหอกล่าวขณะมองคนทุกผู้ “ข้ารู้ว่าการเลือกผู้นำเผ่าใหม่นั้นยอมรับไม่ได้สำหรับพวกเจ้า ทว่าเผ่าปีศาจงูของเราไม่อาจยุ่งเหยิงได้มากกว่านี้แล้ว”
เขารำพึง “อาณาจักรไม่อาจอยู่ได้หากไร้ผู้นำในสักวัน และตระกูลก็ไม่อาจมีอยู่หากไร้ผู้นำ ยามนี้ในเขตจัตุรัสผี ก็ไม่อาจทราบได้ว่าคนของเรามากมายเพียงใดกำลังประสบกับความอลหม่าน”
เย่ตงเหอสูดหายใจลึก ๆ ดวงตาทอประกายหนักแน่น กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “ดังนั้น ไม่ว่าพวกเจ้าจะคิดเช่นไร ในวันที่สิบห้าเดือนแปดนี้ เราต้องเลือกผู้นำเผ่าคนใหม่ และสถานการณ์ความขัดแย้งในเผ่าก็จะแก้ไขได้”
เย่จื่อซานอยากกล่าวนัก ว่าความขัดแย้งในเผ่า ณ ขณะนี้ ไม่ใช่ว่าเป็นท่านอาตงเหอสร้างขึ้นเองหรือ?
ทว่าสุดท้าย เขาก็รั้งตนเองไว้
“ท่านอามาที่นี่ แค่เพื่อจะพูดเรื่องนี้หรือ?”
เย่จื่อซานถามเสียงทุ้มลึก
เย่ตงเหอพยักหน้ากล่าว “ข้ามาที่นี่เพราะมีเรื่องอื่นจะบอก ก่อนหน้านี้ ข้าให้สิบสามและถูยงไปหอเสียงอวิ๋นในเมืองเพื่อหาชายหนุ่มผู้หนึ่งนามซูอี้”
ซูอี้?
ทุกคนต่างงุนงงกับชื่ออันไม่คุ้นหูนี้
เย่ตงเหอเห็นเช่นนั้นก็เลือกนั่งลงสุ่ม ๆ สักที่ ก่อนจะกล่าวยิ้ม ๆ “ลัญจกรหยกบรรพชนของเทียนฉวีอยู่ในมือซูอี้ ข้าเชื่อว่าในไม่ช้า สิบสามจะสามารถนำลัญจกรหยกบรรพชนกลับตระกูลได้”
ทันทีที่วาจานั้นดังออก ทุกคนในโถงก็ตะลึงสีหน้าหมองดำ
ว่าแล้วเชียว สิบสามกับถูยงออกจากเผ่าไปด้วยกันเพื่อนำลัญจกรหยกบรรพชนชิ้นสุดท้ายกลับมา!!
หอเสียงอวิ๋น?
เย่จื่อซานสะดุ้งราวจำบางอย่างขึ้นได้
ขณะเดียวกัน เสียงของสตรีข้างกายก็ถ่ายทอดมาที่หูของเขา “ท่านอา ชายหนุ่มนามซูอี้ที่ผู้อาวุโสสูงสุดที่สามว่า คงไม่ใช่คนที่เราพบเมื่อคืนกระมัง?”
“ไม่สิ ต้องเป็นเขาเลยต่างหาก!”
เย่จื่อซานใจชื้นขึ้นเล็กน้อย ดวงตาทอประกาย
คืนนี้ที่หอเสียงอวิ๋น นอกจากเขาและนางก็มีเพียงชายหนุ่มชุดเขียว!
“มิน่าเล่า เขาจึงบอกว่าอยากเข้ามาแทรกแซงเรื่องของเผ่าปีศาจงู ที่แท้เขาก็คือผู้ช่วยเหลือซึ่งผู้อาวุโสเย่เทียนฉวีเชิญมา! ยิ่งกว่านั้น กระทั่งลัญจกรหยกบรรพชนก็อยู่ในมือเขา!”
รั่วซีเองก็ตื่นเต้นราวกระจ่างต่อเรื่องราวทั้งหมด
ทว่าเย่จื่อซานอดงุนงงไม่ได้ ด้วยความสามารถของเย่เทียนฉวี เขาไปเชิญชายหนุ่มผู้ลึกลับเช่นนี้มาจากหนใด?
แต่ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็เป็นข่าวดี!
เย่จื่อซานไม่มีวันลืมว่าชายหนุ่มลึกลับผู้นั้นเคยทำให้เถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นแปรเปลี่ยนท่าที!
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แม้ ‘สิบสาม’ ผู้อยู่ในขอบเขตจักรพรรดิจะออกหน้าเอง แต่เขาจะสามารถนำลัญจกรหยกบรรพชนกลับมาได้จริง ๆ หรือ?
เย่ตงเหอนั่งยิ้ม “หากคืนนี้พวกเจ้าไม่มีสิ่งใดทำ ไม่มานั่งรอให้สิบสามกลับมาที่นี่กับข้าสักหน่อยหรือ?”
สีหน้าของคนทุกผู้ยากคาดเดา
มีเพียงเย่จื่อซานและสตรีในชุดกระโปรงสีหมึกที่มองหน้ากันด้วยสายตาแปลก ๆ
“งั้นก็รอดู”
เย่จื่อซานหยิบถ้วยชาขึ้นจิบ
ท่าทีเยือกเย็นของเขาทำให้เย่ตงเหอผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยชม “จื่อซาน ทักษะเพิ่มกำลังใจของเจ้านี่สุดยอดจริงแท้ หลังสิบสามกลับมา ข้าก็หวังให้เจ้ายังคงเยือกเย็นเช่นนี้ต่อไปนะ”
เย่จื่อซานแย้มยิ้มหัวเราะ ไม่กล่าววาจาใดอีก
…
กลางดึก
ประตูหอเสียงอวิ๋นปิดทำการแล้ว
หลังถูยงมาถึง เขาก็สูดหายใจลึก ๆ และเคาะประตู “ถูยง ผู้ฝึกตนจากเผ่าปีศาจงูขอถือวิสาสะรบกวนขอรับ”
ไกลออกไปในความมืด สิบสามกอดอกซุกในแขนเสื้อ มองมาอย่างเฉยเมย
“ข้าก็รู้ว่าเจ้าจะพบปัญหายามกลับถึงเผ่า ทว่าไม่คาดว่าจะไวถึงเพียงนี้”
เสียงเฉยเมยดังขึ้นที่ประตูหอเสียงอวิ๋น “เข้ามาสิ”
ทันใดหลังจากนั้น ประตูหอที่ปิดอยู่ก็เปิดออกเงียบ ๆ แสงสว่างจากด้านในลอดออก กลบสิ้นรัตติกาลตรงหน้าบันไดหิน
มองปราดแรก ถูยงก็พบซูอี้นั่งดื่มที่โถง และยังเห็นเถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นนั่งตรงข้ามซูอี้ด้วย
หลังลังเลสักพัก ถูยงก็กล่าวเสียงต่ำ “สหายเต๋าซู กล่าวตามตรง นายข้าพบสถานการณ์ย่ำแย่จริงแท้ หากเป็นไปได้ก็ขอให้ท่านไปดูสักหน่อยเถิด”
ซูอี้แค่นเสียงถาม “หรือจะมีผู้ใดมากับเจ้าด้วย?”
ถูยงดูสีหน้าซับซ้อน ก้มหน้าก้มตาตอบ “ถูกต้อง”
ซูอี้อดหัวเราะไม่ได้ และกล่าวกับเพชฌฆาตเฒ่าว่า “ดูเหมือนเผ่าปีศาจงูจะรู้เช่นกันนะว่าเจ้าแข็งแกร่งเพียงไร จึงไม่กล้าแม้แต่จะเข้าประตูมา”
พูดจบ เขาก็ลุกขึ้นเดินออกนอกประตูหอเสียงอวิ๋น ดวงตากวาดมองไปทั่วถนนตรอกซอย และเห็นสิบสามซึ่งยืนอยู่ในความมืดทันที
ซูอี้ถามอย่างครุ่นคิด “เขาคือผู้ที่ผู้อาวุโสสูงสุดที่สามของเจ้าส่งมาหรือ?”
ถูยงพยักหน้า และรีบพูดถึงเรื่องที่เย่เทียนฉวีถูกจองจำ เรื่องการค้นจิตเย่ป๋อเหิงและอื่น ๆ
“สหายเต๋า โปรดคืนลัญจกรหยกบรรพชนของเผ่าข้ามา”
ไกลออกไป สิบสามผู้มีผิวซีดและท่าทางหม่นหมองเดินออกมาจากในเงา คู่เนตรเย็นชาจ้องนิ่งที่ซูอี้
เขากล่าวพลางเดินมาหาทีละก้าว “ข้าประกันได้ว่าหากข้าลงมือ เจ้าจะไร้โอกาสได้หนีกลับหอเสียงอวิ๋น”
ทุกก้าวที่ย่างเยื้อง ปราณของสิบสามก็ยิ่งแข็งแกร่ง
ท้ายที่สุด ที่ใดก็ตามที่เขาผ่านก็เกิดปราณมืดมนชั่วร้ายปกคลุมทั่วไปหมด และบรรยากาศอันน่าขนลุกแห่งจักรพรรดิก็ปกคลุมถนนยาวสายนี้
ถูยงร่างแข็งมื่อ ทว่าเขาไม่ได้ลนลาน
เขาเห็นมากับตาว่าซูอี้จับกุมตัวจักรพรรดินีจากเผ่าปีศาจไก่ฟ้าโลหิตมาเช่นไร และเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของซูอี้อย่างเต็มที่!
และนี่คือสาเหตุว่าทำไมเขาจึงกล้ารับปากผู้อาวุโสสูงสุดที่สามว่าจะมาหาซูอี้
เมื่อสิบสามย่างกรายเข้ามา ก่อนที่ซูอี้จะทันได้ขยับ เสียงแข็ง ๆ อันไร้อารมณ์ก็ดังขึ้น
“ยามใดกันที่หมาแมวตัวจ้อยกล้าบุกมาทำตัวโอหังในเขตของข้า?”
สิบสามพลันชะงัก สีหน้าแปรเปลี่ยนฉับพลัน
เพราะด้วยเสียงนั้น ร่างผอมแห้งร่างหนึ่งก็ปรากฏจากอากาศธาตุห่างจากเขาสามจั้งตรงหน้า
คู่เนตรเฉยชาคู่นั้นมองมา ให้ความรู้สึกราวเจ้าเวหาก้มลงมองมด
เปี่ยมความดูแคลน