บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 881: เยว่สือ
ตอนที่ 881: เยว่สือ
เสียงของสิบสามเบามาก สายตามีแต่ความเฉยชา
เมื่อเอ่ยเช่นนี้ออกมา สายตาของผู้แข็งแกร่งที่อยู่ใกล้ ๆ ก็มองซูอี้เปลี่ยนไป
ถึงแม้น้ำเสียงจะราบเรียบสบาย ๆ แต่ทำให้คนอื่นที่อยู่ใกล้ ๆ ถึงกับตะลึง
สีหน้าของสิบสามเคร่งเครียดลง
ทว่าซูอี้ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้ เขาตามหลังสาวน้อยชุดดำเดินเข้าไปในตำหนักบรรพชน
——
ตำหนักบรรพชนสร้างติดภูเขาและหน้าผาทะเลหมอก รูปทรงโบราณงดงาม
ส่วนยอดของตำหนักฝังด้วยหินดาวเงินจำนวนมากคล้ายกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ทอแสงระยิบระยับประดุจน้ำ
เวลานี้ ณ ที่นั่งชั้นหนึ่งในตำหนัก มีคนนั่งกันเต็มแล้ว
ที่นั่งฝั่งซ้ายของตำหนัก คือผู้อาวุโสสายตระกูลหลักของเผ่าปีศาจงูที่มีเย่จื่อซานเป็นผู้นำ
ที่นั่งฝั่งขวาของตำหนัก คือผู้อาวุโสสายตระกูลรองของเผ่าปีศาจงู
ที่นั่งตำแหน่งประตูตำหนัก คือที่นั่งของแขกผู้มาร่วมงาน
มีเจียงอิ้งหลิ่ว ศิษย์ของผีหมัว
มีผู้อาวุโสที่มาจากหอดาบฟ้าดิน และมีแขกคนอื่น ๆ ที่ได้รับเชิญมา แต่ละคนล้วนมีฐานะสูงส่ง
ส่วนเย่ตงเหอ ผู้อาวุโสสุดสุดที่สามกลับนั่งอยู่ในตำแหน่งประธานใจกลางตำหนักเพียงผู้เดียว
“เย่รั่วซีแห่งสายตระกูลหลัก พาซูอี้แขกผู้รับเชิญมาถึงแล้ว!”
เสียงประกาศที่นอบน้อมดังขึ้น ณ นอกตำหนัก
“ซูอี้? หรือว่าจะมีแค่เขาเพียงคนเดียว?”
เย่จื่อซานขมวดคิ้ว
“เจ้าหนุ่มคนนี้ กล้ามาจริง ๆ เสียด้วย…”
บนที่นั่งใจกลางตำหนัก สายตาของเย่ตงเหอเป็นประกาย
“เจ้าหนุ่มคนนี้มาหาความตายจริง ๆ เสียด้วย เช่นนี้ ทุกอย่างก็ง่ายขึ้นแล้ว”
หลังจากที่แสดงความตกใจ เจียงอิ้งหลิ่วก็ตัดสินใจเด็ดขาด
ขณะนี้ ผู้คนทั้งหลายที่กำลังพูดคุยกันในตอนแรกต่างก็เงยหน้าขึ้น เบนสายตามองไปที่นอกตำหนักอย่างพร้อมเพรียง บ้างก็สงสัย บ้างก็อยากรู้
ไม่นานนัก สาวน้อยชุดดำกับซูอี้ก็เดินเข้ามาในตำหนัก ปรากฏตัวต่อท่ามกลามสายตาทุกคู่
เมื่อมองเห็นโฉมหน้าและระดับการฝึกตนของซูอี้อย่างชัดเจนแล้ว สีหน้าผู้เฒ่าสายตระกูลหลักของเผ่าปีศาจงูต่างก็แสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมา
ถึงแม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาพบกับซูอี้ แต่ก่อนหน้านี้หลายวัน พวกเขาก็รู้แล้วว่าเย่เทียนฉวีมอบหยกประทับประจำตระกูลให้คนหนุ่มคนนี้เก็บรักษาไว้
อีกทั้ง ตามที่เย่จื่อซานบอกมา ประวัติความเป็นมาของคนหนุ่มผู้นี้ไม่ธรรมดา แม้กระทั่งท่าทีที่เจ้าของหอเสียงอวิ๋นมีต่อหนุ่มน้อยคนนี้ก็ยังเปลี่ยนไป
เรื่องนี้ทำให้ผู้เฒ่าสายตระกูลหลักของเผ่าปีศาจงูต่างก็เกิดความคาดหวังขึ้นมา
ทว่าตอนนี้ เมื่อเห็นโฉมหน้าอันอ่อนวัยของซูอี้ รวมถึงระดับการฝึกตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณแล้ว ผู้เฒ่าสายตระกูลหลักเหล่านั้นต่างก็แสดงความผิดหวังออกมา
ตอนแรกพวกเขายังคิดว่าซูอี้จะสามารถเชิญผู้สามารถอย่างเจ้าของหอเสียงอวิ๋นมาได้!
เย่จื่อซานก็ตะลึงไปครู่หนึ่งเช่นกัน ขณะลอบร่ำร้องอยู่ในใจ เหตุใดคุณชายซูจึงมาคนเดียวเล่า?
เขาไม่ทราบหรือว่า ขอเพียงเข้าสู่เผ่าปีศาจงูแล้ว อาศัยระดับการฝึกตนเพียงเท่านี้ของเขา อย่าว่าแต่ระงับความขัดแย้งในครั้งนี้เลย ยังอาจต้องมาตายในความขัดแย้งครั้งนี้ด้วยก็เป็นได้!
เวลานี้ ผู้อาวุโสทั้งหลายของสายตระกูลรองเผ่าปีศาจงูต่างก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
“คนนี้… ก็คือซูอี้ที่พวกเจ้าพูดถึงเช่นนั้นหรือ?”
มีคนแสร้งทำเป็นตื่นตะลึง
“เย่เทียนฉวีเสียสติไปแล้วจริง ๆ มอบหยกประทับประจำตระกูลของพวกเราให้กับคนนอกเช่นนี้เก็บรักษา ชั่วช้าอย่างที่สุด!”
มีคนไม่พอใจ
“หึ ๆ ไม่ว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่ วันนี้ คนผู้นี้กล้ามาถึงที่นี่ กล้าหาญชาญชัยเช่นนี้หาไม่ได้ง่าย ๆ เลย ทุกท่านอย่าทำให้เขาต้องตกใจกลัวเชียว”
มีคนหัวเราะเยาะ
เมื่อได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้แล้ว ผู้เฒ่าสายตระกูลหลักของเผ่าปีศาจงูเหล่านั้นถึงกับหน้าเปลี่ยนสี
ณ ตำแหน่งที่นั่งแขกผู้ชมงาน บุคคลสูงศักดิ์ที่ได้รับเชิญมาเหล่านั้นเห็นเช่นนี้แล้วต่างก็แสดงสีหน้าต่างกันไป
“สหายเต๋าเจียง คนผู้นี้ก็คือซูอี้ที่เจ้าพูดถึงเช่นนั้นหรือ?”
ผู้เฒ่าผู้สวมชุดผ้าฝ้ายถามขึ้น
หวงหยวนซิว
ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิผู้มาจาก ‘หอดาบฟ้าดิน’ ของมหาแดนดิน
“ไม่ผิด ก็คือเขา”
เจียงอิ้งหลิ่วตอบเบา ๆ “ข้าไม่เข้าใจเลยว่า ตัวตนขอบเขตวงล้อวิญญาณอย่างเขาไปเอาความกล้าหาญมาจากที่ใดกัน จึงกล้ามาข้องเกี่ยวด้วยได้”
หวงหยวนซิวหัวเราะพลางกล่าว “บางที ในมือคนผู้นี้อาจจะกำไพ่ใบสุดท้ายบางอย่างอยู่ก็เป็นได้ คอยดูกันต่อไป”
เจียงอิ้งหลิ่วพยักหน้า นางอยากจะรู้จริง ๆ ว่าวันนี้ชายหนุ่มผู้ที่เคยปฏิเสธ ‘ความปรารถนาดี’ ของตนเองคนนี้จะมาไม้ไหน
“พอได้แล้ว!”
ทันใด เย่รั่วซีก็แผดเสียงดุออกมา
เดิมทีนางก็เป็นห่วงอยู่แล้วว่าซูอี้มาครั้งนี้จะต้องเจอกับเรื่องเดือดร้อน แต่เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ ราวกับมีอะไรทิ่มแทงใจ จึงไม่อาจทนได้อีกต่อไป และกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“คุณชายซูเป็นแขกที่สายตระกูลหลักของข้าเชิญมาร่วมเป็นเกียรติ พวกเจ้าแสดงท่าทีเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? หากมีเอาไปพูด คนที่ขายหน้าก็มีแต่เผ่าปีศาจงูเท่านั้น!”
คำพูดประโยคเดียวกลบเสียงเซ็งแซ่ของผู้อาวุโสสายตระกูลรองเหล่านั้นจนหมด ส่วนคนฟังก็มีสีหน้าปั้นยากขึ้นมา
พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่า นางจะดุพวกเขาเพื่อคนนอก
แม้กระทั่งซูอี้ก็ยังอดมองไปที่สาวน้อยชุดดำไม่ได้ ในใจเกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นมา นิสัยของสาวน้อยคนนี้คล้ายกับนิสัยของเย่จื่อน้อยจริง ๆ
“เอาล่ะ รั่วซี เจ้านั่งลงก่อน”
ณ ที่นั่งตำแหน่งประธาน เย่ตงเหอกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เมื่อเสียงดังขึ้น อานุภาพอันยิ่งใหญ่พลันแผ่กระจายออกมาจากตัวของเขา ทำให้ตำหนักอันยิ่งใหญ่แห่งนี้สงบเงียบและเคร่งเครียดขึ้นมา
ทว่านางกลับไม่สนใจ และหันหน้าไปพูดกับซูอี้ “คุณชายซู ทางนั้นเป็นที่นั่งของแขกผู้เข้าชมงาน เจ้าสามารถเลือกนั่งได้ตามใจชอบเลย”
ซูอี้พยักหน้า
เมื่อเห็นซูอี้นั่งลงในตำแหน่งที่นั่งของแขกผู้เข้าชมงานซึ่งอยู่ข้างตำหนักแล้ว รั่วซีจึงมานั่งในตำแหน่งที่นั่งของตนเอง
นางทำเช่นนี้ ทำให้ผู้อาวุโสสายตระกูลรองเหล่านั้นรู้สึกว่าน่าขันยิ่งนัก
เพียงแค่คนหนุ่มขอบเขตวงล้อวิญญาณเท่านั้น ต้องให้ความสำคัญถึงเพียงนี้เลยหรือ?
เย่ตงเหอขมวดคิ้ว และไม่ใส่ใจในเรื่องนี้อีก
เขากวาดตามองดูทุกคนในตำหนัก ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อทุกคนมากันพร้อมหน้าแล้ว พวกเราก็เริ่มงานประจำตระกูลในวันนี้กัน”
“ช้าก่อน”
เย่จื่อซานพลันส่งเสียงขึ้นมา
เย่ตงเหอไม่พอใจก่อนจะกล่าวขึ้น “จื่อซาน ข้ารู้ว่าเจ้าต่อต้านการคัดเลือกตัวผู้นำตระกูลคนใหม่ แต่ขืนยืดเวลาต่อไปเช่นนี้ ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผลที่จะเกิดขึ้นได้เช่นกัน”
เย่จื่อซานสูดหายใจลึก ๆ ทีหนึ่ง “ท่านอารองอาจจะไม่ทราบ แขกที่มาชมงานอีกคนยังมาไม่ถึงขอรับ”
เย่ตงเหอหรี่ตากำลังจะพูด
ทว่าจู่ ๆ ก็มีเสียงประกาศดังขึ้นจากนอกตำหนัก
“ใต้เท้าเยว่สือ ผู้อาวุโสใหญ่จากตำหนักเทพอัคคีกระจ่างมาถึงแล้ว!”
ในตำหนักเกิดเสียงแตกฮือขึ้นมา
สีหน้าของเย่ตงเหอสลดลง
สีหน้าผู้อาวุโสสายตระกูลรองของเผ่าปีศาจงูเหล่านั้นเปลี่ยนไป
เจียงอิ้งหลิ่วขมวดคิ้วโก่งงาม
คนในเผ่าสายตระกูลหลักเช่นเย่จื่อซานกับสาวน้อยชุดดำต่างก็แสดงสีหน้ายินดีออกมา
บุรุษวัยกลางคนร่างสูงใหญ่สาวเท้าก้าวใหญ่ ๆ เดินเข้ามาในตำหนักบรรพชนพร้อมกับเสียงนุ่มทุ้มมีน้ำหนัก
เขาสวมเกล้าดอกบัวอัคคี เครายาวพลิ้วสยาย ดวงตาใสสว่าง สง่างามยิ่งนัก
พอปรากฏตัวขึ้น ก็กลายเป็นที่จับตามองของทุกสายตา
เยว่สือ!
ผู้อาวุโสใหญ่ตำหนักเทพอัคคีกระจ่าง ตัวตนขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขั้นต้น มีสมญานามเป็นที่รู้จักกันทั่วในภูมิมืดมิดว่า ‘จักรพรรดิวิญญาณอัคคีเมฆา’
“ผู้อาวุโสเยว่ เชิญ เชิญ!”
เย่จื่อซานกับผู้เฒ่าสายตระกูลหลักต่างออกมาต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ชั่วขณะนี้ แม้กระทั่งผู้อาวุโสสายตระกูลรองก็ยังต้องแสดงความเคารพ
เยว่สือไม่เพียงแต่มีระดับการฝึกตนที่สูงส่ง ทว่ายังมีฐานะเป็นถึงศิษย์พี่ของผู้อาวุโสสูงสุดที่สองในเผ่าปีศาจงู!
แม้กระทั่งเย่ตงเหอ รวมถึงบรรดาแขกทั้งหลายที่นั่งอยู่ในตำแหน่งแขกผู้มาชมงานเหล่านั้นก็ยังทยอยลุกขึ้นแสดงความเคารพ
ทั้งหมดนี้ยิ่งแสดงให้เห็นถึงฐานะอันสูงส่งของเยว่สือ
ทว่า มีบางคนเช่นกันที่ไม่ลุกขึ้น ราวกับไม่เห็นความสำคัญในการมาร่วมงานของเยว่สือ
ดังเช่น พวกของเจียงอิ้งหลิ่วกับหวงหยวนซิว และซูอี้
ทว่า เวลานี้จิตใจของทุกคนล้วนอยู่ที่ตัวของเยว่สือ จึงไม่มีใครสังเกตเห็นคนกลุ่มนี้
ไม่นานนัก เมื่อเยว่สือเข้านั่งประจำที่แล้ว บรรยากาศในตำหนักก็กลับมาสงบนิ่งเคร่งเครียดอีกครั้ง
เพียงแต่ ไม่ว่าจะเป็นเย่ตงเหอ หรือว่าคนในเผ่าสายตระกูลรอง แต่ละคนต่างก็มีสีหน้าหม่นหมอง
โดยไม่ต้องสงสัย พวกเขานึกไม่ถึงว่าเย่จื่อซานจะยกเอาภูเขาใหญ่อย่างเยว่สือออกมา!
“จื่อซาน งานประชุมประจำตระกูลสามารถเริ่มได้แล้วหรือยัง?”
เย่ตงเหอผู้อยู่ในตำแหน่งประธานถามขึ้นด้วยสีหน้าที่ราบเรียบ
เย่จื่อซานพยักหน้า
เย่ตงเหอกล่าว “ข้าก็จะไม่พูดให้มากความไป งานประชุมประจำตระกูลที่จัดขึ้นในวันนี้ มีจุดประสงค์สำคัญที่สุดก็คือคัดเลือดผู้นำตระกูลคนใหม่ เพื่อยุติความไม่สงบของตระกูล”
พูดจบ เขากวาดสายตามองดูทุกคน จากนั้นจึงกล่าวขึ้น “ตามกฎประจำตระกูล เพียงได้รับการสนับสนุนจากผู้ครอบครองตราหยกประจำตระกูลสี่ท่าน ก็สามารถคัดเลือกเป็นผู้นำตระกูลได้”
“และตอนนี้ ในมือข้ามีตราหยกประจำตระกูลสามชิ้นแล้ว ส่วนอีกชิ้นหนึ่ง คนไม่รักดีเย่เทียนฉวีมอบให้คนนอกเก็บรักษา”
พูดถึงตรงนี้ เย่ตงเหอก็ชายตามองไปที่ซูอี้ที่นั่งอยู่ห่างออกไป จากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ยังดีที่เรื่องนี้ไม่ได้มีผลกระทบต่องานในวันนี้ ทุกท่านยังมีอะไรต้องการจะพูดอีกหรือไม่?”
เย่จื่อซานกล่าวเสียงเคร่งเครียด “ท่านอารอง ท่าทีของพวกเราสายตระกูลหลัก ทุกท่านในที่นี้ต่างก็รับรู้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม พวกเราไม่มีทางตกปากรับคำกับเรื่องคัดเลือกตัวผู้นำตระกูลคนใหม่อย่างแน่นอน!”
เย่ตงเหอยิ้มพลางกล่าว “จื่อซาน ในเมื่อเย่อวี๋ผู้บุกเบิกตระกูลไปเมืองมืด และนางได้มอบตราหยกประจำตระกูลของสายตระกูลหลักให้ข้าเก็บรักษา ดังนั้นเรื่องนี้ สายตระกูลหลักจะต้องทำตามที่ข้าพูด”
เงียบไปสักครู่ เขาก็กล่าวด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง “ต่อให้พวกเจ้าจะคัดค้าน แต่สุดท้ายก็ไร้ประโยชน์! ยิ่งไปกว่านั้น ที่ข้าทำเช่นนี้ ล้วนทำเพื่อยุติเรื่องขัดแย้งภายในตระกูลของพวกเรา!”
สีหน้าของคนในเผ่าสายตระกูลหลักอย่างเย่จื่อซานกับเย่รั่วซีต่างบูดบึ้งขึ้นมา
หากว่าทำตามกฎที่สืบทอดกันมาหลายต่อหลายรุ่น เย่ตงเหอผู้ครองตราหยกประจำตระกูลสายตระกูลหลักมีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้นจริง ๆ
เวลานี้ เยว่สือพลันเอ่ยขึ้นมา “ตอนนี้สหายเต๋าเย่อวี๋เพียงแต่ถูกกักขังอยู่ในเมืองมืดเท่านั้น อีกทั้งเย่เทียนโต่ว ผู้อาวุโสสูงสุดที่หนึ่งกับเย่ชิงเหอ ผู้อาวุโสสูงสุดที่สองของพวกเจ้าต่างก็มีธุระ ไม่อาจเข้าร่วมงานในวันนี้ได้ เร่งเร้าให้มีการคัดเลือดผู้นำตระกูลคนใหม่ในเวลานี้ เกรงว่า…. คงไม่เหมาะกระมัง?”
เพื่อเอ่ยเช่นนี้ออกมา สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่ตัวเยว่สือ
สายตาของเย่ตงเหอมีประกาย กำลังจะพูดขึ้นมา
ทว่าจู่ ๆ เจียงอิ้งหลิ่วก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “สหายเต๋าเยว่ ในฐานะที่เป็นแขกผู้ร่วมงาน เหตุใดจึงยื่นมือไปเกี่ยวข้องกับเรื่องภายในเผ่าปีศาจงูเล่า?”
เยว่สือนิ่งเงียบไปสักครู่ จากนั้นยิ้มพลางกล่าว “สหายเต๋าเจียงคิดมากไปแล้ว แต่ข้าเพียงแค่พูดเตือนสติเท่านั้น เพราะอย่างไรเสียก็ดี วันใดวันหนึ่งเมื่อเย่อวี๋ เย่เทียนโต่ว และเย่ชิงเหอทราบเรื่องนี้ขึ้นมา คงจะเกิดเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งกว่านี้แน่”
พูดจบ เขาก็เบนสายตามองไปที่เย่ตงเหอ “และหากว่าถึงเวลานั้นขึ้นมาจริง ๆ สหายเต๋าจะสามารถแบกรับผลที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้เช่นนั้นหรือ?”
เย่ตงเหอนิ่งเงียบไปในทันใด
คนในเผ่าสายตระกูลรองของเผ่าปีศาจงูเหล่านั้นมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
พวกของเย่จื่อซานกับหญิงสาวมองไปที่เย่ตงเหอ ต้องการดูว่าเขาจะเลือกอย่างใด
ซูอี้ที่นั่งดูเหตุการณ์อยู่ห่าง ๆ แอบส่ายหน้าไม่ได้
ผลของการทำเช่นนี้ เกรงว่าเย่ตงเหอคงจะคิดรอบคอบก่อนแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดเพราะคำพูดของเยว่สือ!