บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 878: เสียหน้า
ตอนที่ 878: เสียหน้า
เมื่อเผชิญกับการปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของเพชฌฆาตเฒ่า สิบสามก็ตื่นกลัว
เห็นได้ชัดว่าอำนาจกดดันในฐานะจักรพรรดิของสิบสามเลือนหายดุจสายน้ำ จิตสังหารซึ่งเดิมปกคลุมถนนสายยาวและมุ่งเป้ามาที่ซูอี้เองก็สลายหาย
ถูยงตระหนักดีถึงการเปลี่ยนแปลงนี้
เขาจึงอดตกใจไม่ได้
ก่อนหน้านี้ เขาคิดว่าด้วยความแข็งแกร่งของซูอี้ เขาจะประมือกับสิบสามได้
ใครเล่าจะคิดว่าไร้ความจำเป็นที่ซูอี้จะต้องลงมือเลย เถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นพลันปรากฏขึ้น ดูแคลนสิบสามเป็นหมาแมวรนหาที่ตาย!
สิบสามสูดหายใจลึก ๆ และประคองกำปั้นคำนับเพชฌฆาตเฒ่าผู้อยู่ออกไปสามจั้ง “พี่ชายร่วมวิถี ข้ามาที่นี่จากคำสั่งนายข้าเพื่อนำลัญจกรหยกบรรพชนไปคืนเผ่า หากล่วงเกินประการใด โปรดอภัยด้วย”
คนรับใช้เฒ่าผู้มีระดับฝึกฝนในขอบเขตจักรพรรดินี้เคยดุดันอหังการมาก่อน
“ให้อภัย?”
เพชฌฆาตเฒ่ากล่าวอย่างไร้อารมณ์ “ได้สิ ตัดแขนเจ้าออกข้างหนึ่ง จากนั้นข้าจึงจะพิจารณาว่าจะไม่ฆ่าเจ้าดีหรือไม่?”
วาจาเฉยเมยเย็นชา ไร้อารมณ์ใด ๆ
ทว่าถูยงผู้ได้ยินดังนั้นกลับตัวสั่นงันงก ไม่คาดเลยว่าเถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นจะเข้าข้างซูอี้และจัดการกับข้ารับใช้เฒ่าข้างกายผู้อาวุโสสูงสุดที่สามโดยไร้ลังเล!
ถูยงเผลอหันไปมองซูอี้ซึ่งยืนอยู่ไม่ไกล
ทว่ากลับเห็นชายหนุ่มใช้หนึ่งมือไพล่หลัง อีกมือถือไหสุรา ยืนอยู่ในเงามืดข้างประตูหอเสียงอวิ๋นด้วยท่าทางผ่อนคลายสบายใจ
ทว่าเมื่อได้ยินวาจาของเพชฌฆาตเฒ่า สีหน้าของสิบสามพลันย่ำแย่
เขาเองก็ไม่คาดว่าเถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นซึ่งเป็นที่รู้จักของแทบทุกบุคคลในเมืองเทียนหยาจะออกมาฟาดงวงฟาดงา ณ ยามนี้!
ยิ่งกว่านั้น ดูเหมือนพวกเขาจะไม่คิดไว้หน้าเผ่าปีศาจงูแต่อย่างใด!
เรื่องนี้ดูเหลือเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย
ควรค่าจดจำว่าเมืองเทียนหยาเป็นบ้านอาศัยของเผ่าปีศาจงูมาหลายยุคสมัย
ในเมืองโบราณขนาดยักษ์นี้ กระทั่งตัวตนระดับจักรพรรดิยังไม่กล้าล่วงเกินเผ่าปีศาจงูของพวกเขาง่าย ๆ!
“พี่ชายร่วมวิถี…”
สิบสามสงบใจและกำลังจะกล่าววาจา
เพชฌฆาตเฒ่าแค่นเสียงเย็นชา และพลันฟาดฝ่ามือขวา
สิบสามไร้โอกาสหลบ และแขนซ้ายของเขาก็ถูกคว้าทันที
เพชฌฆาตเฒ่ากำมือและกระชาก
แขนโชกเลือดข้างหนึ่งถูกฉีกออกกะทันหัน ร่วงลงในมือเพชฌฆาตเฒ่าพร้อมโลหิตกระเซ็นทั่วพื้น
ร่างของสิบสามซวนเซไปเบื้องหลังสองสามก้าว ใบหน้าซีดขาว เต็มไปด้วยทั้งโทสะและความกลัว
ก่อนเพชฌฆาตเฒ่าลงมือ มันดูเหมือนแค่เอื้อมคว้าธรรมดา ๆ แต่กลับเต็มไปด้วยอำนาจมหาวิถีร้ายกาจไร้ขอบเขต ไม่อาจหลบหรือต่อต้านได้เลย!
สิบสามไม่แม้แต่จะคิดก็รู้ ว่าหากอีกฝ่ายกระทำการอย่างไร้เมตตาจริง ๆ การโจมตีนี้ก็คงฆ่าเขาได้ง่าย ๆ!
“แข็งแกร่งนัก!!”
ถูยงสั่นสะท้านทั้งกายใจ
จักรพรรดิผู้หนึ่งกลับกลายเป็นดั่งลูกแกะรอเชือด ถูกบังคับกระชากแขนออก ภาพนี้ย่อมน่าตกใจอย่างมิต้องสงสัย
พรึ่บ!
เพลิงสีชาดปรากฏขึ้นระหว่างมือและร่องนิ้วของเพชฌฆาตเฒ่า และทันใดนั้น แขนข้างที่ขาดก็แปรเปลี่ยนเป็นเถ้าถ่านพลิ้วละลิ่วตามลม
เพลิงนั้นสะท้อนใบหน้าซูบตอบไร้อารมณ์ของเพชฌฆาตเฒ่า ทำให้เขาดูน่ากลัวเป็นพิเศษ
ทว่ายามนี้ ซูอี้ผู้มองอยู่ข้าง ๆ พลันกล่าวขึ้นอย่างไร้อารมณ์ “กลับไปบอกเย่ตงเหอเสียว่าวันที่สิบห้าเดือนแปด ข้าจะนำลัญจกรหยกบรรพชนของเผ่าปีศาจงูเจ้าไปเยี่ยมเยือน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สิบสามก็เมินเฉย กลั้นความเจ็บปวดมองเพชฌฆาตเฒ่าราวกับรอเขาตัดสินใจ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจวบยามนี้ เขาก็ยังไม่มีซูอี้ผู้อยู่เพียงขอบเขตวงล้อวิญญาณในสายตา
สีหน้าของเพชฌฆาตเฒ่าไร้อารมณ์ กระซิบวาจา
“ไสหัวไป”
สิบสามสูดหายใจลึก ๆ และหันหลังกลับโดยไม่เอ่ยวาจา
“เจ้าเองก็กลับไปเสีย”
ซูอี้หันไปกล่าวกับถูยง “เผ่าปีศาจงูจะไม่เปลี่ยนผู้นำ”
จากนั้น เขาก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในหอเสียงอวิ๋น
เพชฌฆาตเฒ่าตามเขาไปเงียบ ๆ
ถูยงตะลึงอึ้งอยู่นาน รั้งอารมณ์ตื่นตะลึงในใจ ก่อนจะรีบร้อนจากไป
…
รัตติกาลมืดลงทุกขณะ
แสงเทียนสะท้อนสีหน้ามืดหมองของผู้คนส่วนใหญ่ที่นี่
หัวใจทุกผู้หนักอึ้ง
ยามเมื่อกาลเคลื่อนผ่าน เย่จื่อซานและเย่รั่วซีเองก็ประหม่าเล็กน้อยเช่นกัน
พวกเขาสรุปไปแล้วว่าซูอี้ที่ผู้อาวุโสสูงสุดที่สามพูดถึงคือชายหนุ่มชุดเขียวที่พวกตนพบมาก่อน
ทว่าพวกเขาก็ไม่แน่ใจว่าซูอี้จะสามารถรักษาลัญจกรหยกบรรพชนไว้ได้หรือไม่เมื่อสิบสามถูกส่งตัวไป
ในวิหารอันใหญ่โตนี้ มีเพียงเย่ตงเหอที่มีท่าทางสบายใจที่สุด
เขายกถ้วยชาขึ้นจิบเป็นครั้งคราว และนาน ๆ ครั้งก็จะเหลือบตามองสีหน้าหม่นหมองของทุกคนในโถง
“นายท่าน สิบสามขอพบขอรับ!”
เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นนอกโถงหลัก
วาจานั้นเป็นดังอสนีบาตที่ปลุกทุกคนในโถงจากความเงียบ เงยหน้าขึ้นมองออกไปด้านนอก
หัวใจของคนทุกผู้จุกลำคอ
เย่จื่อซานและหญิงสาวก็เช่นกัน
เย่ตงเหอแย้มยิ้ม ขณะจิบชาในถ้วยพลางกล่าวเบา ๆ “เข้ามาสิ”
จากนั้น ภายใต้สายตาทุกคู่ ร่างชราภาพของสิบสามก็เดินเข้ามาในโถง ปรากฏกายต่อแสงเทียน
“นี่…”
เมื่อเห็นสภาพของเขา ทุกคนต่างก็ตะลึงตกใจ
เย่จื่อซานและรั่วซีอ้าปากค้างอย่างช่วยไม่ได้
เย่ตงเหอผงะ
ในคลองจักษุของเขา ใบหน้าของสิบสามซีดขาว เขาเสียแขนไปหนึ่งข้าง เสื้อผ้าชุ่มเลือด แม้เลือดที่ปากแผลจะหยุดไหลแล้ว แต่เนื้อหนังและกระดูกที่แตกหักฉีกขาดก็ยังน่าตกใจ
ตัวตนผู้กรำศึกมากมายมองปราดเดียวก็รู้ได้ ว่าแขนซ้ายของสิบสามถูกกระชากขาด!
“เกิดอันใดขึ้น?”
เย่ตงเหอหน้าเสีย
เมื่อจักรพรรดิพิโรธ โลกาก็พลิกกลับด้าน
ขณะนี้ แม้สีหน้าของเย่ตงเหอจะยังสงบนิ่ง แต่แสงสว่างในโถงหลักกลับเขย่าไหวรุนแรง และบรรยากาศก็กดดันบีบหัวใจ อากาศดูราวถูกแช่แข็ง ทำให้ยากจะหายใจ
ผู้อาวุโสสูงสุดที่สามแห่งเผ่าปีศาจงูกำลังโกรธจัด!
สิบสามก้าวออกมากล่าวเสียงต่ำ “บ่าวผู้นี้ไร้สามารถ แขนของข้าถูกกระชากโดยเถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋น และไม่อาจทวงคืนลัญจกรหยกบรรพชนมาได้”
ทันทีที่วาจาถูกกล่าว ทุกผู้ก็ส่งเสียงฮือฮา
ไม่น่าเชื่อที่เถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นจะกล้าไม่เห็นแก่หน้าเย่ตงเหอและลงมือโจมตีสิบสาม
เย่จื่อซานและหญิงสาวมองหน้ากัน ในที่สุดหัวใจของคนทั้งสองก็ผ่อนคลายลง
ว่าแล้วเชียว เถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นจะไม่นิ่งดูดายหากเป็นเรื่องของซูอี้!
เปรี้ยง!!
เย่ตงเหอเขวี้ยงถ้วยชาในมือของเขาลงพื้น เศษเสี้ยวที่แตกละเอียดทำให้ทุกคนเงียบเสียง
“นี่คือเมืองเทียนหยา เขตปกครองของเผ่าปีศาจงูของเรา ทว่าเถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นกลับไม่เห็นเผ่าปีศาจงูของเราในสายตา!!”
ใบหน้าของเย่ตงเหอซีดขาว เปี่ยมจิตสังหาร
สิบสามคือข้ารับใช้ผู้มากสามารถที่สุดของเขา และติดตามรับใช้เขามาแสนนาน
ทว่ายามนี้ แขนของเขากลับถูกกระชากเสีย
“ท่านอาใจเย็นก่อน”
เย่จื่อซานไอแห้ง ๆ และกล่าวว่า “เนิ่นนานมาแล้ว มีกฎในหอเสียงอวิ๋นระบุว่าแขกทุกผู้ในหอเสียงอวิ๋นจะได้รับการอารักขา นี่คือสิ่งที่คนทุกผู้ในเมืองเทียนหยาต่างรู้ดี”
เขากล่าวต่อ “ยิ่งกว่านั้น ทั้งบรรพชนเย่หนานเจิงและบรรพชรเย่อวี๋ต่างกล่าวว่าเถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นคือผู้ร้ายกาจเร้นกาย ไม่อาจมองข้ามได้”
ได้ยินเช่นนี้ เย่ตงเหอก็ขมวดคิ้วกล่าวขัด “จื่อซาน เจ้าหมายความเช่นไร คืนนี้สิบสามทำอันใดผิดหรือ?”
เย่จื่อซานกล่าวอย่างสุขุม “ข้าคิดเพียงว่าเถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นจะไม่มีวันลงมือโดยไร้เหตุผลแน่”
เย่ตงเหอขมวดคิ้วแน่นขึ้นทุกขณะ
ทันใดนั้น สิบสามก็กล่าวเสียงต่ำ “นายท่าน แต่เดิมข้าขอให้ถูยงเรียกซูอี้ออกมาจากหอเสียงอวิ๋น ข้าคิดว่าหากเป็นการกระทำนอกหอเสียงอวิ๋นจะไม่นับเป็นการล่วงเกินเถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋น ทว่าใครเล่าจะคิด…”
กล่าวถึงตรงนี้ เขาก็อดถอนใจไม่ได้ “ไม่ว่าอย่างไร โปรดสงบโทสะลงเถิด อย่าเป็นอริกับเถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นเพียงเพื่อบ่าวเฒ่าผู้นี้เลย”
หลังจากเห็นวิธีการของเพชฌฆาตเฒ่าในคืนนี้ สิบสามก็รู้ดีว่าการต่อกรกับตัวตนเช่นนี้ย่อมตามมาด้วยราคาอันมหาโหด!
เย่ตงเหอสงบโทสะลงได้เล็กน้อย และกล่าวว่า “เถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นกล่าวอันใด?”
สิบสามกระซิบ “ก่อนบ่าวเฒ่าจะกลับมา ซูอี้เคยกล่าวไว้ว่าในวันที่สิบห้าเดือนแปด เขาจะนำลัญจกรหยกบรรพชนมาเยือนยังเผ่าปีศาจงูของเราขอรับ”
เย่ตงเหอแปลกใจ “คนผู้นี้คิดการใด?”
สิบสามส่ายหน้า ไม่อาจคาดเดาเจตนาของซูอี้ได้เช่นกัน
“ช่างเถอะ ไปกัน”
เย่ตงเหอลุกขึ้นและก้าวออกไป
เขาไม่มีหน้าอยู่ต่อ แต่เดิมเขาอยากรอให้สิบสามนำลัญจกรหยกบรรพชนกลับมาและสั่งสอนเจ้าพวกคนจากสายตระกูลหลักสักหน่อย
ไม่คาดเลยว่าผลสุดท้าย จะเป็นตัวเขาเองที่เสียหน้า!
สิบสามเดินตาม
จนเมื่อทั้งสองร่างลับหาย
ทุกคนในโถงก็ถอนหายใจโล่งอก
“ท่านอา ซูอี้ผู้นั้นคือผู้ช่วยเหลือที่ผู้อาวุโสเทียนฉวีเชิญมา และเขายังบอกเราว่าจะช่วยแก้ข้อพิพาท ดูเหมือนว่า… เขาจะมีฝีมือจริง ๆ นะเจ้าคะ!”
เย่รั่วซีส่งกระแสเสียงด้วยน้ำเสียงที่ดูตื่นเต้นมาก
เย่จื่อซานส่ายหน้าเล็กน้อย พลางกล่าว “ขอเพียงเป็นแขกที่หอเสียงอวิ๋น คนผู้นั้นจะได้รับการอารักขา ทว่ามีเพียงซูอี้ที่ได้รับการปฏิบัติด้วยเช่นนี้”
หลังชะงักไป เขาก็กล่าวอย่างครุ่นคิด “เราไม่อาจฝากความหวังไว้ที่เขาเพียงผู้เดียวได้ เมื่อผู้อาวุโสสูงสุดเยว่สือแห่งตำหนักเทพอัคคีกระจ่างมาเยือน เราก็จะรู้สึกใจชื้นมากกว่านี้”
คนฟังพยักหน้า
…
เมืองเทียนหยา ยอดเขาเพลิงปฐพี
ยามนี้เป็นครึ่งหลังแห่งค่ำคืนแล้ว แสงสว่างวูบไหวในโถงอันโบราณตระการตาบนยอดเขา
เจียงอิ้งหลิ่วในอาภรณ์สีแดงสดนั่งกับพื้น เรือนผมนุ่มดำถูกขมวดขึ้นมัดเป็นมวยปักปิ่นไม้ ทำให้ลำคอระหงของนางดูเรียวขึ้นอีก
สตรีสง่างามทรงเสน่ห์ผู้นี้กำลังอ่านม้วนหยกปิดผนึกซึ่งเพิ่งส่งมาจากเผ่าปีศาจงู
ม้วนหยกนี้ส่งมาจากเย่ตงเหอ และอธิบายเรื่องราวทั้งหมดในคืนนี้
“ลัญจกรหยกบรรพชนชิ้นสุดท้ายของเผ่าปีศาจงูตกอยู่ในมือชายหนุ่มผู้หนึ่งนามซูอี้…”
เจียงอิ้งหลิ่วเก็บม้วนหยกไปพลางขมวดคิ้วน้อย ๆ
ในม้วนหยกกล่าวเพียงว่าซูอี้ผู้นี้เป็นผู้ฝึกตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณ และคาดว่าเป็นผู้ช่วยที่เย่เทียนฉวีเชิญมา
ส่วนที่มาของซูอี้ เขาไม่ได้อธิบายสักคำ
“ช่างเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะไปเยือนซูอี้ผู้นั้นที่หอเสียงอวิ๋นด้วยตนเอง แค่ตัวตนชั้นต่ำในขอบเขตวงล้อวิญญาณ แต่กลับกล้าเข้ามาพัวพันเรื่องของเผ่าปีศาจงู ช่าง… ไม่กลัวตายจริงแท้…”
เนิ่นนานจากนั้น เจียงอิ้งหลิ่วก็ตัดสินใจและดีดนิ้ว
แสงสว่างในโถงต่างดับสิ้นอย่างพร้อมเพรียง ร่างของนางจมลงในความมืด