บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 879: บรรพชนอยู่ตรงหน้า ยังมิรู้ตัว
ตอนที่ 879: บรรพชนอยู่ตรงหน้า ยังมิรู้ตัว
เช้าตรู่ถัดมา
ซูอี้ตื่นจากภวังค์สมาธิ
เมื่อมองลงมายังดาบนิลกาฬบริสุทธิ์ซึ่งวางพาดตรงหน้าตัก เขาก็อดลอบพยักหน้าไม่ได้
นับแต่เริ่มออกจากเมืองตาข่ายม่วงมาสู่เขตราชาหกวิถี จนกระทั่งมาถึงเมืองเทียนหยาในเขตจัตุรัสผี เขาก็ขัดเกลาดาบนิลกาฬบริสุทธิ์มาโดยตลอด
เขามีสารพัดวัตถุวิญญาณต่าง ๆ ไม่ขาดมือ
ในอดีต ชายหนุ่มผ่านศึกมาแล้วมากมาย และจำนวนจักรพรรดิที่ตายด้วยมือเขาก็ไม่อาจใช้สิบนิ้วนับได้
นี่ยังทำให้เขาสะสมสินสงครามมากมายเสียจนน่าตกใจ
ในหมู่พวกมัน ยังมีวัตถุวิญญาณหลายอย่างซึ่งสามารถใช้ขัดเกลาดาบนิลกาฬบริสุทธิ์ได้
จวบยามนี้ รูปลักษณ์และพลังของดาบนิลกาฬบริสุทธิ์เพิ่มพูนเปลี่ยนแปรไปมากมาย!
หากไม่ใช่เพราะการควบคุมโดยจงใจของซูอี้ ดาบนี้คงแปรเปลี่ยนเป็นดาบอันมีวิญญาณแท้ไปแล้ว
แน่นอน ซูอี้ไม่ต้องการวิญญาณดาบ
กระทั่งในอดีตชาติของเขา ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ที่เขาภูมิใจที่สุดยังไร้วิญญาณดาบ
เหตุผลนั้นง่ายมาก คือในสายตาของนักดาบอื่น ๆ วิญญาณดาบจะเป็นผู้ช่วยที่ดีระหว่างศึก
ทว่าในสายตาของซูอี้ วิญญาณดาบเป็นตัวถ่วง
เมื่อต่อสู้ เขาไม่ต้องการความช่วยเหลือจากวิญญาณดาบแม้แต่น้อย
ท้ายที่สุด วิญญาณดาบนั้นมีจิตอัตตาของตนเอง ซึ่งไม่ต่างจากเป็นชีวิตใหม่จริง ๆ
ดาบที่หักนั้นสามารถสร้างใหม่ได้
แต่หากวิญญาณดาบสิ้นสูญ มันจะไม่ต่างอันใดกับการตายของคนหนึ่งคน และจะมีผลต่อสภาพจิตใจของนักดาบอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ทำให้เขาโศกเศร้าเสียใจหรือผิดหวัง
ที่สำคัญกว่านั้นคือ เมื่อคนคุ้นชินกับการต่อสู้กับวิญญาณดาบ หลังเสียวิญญาณดาบไป วิถีดาบของคนผู้นั้นจะไม่สมบูรณ์!
เพราะเหตุนี้ ในอดีตชาติของเขา แม้ว่าซูอี้จะครอบครองดาบวิถีอันลือนามทั่วโลกา แต่ดาบวิถีเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ไร้วิญญาณดาบ
ดาบคือดาบ เป็นอาวุธเพื่อเข่นฆ่าประชัน
และวิญญาณดาบคือชีวิต
ทั้งสองแตกต่างกันมาก
แน่นอนว่าดาบนิลกาฬบริสุทธิ์มีจิตวิญญาณของมันเอง และนี่ก็พอให้ซูอี้ใช้งานมันได้ตามใจราวเป็นมือเท้าตนเอง
ส่วนวิญญาณของ ‘นกกระจอกเพลิงยมโลก’ ซึ่งถูกผนึกในดาบนิลกาฬบริสุทธิ์นั้นไม่ใช่วิญญาณดาบ
ซูอี้เก็บดาบนิลกาฬบริสุทธิ์และลุกขึ้นจากท่านั่งทำสมาธิ
เมื่อมาถึงโถงชั้นแรกของหอเสียงอวิ๋น เขาก็พบอาหารเช้ามากมายเต็มโต๊ะ
มีทั้งโจ๊กร้อน ๆ เครื่องเคียงน่าดึงดูดใจ และสารพัดของคาวหวานอื่น ๆ
“เพชฌฆาตเฒ่า เจ้าขยันเพียงนี้แต่ยามใดกัน?”
เพชฌฆาตเฒ่าผู้อยู่หลังโต๊ะไม้แค่นเสียงกล่าว “ช่วงปีที่ผ่านมา แม่นางเย่อวี๋มักมาเยือนหอเสียงอวิ๋นเป็นครั้งคราว”
แววตาของเขาฉายประกายหวนรำลึก “นางเคยบอกอยู่หลายครั้งว่ายามที่เจ้าสัตว์ประหลาดเฒ่าซูมิฝึกฝน เจ้าจะถวิลหาความผ่อนคลาย สุราดีและอาหารอร่อยเฉกเช่นชายสามัญชน กระทั่งจะกินอะไรยังต้องมีคนบริการ”
กล่าวถึงตรงนี้ เพชฌฆาตเฒ่าก็กล่าวกับซูอี้อย่างครุ่นคิด “ข้าฟังมาหลายครั้งจนจำได้หมดแล้ว แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ ด้วยวิถีเต๋าของเจ้า ไฉนต้องถวิลหาของเหล่านี้ด้วย?”
ชายหนุ่มอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะแย้มยิ้ม “ไม่ว่าระดับฝึกฝนจะสูงเพียงไร แต่ข้าก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง โลกหล้าเต็มไปด้วยกิเลสโลกีย์มากมาย และในสายตาข้า จะปล่อยสุราอาหารดี ๆ ให้เสียเปล่าไม่ได้”
กล่าวจบ เขาก็นั่งลงและเริ่มดื่มด่ำกับอาหารเช้า
เพชฌฆาตเฒ่ากล่าว “แล้วปล่อยคนงามเสียเปล่าได้หรือ?”
ซูอี้ได้ฟังก็รู้ว่าประโยคนี้คงเป็นการทวงถามถึงเย่น้อย
เขาเมินมันและกินดื่มเงียบ ๆ
เพชฌฆาตเฒ่ารำพึง “สัตว์ประหลาดเฒ่าซู หากเจ้ายังมีสำนึกอยู่จริง ไปพาแม่นางเย่อวี๋กลับจากเมืองมืดเถอะ”
ซูอี้เงียบไปครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “เมื่อความวุ่นวายในเผ่าปีศาจงูสลายสิ้น ข้าจะไปพานางมา”
เพชฌฆาตเฒ่าไม่กล่าววาจาใดอีก
เขารู้ว่าซูเสวียนจวินเป็นคนเช่นไร ขอเพียงชายหนุ่มออกปากจะทำ อีกฝ่ายย่อมทำมันแน่นอน
เมื่อซูอี้กินข้าวเช้าเสร็จและวางแผนจะออกไปเดินเล่นในเมืองเทียนหยา สตรีผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาในโรงเตี๊ยม
หญิงสาวนางนั้นสวมชุดกระโปรงสีแดงสด เรือนผมดำขลับรวบมวยสูง เผยลำคอระหงและใบหน้างามตรึงตา
ผิวของนางขาวกระจ่างดุจหิมะ คู่เนตรลึกล้ำสุกสกาว เผยความยิ่งใหญ่สูงส่งโดยไม่ได้ตั้งใจยามมองมา
“จะเข้าพักหรือ?”
เพชฌฆาตเฒ่าที่โต๊ะไม้ยังคงดูเฉยเมย
“มาหาคน”
สตรีผู้นั้นใช้ดวงตาพราวแสงของนางจับจ้อง และพบซูอี้นั่งอยู่คนเดียวที่ไม่ไกลนัก
วาจานั้นสั้นห้วน ไม่ได้ก้าวร้าว แต่กลับแสดงความยโสจากก้นบึ้งหัวใจ
ดวงตาของเถ้าแก่เฒ่าดูพิกลเล็กน้อย
เขาย่อมรู้จักเจียงอิ้งหลิ่วและรู้ว่าอีกฝ่ายมาจากเก้ามหาแดนดิน และเป็นศิษย์ของผู้นำพันธมิตรเสวียนจวิน ผีหมัว
ฐานะและที่มาเช่นนี้ย่อมถือได้ว่าสูงส่งยิ่งนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าในเมืองเทียนหยา หรือกระทั่งทั่วภูมิมืดมิดนี้ ยังไม่มีกลุ่มเต๋าใด ๆ ที่กล้าไม่ให้เกียรตินาง
เพราะเหตุใด?
เพราะบรรพชนของเจียงอิ้งหลิ่วคือปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน!
เมื่อแรกเดินทางสู่ภูมิมืดมิด ชายผู้นั้นก็สังหารใครก็ตามที่กล้าหยามเกียรติเขา และเกียรติภูมิของเขาก็ยังคงแซ่ซ้องในภูมิมืดมิดจวบยามนี้
กระทั่งเมื่อข่าวการตายของเขาแพร่ออกเมื่อห้าร้อยปีก่อน แต่ก็ยังไม่อาจส่งผลใด ๆ ต่ออำนาจของเขาในใจผู้คนได้!
ทว่า…
สิ่งที่เพชฌฆาตเฒ่ารู้สึกว่าน่าสนใจก็คือ ยามนี้ เกรงว่าเจียงอิ้งหลิ่วคงไม่มีวันคาดว่าบรรพชนผู้นำมาซึ่งเกียรติภูมิไม่รู้จบนั่งอยู่ตรงหน้า แต่นางก็ยังไม่รู้ตัว!
“เจ้าอยากพูดเรื่องอันใด?”
ซูอี้นั่งมองเจียงอิ้งหลิ่วด้วยสีหน้าเฉยชา
เจียงอิ้งหลิ่วแปลกใจเล็กน้อยกับท่าทางเยือกเย็นนี้ นางไม่คาดเลยว่าชายหนุ่มในขอบเขตวงล้อวิญญาณจะยังคงรักษาความสุขุมอยู่ได้ หลังจากได้ยินฐานะของนาง
และนางก็เข้าใจทันที
คงเป็นเพราะการปกป้องจากผู้เก่งกาจเยี่ยงเถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นที่ทำให้ชายหนุ่มผู้นี้สุขุมนัก
“ข้าต้องการลัญจกรหยกบรรพชนของเผ่าปีศาจงู”
เจียงอิ้งหลิ่วกล่าวตรงประเด็น “ขอเพียงส่งมันมา ข้ารับปากว่าจะไม่ฟื้นฝอยหาตะเข็บ และเรื่องของเผ่าปีศาจงูจะไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าแม้แต่น้อย”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “แล้วถ้าข้าไม่ให้เล่า?”
เจียงอิ้งหลิ่วขมวดคิ้วน้อย ๆ “ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะหลบอยู่ในหอเสียงอวิ๋นได้ตลอดชีวิตหรอก”
สีหน้าของเพชฌฆาตเฒ่าที่หลังโต๊ะไม้ดูยากอ่านในชั่วขณะ ในช่วงสามหมื่นหกพันปีที่ผ่านมา เขาก็เหมือนติดคุกอยู่จริง ๆ!
“ในเมื่อเจ้ารู้ เรื่องก็จัดการง่าย”
เจียงอิ้งหลิ่วมองซูอี้ตรง ๆ “ข้าจะให้เวลาเจ้าคิดครึ่งชั่วยาม อย่าคิดต่อรองกับข้า และอย่าคิดเชียวว่าเจ้าจะใช้ลัญจกรหยกบรรพชนแห่งเผ่าปีศาจงูมาแลกกับผลประโยชน์อื่นได้ ข้ารับปากไว้ชีวิตเจ้าได้ แต่นั่นคือบรรทัดฐานต่ำสุดแล้ว”
วาจาดูแคลนเหล่านี้เป็นดั่งประกาศิตจากเจ้าแห่งนภา
ห้ามเคลือบแคลง ห้ามบิดพลิ้ว!
หากเป็นผู้ฝึกตนอื่น ๆ ในวิถีวิญญาณมาเผชิญวาจาของเจียงอิ้งหลิ่วหรือตัวตนในขอบเขตจักรพรรดิอื่น ๆ ล่ะก็ เขาคงตกใจกลัวจนก้มหัวอย่างเชื่อฟังไปแล้ว
ทว่าซูอี้ไม่ได้ทำเช่นนั้น
เขาลูบจมูกตน และสุดท้ายก็อดหัวเราะไม่ได้
เมื่อเห็นเช่นนี้ เพชฌฆาตเฒ่าที่หลังโต๊ะไม้ก็หัวเราะเช่นกัน เขากลั้นไม่ไหวแล้ว!
ซูอี้หันไปถามเพชฌฆาตเฒ่า “เจ้าหัวเราะอันใด?”
เพชฌฆาตเฒ่าหยุดหัวเราะทันที ดูสงบสำรวมขึ้นมาทันตา
เขาเห็นได้ว่าซูอี้ไม่พอใจเล็กน้อยกับการนั่งดูอย่างสนุกสนานของเขา
เจียงอิ้งหลิ่วผงะไปชั่วขณะ คู่เนตรกระจ่างเย็นเฉียบ ต่อหน้าคำถามของนาง คนผู้นี้ยังคิดไปสนใจคนอื่นอีกหรือ?
ทว่า ก่อนที่นางจะได้พูดต่อ ซูอี้ก็เคาะโต๊ะเบา ๆ และกล่าวว่า “ตอบคำถามข้าก่อน และข้าจะบอกทางเลือกของข้าให้”
ดวงตาของเจียงอิ้งหลิ่วเย็นชาลงทุกขณะ เป็นเพียงตัวตนต่ำต้อยในวิถีวิญญาณ แต่กลับกล้าเจรจาเงื่อนไขกับนาง! ช่างกล้าจริงแท้!
ทว่าสุดท้าย นางก็สูดหายใจลึก ๆ สงบจิตสังหารที่พลุ่งพล่านในใจ “ว่ามา”
ซูอี้กล่าว “ในฐานะศิษย์ผู้หนึ่งของผีหมัว ไฉนจึงมากวนเรื่องในเผ่าปีศาจงูให้ปั่นป่วน? แล้วยังต้องการลัญจกรหยกบรรพชนของเผ่าปีศาจงู?”
เจียงอิ้งหลิ่วกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “เรื่องนี้เกี่ยวอันใดกับเจ้า?”
ซูอี้จ้องเจียงอิ้งหลิ่วด้วยคู่เนตรลึกล้ำ “นี่เป็นความคิดของผีหมัว อาจารย์เจ้าหรือ?”
เจียงอิ้งหลิ่วผงะไปชั่วขณะ จู่ ๆ นางก็รู้สึกว่าชายหนุ่มชุดเขียวตรงหน้านางผิดปกติเล็กน้อย
ผู้ฝึกตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณใดในโลกหล้าบ้างจะใส่ใจเรื่องอันเกี่ยวข้องกับตนเพียงเล็กน้อยเยี่ยงนี้ยามชีวิตตนอยู่ในอันตราย?
นี่ไม่ใช่เรื่องของความกล้า
“ไฉนเจ้าจึงถามเรื่องนี้เล่า?”
เจียงอิ้งหลิ่วขมวดคิ้ว
ซูอี้นวดหว่างคิ้ว ตระหนักแล้วว่าเป็นไปไม่ได้เลยหากต้องการคำตอบจากการพูดคุย
เขากล่าวทันทีว่า “วันที่สิบห้าเดือนแปด ข้าจะนำลัญจกรหยกบรรพชนนั่นไปยังเผ่าปีศาจงู ถ้าอยากได้มันก็ลองดูยามนั้นได้”
ดวงตาของเจียงอิ้งหลิ่วฉายประกายเย็นชา “นี่คือการตัดสินใจสุดท้ายของเจ้าหรือ?”
ซูอี้พยักหน้า
“เจ้าควรรู้สึกโชคดีที่กล่าวคำเหล่านี้กับข้าที่หอเสียงอวิ๋นนี้ ในวันที่สิบห้าเดือนแปด หากเจ้าไม่มา ข้าจะทำทุกสิ่งเพื่อทำลายเจ้า!”
เจียงอิ้งหลิ่วลุกขึ้น และออกจากหอเสียงอวิ๋นไปโดยไม่มองซูอี้อีก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าศิษย์ผีหมัวผู้นี้จากไปพร้อมความเกลียดแค้นประสงค์สังหาร วาจาของนางไม่ได้ปิดบังเจตนาแม้แต่น้อย
จนเมื่อร่างของนางหายลับ เพชฌฆาตเฒ่าจึงอดพูดไม่ได้ว่า “สัตว์ประหลาดเฒ่าซู นั่นศิษย์หลานเจ้านะ ไฉนไม่บอกนางเล่าว่าเจ้าเป็นใคร?”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยชา “ข้าไม่มีศิษย์หรือศิษย์หลานอกตัญญูเช่นนี้”
เพชฌฆาตเฒ่าสะดุ้ง เขาตระหนักบางสิ่งขึ้นทันที และกล่าวอย่างตกใจ “หรือข่าวลือจะเป็นจริง ศิษย์เอกของเจ้าผีหมัวทรยศเจ้าหรือ?”
ซูอี้รำพึงเบา ๆ “น่าขำหรือไม่?”
เพชฌฆาตเฒ่าส่ายหน้า “ข้ารู้สึกว่าแม่นางเย่อวี๋น่าจะถูกหลอก นางไม่รู้เลยว่าผีหมัวคือคนทรยศ หาไม่ เจียงอิ้งหลิ่วจะได้รับอนุญาตให้ประจำการในเมืองเทียนหยานี้หรือ?”
ชายหนุ่มกล่าว “นี่คือหนึ่งในเหตุผลของการที่ข้ามายังเผ่าปีศาจงูครั้งนี้ โชคดีที่เรื่องราวยังไม่แย่จนเกินไปนัก”
เพชฌฆาตเฒ่าขมวดคิ้วกล่าว “หากเป็นเช่นนั้น ไฉนเจ้าจึงปล่อยเจียงอิ้งหลิ่วไปก่อนหน้านี้เล่า? หาไม่ ไม่ว่าเจ้าจะอยากรู้อันใด ก็จะได้คำตอบในไม่กี่อึดใจแท้ ๆ”
ซูอี้ตกใจ แล้วจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดูเหมือนไม่ยิ้ม “เพชฌฆาตเฒ่า เจ้าสงสัยว่าข้าจะไม่อาจเอาชนะเจียงอิ้งหลิ่วเพราะขาดพลังหรือไร?”