บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 88 ตอบแทนด้วยทุกสิ่งอย่าง
ตอนที่ 88 : ตอบแทนด้วยทุกสิ่งอย่าง?
“ท่านอา!”
ในระยะไกล องค์ชายหกตะโกนดังลั่น หัวใจบีบรัด
คนอื่นรอบบริเวณรู้สึกไม่ต่างกัน
ตูม!
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของวิกฤต ชิงจินไร้ซึ่งความกลัวและพยายามต้านทานอย่างสุดกำลัง แต่ก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีครั้งนี้ไหว ดาบคู่จันทราชาดในมือจึงกระเด็นออกไป
ร่างของนางบินออกไปหลายจั้ง ริมฝีปากซีดเซียว ไอออกมาเป็นเลือด ดวงตาสดใสมัวหมอง ลมหายใจอ่อนแอลง
“ยังไม่ตายรึ?”
ชายร่างผอมบางขมวดคิ้วเล็กน้อย คล้ายกับประหลาดใจกับภาพเบื้องหน้า
“องค์ชายหก รีบหนีออกไปก่อนข้าจะตาย ข้ารู้ดีว่าเจ้ายังมีไพ่ตายอยู่กับตัว ยามถึงคราต้องใช้ อย่าได้หวงแหนมัน!”
ด้วยอาการไออย่างรุนแรง ชิงจินพยายามลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก หันมองยังดาบคู่จันทราชาดที่ตกห่างออกไประยะไกล ดวงตาเผยความสิ้นหวัง
จากนั้นนางส่ายศีรษะ สูดหายใจเข้าลึก ใบหน้างามอันซีดขาวเต็มไปด้วยความหม่นหมอง พลางกล่าวถ้อยคำออก “หากศัตรูไม่คิดหวงแหนชีวิต ข้าเองก็จะไม่เช่นกัน!”
รูม่านตาของชายร่างผอมบางหดลีบเล็กน้อย ทั้งยังรู้สึกลังเล
“ท่านอาชิง ถ้าจะตาย เราจะตายไปพร้อมกัน!”
องค์ชายหกตะโกน ดวงตาเผยความเด็ดเดี่ยว “ในอนาคตเมื่อท่านพ่อรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ พวกมันจะต้องตายทั้งหมด!!”
ไม่ไกลนัก ชายวัยกลางคนและคณะสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย
“ข้าพาเจ้ามาตลอดทาง แล้วจะปล่อยเจ้าตายได้อย่างไร? ไปเร็วเข้า!”
ชิงจินดุ
“ไป? ทุกคนที่นี่ห้ามไปไหนเด็ดขาด!”
ในระยะไกล ชายวัยกลางคนกล่าวออกด้วยท่าทีขึงขัง “ตราบใดที่พวกเจ้าทุกคนตกตาย เรื่องราวนี้จะไม่มีวันสาวมาถึงเรา!”
ทันใดนั้น หยวนลั่วซีและเฉิงอู้หย่งหนาวสะท้านในใจ
แต่ขณะเดียวกัน เสียงถอนหายใจอย่างจนใจดังขึ้น
“ข้าบอกแล้วว่ามันจะเป็นปัญหาใหญ่”
หลังจากเอ่ยคำจบ ซูอี้เดินออกจากด้านข้างเรือ มือถือฝักดาบไม้ไผ่ ก้าวออกมาอย่างเฉยเมย
ทุกสายตาจับจ้องในทันใด
หยวนลั่วซี เฉิงอู้หย่ง และหวงเฉียนจวินดวงตาเป็นประกาย พวกเขาล้วนดูตื่นเต้น ในที่สุดคุณชายซูก็จะลงมือแล้วงั้นหรือ?
แลเห็นเป็นชายหนุ่มที่หวาดกลัวตรงทางเข้าบันไดนั่นเอง ชายวัยกลางคนกล่าวเย้ยหยัน “คนหนุ่มเอ๋ย อย่าได้กลัวไปเลย ข้าสัญญาว่าจะตัดหัวของเจ้าอย่างเร็ว และให้จากไปอย่างไม่เป็นทุกข์”
ชายชุดดำทุกคนต่างหัวเราะ
“คำพูดของเจ้าหมายความว่าอย่างไร!?”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูอี้ สีหน้าองค์ชายหกกลายเป็นหมองหม่น “คิดว่าการที่ข้ารั้งเจ้าไว้ มันเป็นการทำร้ายเจ้างั้นหรือ!?”
ท่าทีแสดงออกดูน่ากลัว ทั้งยังเดือดดาลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“ไม่จริงงั้นหรือ?”
ซูอี้ถามกลับ “ทั้งที่รู้ว่าตนมีความลับอยู่กับตัว กลับกล้ามาดื่มและเล่นสนุกอยู่ที่นี่ ตอนนี้ทุกคนต้องมีส่วนเกี่ยวข้องเพราะเจ้า ช่างเห็นแก่ตัวอะไรเช่นนี้”
องค์ชายหกโกรธเคืองจนแทบกระอักเลือด
ก่อนหน้าเขายังตำหนิซูอี้ว่าโง่เขลาและเห็นแก่ตัว แต่ไม่คาดคิดว่า ตอนนี้เขากลับถูกซูอี้ตำหนิแทน!
“ดูสิ พวกมันเริ่มทะเลาะกันเองแล้ว นี่สินะที่เรียกว่าหมากัดกัน? ฮ่า ๆๆ”
ในระยะไกล หญิงสาวที่ลอบสังหารองค์ชายหกไม่สำเร็จหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจ
ซูอี้เหลือบมองด้วยสายตาเฉยเมย ถ้อยคำกล่าวออก “หลังจากนี้ เจ้าหัวเราะให้ได้ตลอดก็แล้วกัน”
ความหนาวเย็นแผ่ลงไปยังก้นบึ้งของหัวใจ เสียงหัวเราะหยุดกะทันหัน นางรู้สึกประหลาดใจ เด็กหนุ่มขอบเขตโคจรโลหิต แต่กลับมีกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้อย่างไร?
“องค์ชายหก มีเพียงคุณชายซูเท่านั้นที่สามารถช่วยพวกเราได้ในครั้งนี้ ข้าขอบอกกล่าวท่านอีกครั้ง อย่าปล่อยให้ความโกรธครอบงำความคิด!”
หยวนลั่วซีสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนกล่าวถ้อยคำจริงจัง
“เจ้าบอกว่า… เขาสามารถช่วยเราได้อย่างนั้นหรือ?”
เด็กหนุ่มเสื้อคลุมม่วงตะลึงเล็กน้อย รู้สึกคล้ายกับได้รับฟังคำโป้ปดอันยิ่งใหญ่
“คุณหนูหยวน เวลานี้ไม่เหมาะสม หวังว่าท่านจะไม่พูดเรื่องน่าขันเช่นนี้อีก!”
ใบหน้าจางตั้วบิดเบี้ยวน่าเกลียด
แม้แต่ตัวตนที่เหนือล้ำอย่างชิงจินก็ไม่อาจเทียบเทียมกับปรมาจารย์ผู้นั้น นับประสาอะไรกับเด็กหนุ่มขอบเขตโคจรโลหิตอย่างซูอี้?
ชายวัยกลางคนที่อยู่ห่างออกไปตะลึงงันชั่วขณะ ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะ
แม้แต่ชายร่างผอมบางผู้ถือง้าวสั้นสีดำก็ยังส่ายศีรษะเล็กน้อย ในสายตาของเขา ซูอี้เป็นเพียงตัวตลกที่กำลังรนหาที่ตาย
หากไม่ใช่เพราะกลัวว่าชิงจินจะพยายามโจมตีอย่างสิ้นหวังอีกครั้ง เขาคงโจมตีและสังหารซูอี้ไปแล้ว
ในเวลานี้ ชิงจินอดไม่ได้ที่จะหงุดหงิด หันมองซูอี้ด้วยสายตาเย็นชา กล่าวถ้อยคำประชดประชัน “หากเจ้าสามารถช่วยทุกคนได้จริง ข้าจะยอมตอบแทนทุกอย่างที่เจ้าขอ! แต่ถ้าทำไม่ได้ ก็หลบไปให้พ้นทางซะ!”
“ยอมตอบแทนด้วยทุกสิ่งอย่าง?”
ซูอี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าวออก “เงื่อนไขนี้พอรับไหว ไม่เช่นนั้น ข้าคงไม่ยินดีช่วยเหลือตัวปัญหาที่ข้าไม่รู้จักมักจี่ ช่วยเหลือคนโดยไร้เหตุผลเพียงพอไม่ใช่วิสัยของข้าผู้นี้”
ชิงจินนิ่งงัน ชายหนุ่มคนนี้ไม่ได้เสียสติใช่ไหม?
ในระยะไกล แสงเย็นวาบผ่านดวงตาชายร่างผอมบาง ฉวยโอกาสที่ชิงจินกำลังฟุ้งซ่าน เข้าจู่โจมอย่างชั่วร้าย
การจู่โจมของปรมาจารย์น่ากลัวเพียงใด?
จงประจักษ์!
ตูม!
ง้าวสั้นสีดำปกคลุมด้วยพลังอันน่าเกรงขาม ยามเมื่อแหวกอากาศออก ก่อเกิดเสียงเล็กแหลมเสียดแทงหู
“หลบไปซะ!”
ใบหน้างามของชิงจินแปรเปลี่ยน พร้อมกับตั้งใจจะผลักซูอี้ให้พ้นทาง
แต่ก็ต้องตกตะลึง พลังของนางไม่ได้อ่อนแอ แต่ยามผลักลงบนตัวซูอี้ มันคล้ายกับการผลักภูเขาทั้งลูก ไร้การเคลื่อนไหวใด
ชิ้ง!
ในเวลานี้ ทุกคนได้ยินเสียงดาบคำรามใสแว่วผ่านหู
ทันทีที่แสงดาบส่องประกาย ปรากฏแสงสายฟ้าแล่นแปลบปลาบในคืนอันมืดมิด ฉีกท้องฟ้ายามค่ำคืนให้สว่างไสว
รับชมภาพเบื้องหน้า ทุกคนเกิดอาการแสบร้อนจนต้องหรี่ตา
ในทางกลับกัน ชายร่างผอมบางเพียงรับรู้ได้ว่าวิญญาณกำลังสั่นไหว ดวงตาวาววับราวกับตกอยู่ในภวังค์ ภายใต้จิตสำนึก คล้ายกับความโกลาหลกำลังเริ่มต้นขึ้น ปราณดาบปรากฏโผล่ออกมาเปรียบเสมือนเมฆหมอกอันเป็นนิรันดร์ ทั้งยิ่งใหญ่และมีมนต์ขลัง แล้วยังกว้างใหญ่และสูงส่ง…
จากนั้นปราณดาบก็วาดเฉือนมาอย่างรวดเร็ว!
ความสิ้นหวังก่อตัวอย่างท่วมท้นในร่างกาย กระตุ้นชายร่างผอมบางตะโกนด้วยความหวาดกลัว
“ม…ไม่!!!”
เสียงก้องกังวานและสะเทือนเลือนลั่นท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน
ทุกสายตาที่รับชมต่างตกตะลึง ยามเงยหน้าขึ้นก็พบเห็นฉากอันน่าขนลุก
ชายร่างผอมบางซึ่งเดิมกำลังวิ่งเข้าจู่โจม ทว่าร่างนั้นกลับหยุดกลางคัน ง้าวสั้นสีดำในมือแข็งค้างในอากาศ ใบหน้าอันแน่วแน่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและสิ้นหวัง
ด้วยเสียงเฉือนวาดผ่าน ทั้งร่างทรุดตัวลงจนพื้นสั่นสะเทือน
ไร้ร่องรอยบาดแผลบนร่างกาย ทว่าพลังชีวิตของเขาหายลับราวกับระเหย
“ไม่จริง”
“ไม่…”
ชายร่างผอมบางส่งเสียงกรีดร้องดังก้องก่อนจะสิ้นใจในที่สุด
รับชมฉากการตายอันพิสดารนี้ หนังศีรษะทุกคนด้านชาด้วยความตกใจ
“นี่…”
ชายวัยกลางคนและคณะตกตะลึง
ปรมาจารย์วิถียุทธ์ตกตายอย่างแปลกประหลาดเช่นนี้ได้อย่างไร?
“ตาย? ตายแบบนี้น่ะหรือ?!”
องค์ชายหกแทบกระโดดเด้ง ดวงตาเผยความงุนงง วิงเวียนศีรษะ คล้ายกับสงสัยว่ากำลังอยู่ในห้วงความฝัน
ส่วนจางตั้วซึ่งอารักขาอยู่ด้านข้างนั้น เขาเองก็แตกตื่นไม่ต่างกัน ฉากความตายเบื้องหน้าเหนือล้ำเกินจินตนาการเกินไป มือและเท้าสั่นเทาราวกับเป็นไข้
นี่เป็นวิชาดาบแบบใดกัน?
“วิธีการสังหารของคุณชายซูลึกล้ำยากหยั่งถึงเสมอ!”
ในเวลานี้ แม้แต่หยวนลั่วซี เฉิงอู้หย่ง และหวงเฉียนจวินที่รู้จักซูอี้เป็นอย่างดี ก็ยังอดไม่ได้ที่จะชะงักงัน ความรู้สึกปนเปจนแทบสิ้นสติ
หนึ่งดาบฟาดฟันดั่งอสนีบาต สะท้านสะเทือนฟากฟ้ายามค่ำคืน
อย่างไรก็ตาม ปรมาจารย์วิถียุทธ์เสียชีวิตทันทีโดยไร้บาดแผลใด วิธีการตายดังกล่าวช่างแปลกประหลาดและน่าหวาดกลัวเกินไป
“จ…เจ้า…”
ชิงจินที่อยู่ใกล้ที่สุด ตะลึงงันจนไม่อาจกล่าวถ้อยคำได้ชัดเจน
ยามชายร่างผอมบางเคลื่อนไหว นางคิดวางแผนผลักซูอี้ชายหนุ่มที่ไม่รู้ชั่วดีออกจากทาง แต่ใครจะคาดคิด แรงผลักกลับไม่ส่งผล
และขณะเดียวกัน นางกลับได้รับชมภาพฉากอัศจรรย์ในระยะประชิดยิ่งกว่าใคร
แค่เพียงสะบัดมือ ดาบผุดออกจากแท่งไม้ไผ่ คมดาบรวดเร็วราวกับสายฟ้า แหวกผ่าท้องนภายามค่ำคืน ก่อเกิดเป็นภาพอันน่าเหลือเชื่อ
แต่สิ่งที่ทำให้นางชะงักงันไปชั่วขณะ หลังจากดาบนี้กวาดออกไป ระยะห่างจากชายร่างผอมบางยังเหลืออีกนับสิบจั้ง และคมดาบไม่ได้แตะเสื้อคลุมของอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ
แต่อีกฝ่ายกลับตกตายอย่างน่าประหลาด!!
ขณะที่ยังอยู่ในห้วงภวังค์ความคิด ซูอี้ที่ยืนอยู่ด้านหน้า วูบไหวเดินตรงไปยังหญิงสาวผู้เคยพยายามลอบสังหารองค์ชายหกซึ่งยืนอยู่ไม่ไกล
รวดเร็วกว่าตัวเขาก็คือดาบสุดแดนดินในมือ เปรียบเสมือนลำแสงที่เจาะทะลุลำคอหญิงสาวอย่างแม่นยำ
ฉึก!!
หยาดโลหิตสาดกระเซ็น
ดวงตาสองของสตรีเบิกกว้าง ใบหน้าเล็กเปี่ยมล้นด้วยความสับสนและประหลาดใจ
นางกำลังตกใจกับเหตุการณ์ก่อนหน้า แต่ก่อนจะทันรู้ตัว คมดาบก็แทงทะลุลำคอ กลายเป็นเพียงลูกแกะที่รอถูกเชือด ก่อนเสียชีวิตลงในที่สุด
“หัวเราะผิดเวลา เป็นเหตุแก่ความตาย” ซูอี้กล่าวออกคำเบา
ดึงดาบออกจากลำคอ ซูอี้หันมองชายวัยกลางคนในระยะไกล โดยไม่หันกลับมามองร่างหญิงสาวที่กำลังล้มพับลงพื้นเสียงดัง
ในเวลานี้ ชายวัยกลางคนและคณะพลันตื่นจากภวังค์ สีหน้าแปรเปลี่ยนสิ้นเชิง ความหวาดกลัวเหลือล้นกัดกินหัวใจ
ชายร่างผอมบางเป็นผู้ให้การสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แต่เขากลับถูกฆ่าด้วยดาบเดียวง่ายดายแบบนั้น
มันจะไม่ทำให้พวกเขาประหลาดใจได้อย่างไร?
“เร็ว ไปเร็ว หนี!”
ชายวัยกลางคนตะโกน หันศีรษะแล้วรีบวิ่งไปที่บันได
ชายชุดดำมากกว่าสิบคนด้านข้างรวดเร็วยิ่งกว่า รีบพุ่งตัวตรงไปที่ด้านข้างของเรือ พยายามกระโดดจากชั้นเก้าลงสู่แม่น้ำต้าฉางเบื้องล่างโดยตรง
ทว่าเฉิงอู้หย่ง จางตั้ว และคนอื่นจะปล่อยให้อีกฝ่ายทำในสิ่งที่ต้องการได้อย่างไร พวกเขารีบก้าวเท้าออกไปและเริ่มการสังหารในทันที
“ฆ่ามัน จะปล่อยให้พวกโจรชั่วหนีไปไม่ได้!”
“ทุกคนไม่ต้องยั้งมือ!”
“ตายซะ เจ้าพวกสารเลว!”
บนอาคารชั้นเก้า ไม่ได้มีเพียงแต่ซูอี้และกลุ่มขององค์ชายเท่านั้น แต่ยังคงมีผู้โดยสารจำนวนมากที่คอยซ่อนตัวรับชมเหตุการณ์จากระยะไกล รวมถึงเหล่าผู้บ่มเพาะบางคนด้วย
เมื่อเห็นฝ่ายโจรเสียเปรียบ ผู้บ่มเพาะเหล่านี้จึงรีบออกมาทีละคน พลางตะโกนและเร่งเร้าเข้าช่วย
ซูอี้เดิมวางแผนไล่ตาม แต่ครั้งเห็นฉากนี้ เขาจึงหยุดความคิดทันทีและเก็บดาบคืนสู่ฝัก
เขาเกียจคร้านมาโดยตลอด และไม่มีวันทำในสิ่งที่ผู้อื่นสามารถทำแทนได้
เมื่อพบเห็นเก้าอี้อยู่ไม่ไกล ซูอี้เดินไปนั่งก่อนจะถอนหายใจยาว รู้สึกถึงความอ่อนล้าจากจิตวิญญาณ พลันหัวเราะเยาะตัวเองอย่างอดไม่ได้
ดาบที่ใช้สังหารศัตรูเมื่อครู่เป็นเคล็ดวิชาทางจิตวิญญาณเรียกว่า ‘เพลงดาบมหามิติพรากวิญญาณ’ เขาเพิ่งสามารถใช้มันได้หลังจากก่อนหน้านี้เขาขัดเกลาดวงจิตสำเร็จไปได้อีกขั้น
เพลงดาบนี้เปรียบเสมือนมหามิติอันเร้นลับ ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า ฟาดฟันวิญญาณในกายโดยตรง สังหารผู้คนอย่างไร้ร่องรอย!
ถึงกระนั้น เพลงดาบนี้ก็ยังดูดกินพลังวิญญาณเกือบทั้งหมดไป
“คงต้องรีบฝึกฝน ‘คัมภีร์เขากลายสู่อิสระ’ ด้วยวิธีนี้เท่านั้น จึงจะสามารถใช้เพลงดาบนี้ได้ง่ายขึ้น…” ซูอี้ลอบกล่าวออก
ขณะกำลังครุ่นคิดถึงการฝึก ซูอี้แลเห็นชายหนุ่มในชุดคลุมม่วงหรือก็คือองค์ชายหกที่อยู่ไม่ไกลกำลังจับจ้องตรงมา