บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 880: ยอดเขาแท่นบัว
ตอนที่ 880: ยอดเขาแท่นบัว
เพชฌฆาตเฒ่าไอแห้ง ๆ ขึ้นมาด้วยความกระอักกระอ่วน และกล่าวขึ้น “เพียงแค่สงสัยเท่านั้น เจ้าอย่าได้คิดมาก!”
ซูอี้หัวเราะพลางกล่าว “เมื่อไรที่เจ้าต้องการจะลอง ได้ทุกเวลา ข้ารับรองว่าจะไม่ทำอันตรายเจ้าถึงชีวิต”
พูดจบ เขาก็สาวเท้าเดินกลับห้อง
การมาของเจียงอิ้งหลิ่วทำให้เขาหมดอารมณ์จะออกไปเดินเล่นข้างนอก จึงตัดสินใจไปฝึกตนต่อ
สำหรับซูอี้แล้ว เมื่อหมดอารมณ์จะทำเรื่องใดแล้ว สู้ใช้เวลาและสมาธิทั้งหมดไปกับการฝึกตนจะดีเสียกว่า
ด้านหลังแท่นชำระเงิน เพชฌฆาตเฒ่านั่งนิ่ง ๆ อยู่ตรงนั้น หนาววาบไปทั้งสันหลัง
เขารู้ว่า คำพูดของซูอี้ที่พูดไว้ก่อนไป เป็นการพูดเตือนใจเขา!
หากว่ามีครั้งต่อไป ซูอี้คงจะลงมือโดยไม่ให้โอกาสเขาได้อธิบายอะไรอีก!
เมื่อนึกถึงภาพที่ตัวเองต้องพ่ายแพ้ให้แก่อีกฝ่ายขึ้นมา หัวใจของเพชฌฆาตเฒ่าถึงกับกระตุกขึ้นมา
‘ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้าไม่อาจทดสอบเจ้าหนุ่มคนนั้นได้อีกแล้ว มิเช่นนั้น ด้วยนิสัยของเขา ต่อให้ไม่ฆ่าก็คงต้องอยู่แบบตายเสียดีกว่าอยู่…’
เพชฌฆาตเฒ่าแอบคิดในใจ
——
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า
นอกจากฝึกตน บางครั้งซูอี้ก็จะออกจากหอเสียงอวิ๋น ไปเดินเล่นในเมืองเทียนหยา
ที่ผ่านมาไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นทั้งสิ้น
วันที่สิบห้าเดือนแปด เช้าตรู่
ฟ้าเพิ่งสว่าง ราชรถคันงามก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าหอเสียงอวิ๋น
หญิงสาวกระโปรงสีดำเดินลงมาจากราชรถ เมื่อเดินเข้าไปในหอเสียงอวิ๋นแล้ว ก็เห็นซูอี้นั่งทานอาหารเข้าอยู่คนเดียวที่โต๊ะ
อาหารเช้าบนโต๊ะยังคงมีไอร้อนกรุ่น
ภาพเช่นนี้ทำให้หญิงสาวรู้สึกตื่นตะลึง
หลายวันมานี้ เป็นเพราะต้องคัดเลือกผู้นำตระกูลคนใหม่ การแก่งแย่งชิงดีกันอย่างลับ ๆ ภายในเผ่าปีศาจงูของพวกเขาจึงรุนแรงขึ้นและไม่สงบสุข ทุก ๆ คนล้วนอยู่ในความตึงเครียด กินไม่ได้นอนไม่หลับ
แม้กระทั่งนางเอง หลายวันมานี้ก็ยังกินอะไรไม่ค่อยลง จึงผ่ายผอมลงไปมาก
แต่เวลานี้ เมื่อเห็นซูอี้นั่งทานอาหารเช้าด้วยความสุขกายสบายใจแล้ว ในใจของนางก็เกิดความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอย่างประหลาด
คนผู้นี้ไม่เคยใส่ใจเรื่องของเผ่าปีศาจงูเลยใช่หรือไม่?
“สหายเต๋าซู ท่านอาให้ข้ามารับท่าน”
สตรีในชุดกระโปรงสีหมึกสูดหายใจลึก ๆ เก็บกดความรู้สึกผิดหวังไว้ในใจ เอ่ยพูดขึ้นมาเบา ๆ “แน่นอน หากว่าท่านรู้สึกว่ามีอันตราย จะไม่ไปก็ได้”
ซูอี้เหลือบมองดูนาง จากนั้นยิ้มพลางกล่าว “ไม่ต้องรีบ ให้ข้ากินให้เสร็จก่อน”
เย่รั่วซีพยักหน้าพลางลอบคิดในใจ คนผู้นี้ไม่คิดจะหนียามเจอปัญหา ถือได้ว่าหายาก หากว่าเป็นคนอื่น ไหนเลยยังจะกล้าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการแก่งแย่งชิงดีในเผ่าข้าได้
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ความผิดหวังในใจนางก็จางหายไปไม่น้อย
จนกระทั่งทานอาหารเช้าจนหมดทุกอย่างแล้ว ซูอี้จึงพ่นลมออกจากปากด้วยความพึงพอใจ จากนั้นลุกขึ้นเดินตรงไปนอกหอเสียงอวิ๋น
“ไปกันเถิด”
ซูอี้กล่าว
“สหายเต๋าซู มีท่านเพียงคนเดียวเท่านั้นหรือ?”
สตรีในชุดกระโปรงสีหมึกรู้สึกลังเลอยู่บ้าง ขณะที่พูด สายตาก็มองไปยังเพชฌฆาตเฒ่าที่นั่งอยู่ด้านหลังที่ชำระเงิน
ซูอี้รู้สึกได้ถึงจุดนี้แล้วได้แต่นิ่งเงียบ
ก่อนหน้านี้เขายังรู้สึกตกใจ ไม่คิดว่าเย่จื่อซานจะสั่งให้หญิงสาวคนนี้มารับตนเอง
ทว่าตอนนี้ดูท่าแล้ว คนที่ฝ่ายตรงข้ามต้องการจะรับไม่เพียงแค่ตนเองเท่านั้น พวกเขาต้องการรับตัวเพชฌฆาตเฒ่ามากกว่า!
“เวลาที่ต้องฆ่าคน เขาก็จะปรากฏเอง”
ซูอี้พูดจบก็เดินออกประตูให้หอเสียงอวิ๋น
หญิงสาวนิ่งตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นจึงรีบตามไปโดยเร็ว
ราชรถหรูหราคันนั้นก็พาคนทั้งสองบินไปยังเผ่าปีศาจงูอย่างรวดเร็ว
บนราชรถ
สตรีในชุดกระโปรงสีหมึกทนไม่ไหวพูดขึ้นมา “สหายเต๋าซู ถึงแม้สถานการณ์ในวันนี้จะเลวร้ายแค่ไหน อย่างไรเสียก็เป็นเรื่องภายในของเผ่าปีศาจงู อาจจะเกิดการปะทะนองเลือดขึ้นก็เป็นได้”
“แต่หากว่าเจ้าไปคนเดียวเพียงลำพังเช่นนี้ จะยุติความขัดแย้งในวันนี้ได้เช่นใด? ยิ่งกว่านั้น หากให้ผู้อาวุสูงสุดที่สามของเผ่าข้ามาเจอกับเจ้า เป็นต้องหาโอกาสเล่นงานเจ้าแน่”
หญิงสาวรู้สึกไม่เป็นสุข และหนักใจยิ่งนัก
ความหมายที่แฝงไว้ก็คือ ไม่มีเพชฌฆาตเฒ่าอยู่ด้วย เพียงแค่ซูอี้เพียงคนเดียวไปเผ่าปีศาจงู ไม่เพียงแต่ไม่อาจทำอะไรได้เท่านั้น ทั้งยังอาจจะต้องเอาชีวิตไปทิ้งด้วย
ซูอี้เอนกายอยู่ตรงนั้นด้วยความเกียจคร้าน ขณะมองดูเค้าโครงใบหน้าที่งดงามของแม่สาวตรงหน้าแล้วกล่าวขึ้นมา “เจ้าชื่ออะไร?”
นางอึ้งไป ขมวดคิ้วงามด้วยความไม่พอใจ นี่เป็นเวลาใดกันแล้ว ผู้ชายคนนี้ยังมีเวลามาถามเรื่องนี้อยู่อีก?
นางเม้มริมฝีปาก ทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่สนใจซูอี้
ซูอี้จึงได้แต่หัวเราะขึ้นมา พลางกล่าว “วางใจเถอะ มีข้าอยู่ ฟ้าของเผ่าปีศาจงูของพวกเจ้า… ไม่ถล่มลงมาหรอก”
สตรีในชุดกระโปรงสีหมึกนิ่งตะลึง จากนั้นถอนใจเบา ๆ พลางกล่าว “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
ซูอี้ไม่ถือสาหญิงสาวเป็นธรรมดา
ทว่าเขาก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน
มีบางเรื่อง ทำไปแล้วคนอื่นจึงจะเชื่อ
ส่วนคำพูดเหล่านั้น พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์
เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวเชื่อว่ามีแต่พลังของเพชฌฆาตเฒ่าเท่านั้นจึงจะสามารถช่วยขจัดปัญหาของเผ่าปีศาจงูได้ ไม่ว่าเวลานี้เขาจะพูดอะไรออกไปก็ไร้ประโยชน์
เมื่อใกล้จะถึงเผ่าปีศาจงู สุดท้ายสตรีในชุดกระโปรงสีหมึกก็ยังคงทนไม่ไหวกล่าวขึ้นมา “สหายเต๋าซู จะต้องคิดดูให้ดี พอเข้าไปในเผ่าปีศาจงูของข้าแล้ว หากว่าเจ้าไม่อาจขจัดปัญหาได้ เป็นไปได้มากว่าเจ้าอาจจะถูกผู้อาวุโสสามของข้าจัดการ ถึงเวลานั้น อาจจะมีอันตรายถึงชีวิตก็เป็นได้…”
ไม่รอให้พูดจบ ซูอี้ก็กล่าวขึ้นมาแล้ว “ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะบอกให้เจ้าได้รู้ หนึ่งในจุดมุ่งหมายที่ข้ามาเผ่าปีศาจงูของเจ้าในวันนี้ ก็เพื่อจัดการกับเย่ตงเหอ”
เย่รั่วซีทำหน้าตะลึง
และในขณะนี้เอง ราชรถก็มาหยุดลงตรงหน้าประตูเผ่าปีศาจงู
“คุณหนูมาถึงแล้ว”
บ่าวติดตามที่ขับราชรถร้องตะโกน
สตรีในชุดกระโปรงสีหมึกสูดหายใจลึก ๆ กล่าวเตือนสติอย่างรวดเร็ว “ประเดี๋ยวเจ้าอย่าได้พูดจาเหลวไหลเช่นนี้อีก ไม่เช่นนั้น จะเกิดอันตรายขึ้นจริง!”
พูดจบ นางก็เดินลงจากราชรถ
‘แม่นางน้อยคนนี้คล้ายเย่จื่อน้อย มีจิตใจที่ดีงามเช่นกัน’
ซูอี้แอบคิด
จากนั้นเขาก็เดินลงจากราชรถ
ภายในเมืองเทียนหยา มียอดเขาหลายสิบยอด หากพูดถึงยอดเขาที่งดงามและประหลาดที่สุด ก็ต้องเป็น ‘ยอดเขาแท่นบัว’ ซึ่งเป็นที่ตั้งของเผ่าปีศาจงู
ยอดเขาแห่งนี้สูงเสียดฟ้า งดงามศักดิ์สิทธิ์ มีเมฆมงคลพลังม่วงปกคลุมอยู่ตลอดทั้งปี ลักษณะของมันคล้ายกับแท่นดอกบัวขนาดใหญ่ที่ผุดขึ้นมาจากดิน ด้วยเหตุนี้จึงมีชื่อว่ายอดเขาแท่นดอกบัว
และมันก็ยังเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งเขตผี
ยอดเขาแท่นดอกบัวในวันนี้ต่างไปจากช่วงปกติ อาจเป็นเพราะต้องจัดงานประชุมใหญ่ในเผ่า ทั้งด้านในและด้านนอกล้วนมีกองกำลังแข็งแกร่งของเผ่าปีศาจงูเฝ้าประจำการ
“สหายเต๋าซู เชิญตามข้ามา”
สตรีในชุดกระโปรงสีหมึกเดินนำซูอี้เข้าไปในประตูอย่างเร่งรีบ
ตลอดทาง ไม่มีใครขัดขวาง
“งานประชุมใหญ่ในครั้งนี้ จะจัดขึ้นที่ ‘ตำหนักบรรพชน’ ซึ่งตั้งอยู่กลางภูเขา ในครั้งนี้ ผู้อาวุโสจากสายตระกูลหลักกับสามตระกูลรองของเผ่าปีศาจงูล้วนเข้าร่วมงานด้วย”
ระหว่างทาง หญิงสาวพูดรัวขึ้นมา “และสหายเต๋าจะถูกมองว่าเป็นแขกผู้ถูกรับเชิญให้ร่วมงานที่ทางสายตระกูลหลักของข้าเป็นผู้เชิญมา”
ซูอี้ถาม “เจียงอิ้งหลิ่วอยู่หรือไม่?”
สีหน้าของสตรีในชุดกระโปรงสีหมึกเปลี่ยนไปเล็กน้อย มองดูรอบด้านแล้วจึงลดเสียงเบาลง “สหายเต๋าซู อย่าได้เอ่ยถึงใต้เท้าเจียงอิ้งหลิ่วพร่ำเพรื่อ หากว่าใครมาได้ยินเข้า จะถูกมองว่าไม่เคารพเอาได้!”
นิ่งเงียบไปสักครู่ นางจึงส่งกระแสเสียงปราณมาด้วยความกังวล “ไม่เพียงแต่ใต้เท้าเจียงอิ้งหลิ่วเท่านั้นที่อยู่ แม้แต่ผู้อาวุโสบางท่านของหอดาบฟ้าดินก็ตามมาด้วยเช่นกัน ส่วนสายตระกูลหลักของข้ามีผู้อาวุโสเยว่สือ ซึ่งเป็นผู้อาวุโสสูงสุดในตำหนักเทพอัคคีกระจ่าง มิเช่นนั้น การคัดเลือกผู้นำตระกูลคนใหม่ในวันนี้คงจะไม่มีโอกาสพลิกผันอะไรอีก”
เยว่สือ?
ซูอี้ใช้สมาธิครุ่นคิด แต่พบว่านึกไม่ออก
ทว่าดูท่าทีของนางแล้ว เห็นได้ชัดว่าสายตระกูลหลักของเผ่าปีศาจงูยกย่องเยว่สือผู้มาจากตำหนักเทพอัคคีกระจ่างคนนี้เป็นผู้พลิกผันวิกฤต
จากนั้นซูอี้ก็ไม่คิดอีก
เดินบนหนทางที่ไปสู่ครึ่งค่อนภูเขา ชมทัศนียภาพระหว่างทาง สายตาของซูอี้เหม่อลอย
ในอดีต เขาเคยเดินบนหนทางเส้นนี้พร้อมกับเย่จื่อน้อย
“หลายปีผ่านไปนานถึงเพียงนี้แล้ว ทิวทัศน์ของยอดเขาแท่นดอกบัวแห่งนี้กลับไม่มีความเปลี่ยนแปลงมากนัก”
เมื่อเห็นหออาคารแห่งหนึ่งที่สร้างอยู่ในป่าไผ่ ซูอี้ก็รำพึงออกมา
หออาคารแห่งนั้น เป็นสถานที่พำนักของเย่จื่อน้อยตอนก่อนที่จะพิสูจน์เต๋ากลายเป็นจักรพรรดิ มันยังคงถูกเก็บรักษาไว้จนถึงตอนนี้ จึงไม่มีความเปลี่ยนแปลงอันใดมากนัก
หญิงสาวในชุดสีดำถามด้วยความสงสัย “สหายเต๋าซูเคยมายอดเขาแท่นบัวด้วยหรือ?”
ซูอี้ยิ้มทว่าไม่ตอบคำใด เพราะตัวเขาไม่เพียงแค่เคยมาเท่านั้น ยังเคยอยู่ที่นี่ช่วงเวลาหนึ่งด้วย!
อย่าว่าแต่สถานที่ตั้งหออาคารเหล่านั้นบนยอดเขาแท่นบัวเลย แม้แต่ ‘วิหารบรรพชนแดนต้องห้าม’ ของเผ่าปีศาจงู เขาก็ยังเคยลงไปพร้อมกับเย่จื่อน้อยมาแล้วหนหนึ่ง
สำหรับคนนอกแล้ว ยอดเขาแท่นบัวมีค่ายกลมากมาย เป็นที่ฝึกตนของเผ่าปีศาจงูหลายต่อหลายรุ่น จึงเก็บซ่อนความลับไว้ไม่น้อย
ทว่าสำหรับซูอี้แล้ว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่รู้อยู่ก่อนแล้ว
ณ ครึ่งค่อนภูเขา
น้ำตกเคลื่อนสายน้ำไหล ลำไผ่กับต้นสนเรียงรายสลับกัน
ณ ตำหนักโบราณแห่งหนึ่งซึ่งสร้างขึ้นติดกับภูเขา ราวกับพระราชวังของเหล่าเซียน ภายใต้แสงตะวันสาดทอส่อประกายแห่งความขลังและศักดิ์สิทธิ์
นี่ก็คือตำหนักบรรพชนของเผ่าปีศาจงู!
เมื่อซูอี้กับเย่รั่วซีมาถึง ก็เห็นว่านอกตำหนักมีผู้แข็งแกร่งจำนวนหนึ่งเฝ้าประจำการก่อนแล้ว แต่ละคนมีพลังแกร่งกล้าด้วยกันทั้งสิ้น
คนที่อ่อนที่สุดเป็นถึงผู้ฝึกตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณ
ส่วนคนที่แข็งแกร่งมีระดับวิถีถึงขอบเขตจักรพรรดิ!
ในบรรดานี้ มีทั้งถูยงและบ่าวเฒ่าที่มีนามว่าสิบสามรวมอยู่ด้วย!
ความยิ่งใหญ่ระดับนี้ หากว่าเป็นภูมิอื่น สามารถทำให้ขุมกำลังผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ถึงกับหนาวสะท้านได้
ทว่าเวลานี้ ทำได้เพียงแค่เฝ้าประจำการอยู่นอกตำหนักบรรพชนแห่งนี้เท่านั้น
จากจุดนี้สามารถมองได้ว่า ในฐานะที่เป็นหนึ่งในเก้าเผ่าราชันย์ของภูมิมืดมิด พื้นฐานของเผ่าปีศาจงูนับว่าไม่ธรรมดาเอาเสียเลย
เขารู้ดีว่ากำลังการต่อสู้ของซูอี้นั้นแข็งแกร่งถึงเพียงไหน
ทว่าที่นี่คือสถานที่สำคัญของเผ่าปีศาจงู วันนี้ คนที่มารวมตัวกันที่นี่มีผู้เฒ่าซึ่งมีระดับวิถีน่ากลัวอยู่จำนวนไม่น้อย!
ในสถานการณ์เช่นนี้ ซูอี้กลับมาเพียงคนเดียว จะไม่ให้ถูยงเป็นกังวลในความปลอดภัยของเขาได้อย่างไรกัน?
เมื่อมองเห็นภาพเช่นนี้ สิบสามก็รู้สึกตกใจเช่นกัน เพราะไม่คาดคิดว่าหนุ่มน้อยแห่งขอบเขตวงล้อวิญญาณอย่างซูอี้เช่นนี้จะกล้ามาตามนัดจริง ๆ
ซูอี้ไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ สองมือของเขาไพล่หลัง เดินตามหลังหญิงสาวเข้าสู่ตำหนักบรรพชน
ตลอดทาง การปรากฏตัวของเขาเป็นจุดสนใจของคนจำนวนไม่น้อย
เมื่อเดินผ่านสิบสาม ตาเฒ่าผิวขาวซีดแขนขาดหนึ่งข้างก็กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
“เจ้าหนุ่มน้อย เจ้าใจกล้ามาก แต่ที่นี่ไม่ใช่หอเสียงอวิ๋น และเจ้าของหอเสียงอวิ๋นก็ไม่อาจคุ้มครองเจ้าได้เช่นกัน!”