บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 883: สำหรับข้าแล้วราวกับเข้าสู่ดินแดนไร้ผู้คน
- Home
- บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ]
- ตอนที่ 883: สำหรับข้าแล้วราวกับเข้าสู่ดินแดนไร้ผู้คน
ตอนที่ 883: สำหรับข้าแล้วราวกับเข้าสู่ดินแดนไร้ผู้คน
เสียงที่แฝงด้วยความอำมหิตของเย่ตงเหอยังคงดังกึกก้อง
ฉับพลันคนร่างผอมคนหนึ่งก็ลุกขึ้น
หน้าของเขาเหลืองซีด เบ้าตาบุ๋มลึก ผมน้อย
เมื่อเขาลุกขึ้นยืน กลิ่นอายพลังอันน่ากลัวของตัวตนขอบเขตจักรพรรดิโหมพัดเข้าสู่ตำหนักใหญ่ราวกับลมหนาวที่หนาวสะท้านเข้ากระดูก
พวกของเย่จื่อซานสีหน้าเปลี่ยน
เย่จิง!
ตัวตนขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำผู้มาจากสายตระกูลรองเผ่าปีศาจงู!
“ชักเริ่มสนุกขึ้นมาแล้ว”
รอยยิ้มมีเลศนัยของเจียงอิ้งหลิ่วผุดขึ้น
หวงหยวนซิวกล่าวด้วยสีหน้าที่ราบเรียบ “น่าเสียดาย ถึงแม้เขาจะมีไพ่ใบสุดท้ายมากกว่านี้ แต่ในถิ่นของเผ่าปีศาจงูแห่งนี้ อย่างไรเสียก็ยากจะหนีตายไปได้”
เยว่สือแอบถอนใจ
ก่อนหน้านี้เขาได้พูดเตือนซูอี้ไปแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่า คนหนุ่มผู้นี้ไม่เพียงแต่ไม่ฟัง ทั้งยังลงมือฆ่าคนอีก
เช่นนี้ทำให้เย่ตงเหอไม่อาจระงับความโกรธได้อีก
เย่จิงเริ่มขยับตัวขึ้นมาแล้ว
สีหน้าของเขาราบเรียบ ไม่พูดไม่จา พลังอำมหิตอันน่ากลัวพุ่งไปที่ร่างของซูอี้ตามจังหวะการเดินของเขา
เพียงแค่อานุภาพระดับนั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณต้องย่อยยับ
เมื่ออยู่ห่างจากซูอี้เพียงแค่ระยะสามจั้ง เย่จิงก็หยุดเดิน เผยอริมฝีปากพูดออกมาเพียงคำเดียว
“ตาย!”
มือขวาประดุจคมมีดที่ถูกยกขึ้น ฟาดฟันทุกสิ่งที่ขวางหน้า
เมื่อดาบสีดำปรากฏขึ้น ราวกับสายฟ้าผ่าที่มาจากเก้ามืดมิด อาบชโลมไปด้วยกลิ่นอายพลังกฎวิถีลึกล้ำที่ยากนักจะหยั่งถึง
รวดเร็วจนคาดไม่ถึง!
ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิที่อยู่ในงานต่างก็ตัดสินได้ว่า เวลานี้ไม่ว่าใครลงมือ ล้วนขัดขวางการจู่โจมอันน่าสะพรึงกลัวนี้ไม่ทัน
ในสมองของบางคนยังปรากฏภาพนองเลือดของคนที่ถูกซูอี้ฆ่าตายคาที่ขึ้นมา
ทว่าในขณะนี้เอง
ชิ้ง!
เสียงดาบกังวานเสียงหนึ่งก็ดังชึ้น
ดาบนิลกาฬบริสุทธิ์ปรากฏขึ้นในมือของซูอี้ คมดาบที่คล้ายกับแสงถูกฟันออกไปตามการเคลื่อนไหวของข้อมือ
อากาศราวกับผืนผ้าถูกฟันจนเกิดเป็นรอยแยก
พลังดาบสีดำที่เย่จิงฟันมานั้นแตกหักไปกลางอากาศ
กลางหัวคิ้วของเย่จิงผู้อยู่ห่างออกไปสามจั้งมีรอยเลือดเป็นทางปรากฏขึ้น
ดูคล้ายกับช้า แต่ความจริงแล้วทุกอิริยาบถล้วนเกิดขึ้นในชั่วพริบตา
ภายใต้การจับจ้องด้วยความตื่นตะลึงของผู้คน ก็พบว่าบนใบหน้าราบเรียบของเย่จิงปรากฏสีหน้าตื่นตะลึงหวาดกลัวขึ้น เบ้าตาบุ๋มลึกเบิกโพลง
เขาพยายามจะเก็บมือขวาที่ชักดาบเมื่อครู่กลับมา แต่ทำได้เพียงแค่สั่น แขนกลับร่วงหล่นลงอย่างไร้แรงกำลัง
จากนั้น ร่างของเย่จิงก็แบ่งเป็นสองส่วนอย่างไร้สุ้มเสียง เลือดยังไม่ทันไหล ตัวของเขาก็กลายเป็นผงธุลีปลิวว่อน
คล้ายกับร่างเทพสูญสลาย!
คำว่า ‘ตาย’ ที่เย่จิงพูดยังคงดังกึกก้องอยู่ในตำหนัก
เสียงดาบอันกังวานยังคงส่งเสียงดังกึกก้อง
ทว่าทุกคนในเหตุการณ์ต่างก็ตะลึงอยู่ตรงนั้นราวกับได้รับความตื่นตระหนกอย่างรุนแรง
อ้าปากตาค้าง!
เป็นถึงผู้ฝึกตนขอบเขตจักรพรรดิขั้นหยั่งเห็นลึกล้ำ กลับถูกฆ่าในดาบเดียว!?
พลังสะเทือนขวัญน่ากลัวอันยากจะพรรณนาราวกับคลื่นลูกใหญ่โหมกระหน่ำซัดจิตใจของทุก ๆ คน
บนใบหน้าของเยว่สือเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก นิ้วมือสั่นระริก
มือขาวเนียนดุจหยกทั้งสองข้างของเจียงอิ้งหลิ่วกำหมัดแน่นขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ ความฉงนและตื่นตกใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าซึ่งมีเค้าโครงอันงดงาม
นางเดาไว้ก่อนแล้ว ว่าเหตุที่ซูอี้กล้าแสดงความอหังการออกมาเช่นนี้ เพราะกุมไพ่ใบสุดท้าย ไม่ก็มีสมบัติลับ หรือมีพลังภายนอกบางอย่างคอยสนับสนุนอย่างแน่นอน
แต่ใครเล่าจะคิดว่า ผลลัพธ์ที่ได้กลับทำให้นางต้องตกตะลึงถึงเพียงนี้!
ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ ซูอี้ไม่ได้ยืมพลังจากภายนอก และไม่ได้แสดงไพ่ใบสุดท้าย อาศัยเพียงระดับการฝึกตนขอบเขตวงล้อวิญญาณของเขาก็สามารถฆ่าผู้ฝึกตนขอบเขตจักรพรรดิได้!
ช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน!
“นี่…”
หวงหยวนซิวถึงกับสูดปากเพราะความตื่นตระหนกเช่นกัน
เขามาจาก ‘หอดาบฟ้าดิน’ ซึ่งเป็นหนึ่งในหกฝ่ายมหาวิถีของมหาแดนดิน ประสบพบเจอเรื่องราวมามากมาย และยังเคยเจอลมเจอฝนนับครั้งไม่ถ้วน
เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ ไม่เคยได้ยินมาก่อน!
เย่จื่อซานกับเย่รั่วซีมองตากัน และต่างก็เห็นความตื่นตะลึงในสายตาของอีกฝ่าย
แม้กระทั่งพวกเขาก็ยังคาดไม่ถึงว่าซูอี้จะสามารถทำได้ถึงขั้นนี้!!
ณ ที่นั่งตำแหน่งประธาน เย่ตงเหอมีสีหน้าสลดและสับสน เขาไม่อาจสงบใจได้อีกแล้ว
เขาไม่ได้กลัว แต่เป็นเพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่า ผู้ที่มีระดับการฝึกตนขอบเขตวงล้อวิญญาณจะสามารถฟันผู้ที่มีระดับการฝึกตนขอบเขตจักรพรรดิได้ในดาบเดียว!!
มองไปในใต้หล้าภูมิมืดมิด ตั้งแต่บรรพกาลจนถึงปัจจุบัน สามารถกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!
ชิ้ง!
ในตำหนักใหญ่ที่มีบรรยากาศเงียบกริบดุจป่าช้า ซูอี้พลิกมือเก็บดาบ กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ตอนนี้ ใครยังอยากจะลองอีก?”
คำพูดเพียงประโยคเดียวทำลายความเงียบกริบ
นับแต่เวลานี้เป็นต้นไป สายตาที่ทุกคนมองดูซูอี้ล้วนเปลี่ยนไป มีแต่ความหวาดกลัวและสงสัย
เย่ตงเหอสูดหายใจลึก ๆ ทีหนึ่งจึงกล่าว “ข้าไม่คิดเลยว่า คนตัวเล็ก ๆ อย่างเจ้าเช่นนี้กลับมีฝีมือวิถีดาบอันร้ายกาจถึงเพียงนี้ แต่ฆ่าคนในตำหนักบรรพชนของตระกูลข้า คิดว่าไม่มีใครสามารถสยบเจ้าได้จริง ๆ น่ะหรือ?”
น้ำเสียงเย็นเฉียบ
ซูอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ “ขอพูดตรง ๆ สักประโยค ที่ยอดเขาแท่นบัวแห่งนี้ สำหรับข้าแล้วราวกับเข้าสู่ดินแดนไร้ผู้คน”
คนทั้งหลายถึงกับหนังตากระตุก
หากว่าเป็นเมื่อก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มกล่าวมาเช่นนี้จะต้องถูกมองว่าโอ้อวดตนเอง ไม่รู้จักความตาย
แต่ทว่าตอนนี้ กลับไม่มีใครกล้าคิดเช่นนี้อีก
นี่ก็คืออานุภาพของการฆ่าจักรพรรดิในดาบเดียว!
สำหรับผู้ฝึกตนในใต้หล้าแล้ว วิถีลึกล้ำเปรียบได้ราวกับฟ้า ผู้เป็นจักรพรรดิเปรียบได้กับเทพ
ในช่วงเวลาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แทบไม่มีใครสามารถทำลายกฎเหล็กข้อนี้ได้
ทว่าตอนนี้ ซูอี้ทำได้แล้ว!
ยิ่งมีระดับวิถีลึกล้ำ ก็ยิ่งเข้าใจถึงพลังที่ซ่อนเร้นในดาบเล่มนี้ว่ามีความน่ากลัวเพียงใด
ดังที่รู้กันว่า นี่ไม่ใช่การใช้ระดับการฝึกตนขอบเขตวงล้อวิญญาณต่อสู้กับผู้เป็นจักรพรรดิ และไม่ได้ผ่านการฆ่าแกงและต่อสู้อย่างดุเดือด
แต่เป็นการฆ่าผู้เป็นจักรพรรดิในชั่วพริบตาภายในดาบเดียว!
เช่นนี้แสดงให้เห็นว่าตัวตนอย่างซูอี้มีความร้ายกาจถึงขั้นสามารถบดขยี้ผู้เป็นจักรพรรดิขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นต้นอย่างเย่จิงได้!
จะไม่ให้ตื่นตะลึงได้เช่นใดกัน? ผู้เป็นจักรพรรดิคนใดบ้างไม่รู้สึกหนาวสะท้าน?
“เช่นนั้นหรือ? ข้าอยากจะรู้เสียจริงว่า เจ้าจะทำให้ที่แห่งนี้กลายเป็นดินแดนไร้ผู้คนได้อย่างไร!”
สีหน้าของเย่ตงเหอดุดันมากยิ่งกว่าเดิม
ขณะที่พูด เขาลุกขึ้นอย่างช้า ๆ อานุภาพอันน่าสะพรึงกลัวแผ่กระจายออกไป
นั่นคืออานุภาพของผู้แข็งแกร่งขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ
ทั่วทั้งตำหนักใหญ่ถูกครอบคลุมอยู่ในบรรยากาศที่อึดอัด
“ช้าก่อน”
เวลานี้ จู่ ๆ เจียงอิ้งหลิ่วก็ส่งเสียงขึ้นมา
ภายใต้สายตาจับจ้องด้วยความฉงนสงสัยของทุกคน ศิษย์ของผีหมัวคนนี้ลุกขึ้นพลางกล่าวเสียงเบา “ฝีมือวิถีดาบของคนผู้นี้กล่าวได้ว่าหายากมาก ทั่วทั้งเก้ามหาแดนดิน ข้าก็ยังไม่เคยพบเห็นตัวตนขอบเขตวงล้อวิญญาณที่มีความร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้ หากว่าฆ่าทิ้งไปง่าย ๆ เช่นนี้ น่าเสียดายยิ่งนัก”
พูดจบ ดวงตางามของนางก็มองไปที่ซูอี้ “หากว่าเจ้ายินยอม ข้าสามารถทำได้ทุกสิ่งเพื่อแลกชีวิตของเจ้าจากเผ่าปีศาจงู เงื่อนไขของข้านั้นง่ายมาก นับแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของข้า!”
เมื่อกล่าวเช่นนี้ออกมา ทุกคนในตำหนักถึงกับร้องเสียงระงม เย่ตงเหอกับผู้เฒ่าสายตระกูลรองเหล่านั้นถึงกับนั่งไม่ติด สีหน้าสับสนไม่นิ่ง
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าเจียงอิ้งหลิ่วจะเกิดเสียดายคนมีความสามารถขึ้นมาในเวลานี้
ซูอี้ก็ตะลึงไปครู่หนึ่งเช่นกัน
“ไม่ว่าจะอยู่ในเก้ามหาแดนดิน หรือว่าในดินแดนแห่งภูมิมืดมิด หากพูดถึงการสืบทอดวิถีดาบ ไม่มีใครอยู่เหนือกว่าแดนเทวาได้ นอกเสียจากถ้ำเสวียนจวินของข้าแล้ว ไม่มีขุมกำลังที่สองซึ่งสามารถรับสมญานามเช่นนี้ได้”
น้ำเสียงของเจียงอิ้งหลิ่วแฝงไว้ซึ่งความภาคภูมิใจอย่างเต็มที่ “ปรมาจารย์ผู้บุกเบิกของพวกข้าเป็นถึงปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินผู้ยิ่งใหญ่ในเก้ามหาแดนดิน เชื่อว่าเจ้าคงจะรู้ดีถึงผลงานความสำเร็จบนหนทางแห่งวิถีดาบของปรมาจารย์ผู้บุกเบิก ว่ามีความเกรียงไกรเพียงใด”
“ข้าเห็นว่าเจ้าก็เป็นนักดาบเช่นกัน จึงมอบโอกาสนี้ให้ หวังว่าเจ้าอย่าได้วู่วาม จงคิดก่อนจะทำการอันใดลงไป”
คำพูดทั้งหมดที่กล่าวมาทำให้บรรยากาศในตำหนักใหญ่เงียบกริบ
เย่ตงเหอกับคนอื่น ๆ ต่างก็มีสีหน้าบูดเบี้ยวหนักยิ่งกว่าเดิม
แต่กลับไม่มีใครกล้าพูดอะไร
ทุกคนต่างก็รู้ฐานะของเจียงอิ้งหลิ่ว พวกเขาจึงไม่อาจจาบจ้วงได้
และเมื่อคิดว่าซูอี้ได้รับความชื่นชมจากเจียงอิ้งหลิ่ว ทั้งยังยอมทำทุกอย่างเพื่อจะพาซูอี้ไปฝึกตนที่เก้ามหาแดนดิน แขกเหรื่อทั้งหลายในที่นั้นต่างก็กระวนกระวายใจขึ้นมา
มีแต่ซูอี้เท่านั้นที่มีสีหน้าแปลกไป
มีคนอ้างชื่อของถ้ำเสวียนจวินดึงตนเองไปเป็นพวก นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ซูอี้เจอกับเรื่องประหลาดเช่นนี้
อีกทั้งซูอี้ยังสามารถรู้สึกได้ว่าเจียงอิ้งหลิ่วให้ความเคารพเทิดทูนต่อตนเองในชาติก่อนจากใจจริง…
เวลาที่ผีหมัวสร้างพันธมิตรเสวียนจวิน หรือเวลาที่รับศิษย์ คงอ้างชื่อของถ้ำเสวียนจวิน อ้างตนว่าเป็นผู้สืบทอดของตนเองอย่างไม่ต้องสงสัย!
เช่นนี้เรียกว่าสวมหนังเสือมาหลอกคน เจตนาชั่วร้าย
ส่วนเจียงอิ้งหลิ่ว เป็นไปได้มากว่าคงจะถูกหลอกจนไม่ได้รู้สักนิดว่า ว่าอาจารย์ตนนั้นเป็นคนอย่างไร
เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว ซูอี้ได้แต่แอบส่ายหน้า
เขาสลัดความคิดฟุ้งซ่านออก ชายตามองไปที่เจียงอิ้งหลิ่ว กล่าว “ข้าขอเตือนเจ้า เรื่องในวันนี้ เจ้าคอยดูอยู่ห่าง ๆ อย่างสงบจะดีกว่า ไม่เช่นนั้น ไม่ว่าการใดก็ตามที่เจ้าคิดจะทำในวันนี้ จะต้องได้รับผลของสิ่งนั้นอย่างแน่นอน”
พอเอ่ยเช่นนี้ออกมา เจียงอิ้งหลิ่วถึงกับเงียบงัน ปฏิเสธเช่นนั้นหรือ!?
ทุกคนในตำหนักแทบไม่อยากจะเชื่อ
มีแต่เย่ตงเหอกับผู้เฒ่าสายตระกูลรองเหล่านั้นที่รู้สึกสาแก่ใจ
ก่อนหน้านี้ เจียงอิ้งหลิ่วลุกขึ้นมาเพื่อมอบหนทางรอดให้แก่ซูอี้ พวกเขาจึงได้แต่ฝืนความโกรธไว้ในใจและได้แต่มอง ไม่กล้าโต้เถียง
แต่ใครจะคิดว่า ซูอี้กลับปฏิเสธโอกาสอันดีเช่นนี้ไป!
เช่นนี้จะไม่ให้พวกเขาดีใจได้อย่างไรกัน?
“สหายเต๋าเจียง สวรรค์ต้องการให้เขาตาย จึงต้องให้เขาหยิ่งผยอง ถึงแม้คนผู้นี้จะมีความสามารถด้านวิถีดาบที่สูงส่งสักเพียงใด แต่เขากลับเย่อหยิ่งเกินทน หากติดตามเจ้าไปฝึกตนที่มหาแดนดิน ไม่รู้ว่าจะนำความเดือดร้อนมาให้เจ้าเพียงใด”
เย่ตงเหอเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงดุดันอำมหิต
เจียงอิ้งหลิ่วนิ่งเงียบไปชั่วครู่ และกล่าวเสียงเรียบเรื่อย “ก็ได้ ถือเสียว่าเมื่อสักครู่ข้าไม่ได้พูดอะไรแล้วกัน”
นางถอยกลับไปยังตำแหน่งที่นั่งเดิมด้วยสายตาที่เย็นชา
ซูอี้ไม่เพียงแต่ปฏิเสธความปรารถนาดีของนาง ยังพูดข่มขู่นาง ทำให้นางรู้สึกโกรธเช่นกัน
“ตอนนี้ เชิญสหายน้อยซูมาสอนข้าให้รู้หน่อยว่าดินแดนไร้ผู้คนนั้นเป็นอย่างไร!”
เย่ตงเหอเอ่ยพูดช้า ๆ
ขณะที่พูด เขาก้าวเดินออกมาหนึ่งก้าว
โครม!
ตำหนักบรรพชนสั่นสะเทือนอย่างแรง หินดาวเงินแต่ละเม็ดที่ส่องแสงพร่างพราวคล้ายกับดวงดาวบนท้องฟ้าที่ติดอยู่บนเพดานตำหนัก ปรากฏระลอกคลื่นค่ายกลโบราณออกมาเพื่อรักษาตัวตำหนักใหญ่
ไม่เช่นนั้น เพียงแค่อานุภาพในตัวของเย่ตงเหอก็สามารถทำลายตำหนักเก่าแก่โบราณแห่งนี้ไปได้อย่างง่ายดาย!
คนทั้งหลายต่างก็หนาววูบขึ้นในใจราวกับร่วงไปอยู่ในห้องน้ำแข็ง
อานุภาพของตัวตนขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำแตกต่างไปจากขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นต้นของเย่จิงเป็นอย่างมาก!
เวลานี้ แม้กระทั่งพวกของเย่จื่อซานกับเย่รั่วซีที่เชื่อมั่นในตัวซูอี้ก็ยังอดแสดงสีหน้าสลดออกมาไม่ได้
มีแต่ซูอี้เท่านั้นที่ยังคงสงบนิ่งเช่นเคย
คนหนุ่มในชุดสีเขียว มือหนึ่งไพล่หลัง มือหนึ่งถือดาบ ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น ราวกับไม่ได้รับรู้ถึงอันตราย สีหน้านิ่งเฉยราวกับว่าต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายก็จะยังราบเรียบอยู่เช่นนั้น
ทว่าในชั่วขณะที่อยู่ในสภาพอันตรายเช่นนี้ เสียงแหบแห้งเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านนอกตำหนัก
“คุณชาย มอบตาเฒ่าหัวหงอกคนนี้ให้ข้าจัดการเถอะ อย่าให้เลอะมือของท่านเลย ไม่คู่ควร”
เสียงไม่ดังนัก แต่คล้ายกับสายฟ้าฟาดกลางวันแสก ๆ ดังกึกก้องอยู่ในตำหนัก สั่นสะเทือนจนหูของคนทั้งหลายแทบแตกกระเจิง
ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิทั้งหลายถึงกับสีหน้าเปลี่ยน
อานุภาพน่ากลัวมาก!
เป็นเทพเซียนจากที่ใดกัน?