บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 884: หมื่นดาราล้างสรวง
ตอนที่ 884: หมื่นดาราล้างสรวง
ตำหนักบรรพชนสร้างติดภูเขา และอยู่ติดกับหน้าผาทะเลหมอก นอกตำหนักบรรพชนยังมีผู้แข็งแกร่งเผ่าปีศาจงูจำนวนมากเฝ้าประจำการ
ในจำนวนนั้นมีตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอย่างสิบสามอยู่หลายคน
เมื่อเสียงแหบแห้งราวกับทะเลสาบดังขึ้น ทะเลหมอกที่อยู่ไม่ไกลนักก็เกิดความผันผวน จากนั้นร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นมา
คนผู้นั้นเป็นผู้เฒ่าสวมชุดเก่า ๆ หน้าผอมแก้มตอบ สีหน้าแข็งกระด้างราวกับก้อนหิน
คือเขา!
เจ้าของหอเสียงอวิ๋น!
หน้าของสิบสามขาวซีดขึ้นมาในทันใด ดวงตาหรี่เล็กลง หัวใจแทบจะกระตุกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
แต่เพียงแค่ชั่วขณะเดียว…
เมื่อผู้เฒ่าร่างผอมก้าวเดิน ร่างก็หายไปและมาปรากฏตัวอยู่หน้าประตูตำหนักบรรพชน
“หากไม่กลัวตาย ก็ตามเข้ามา”
เพชฌฆาตกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ขณะที่พูด เขาก็ก้าวเดินเข้าไปในตำหนักบรรพชนแล้ว
พวกสิบสามมองหน้ากัน ทุกอย่างโกลาหลไปหมด
“พวกเจ้าเฝ้าอยู่ด้านนอก!”
เสียงของเย่ตงเหอ ผู้อาวุโสสูงสุดที่สามดังออกมาจากในตำหนัก
ผู้แข็งแกร่งเผ่าปีศาจงูที่อยู่ในเหตุการณ์เหล่านั้นจึงสงบใจลงมาได้บ้าง
เพียงแต่… พอนึกถึงว่ามีคนมาปรากฏตัวอยู่ในสถานที่สำคัญของเผ่าปีศาจงูโดยที่พวกเขาไม่ได้รู้ตัวเช่นนี้ แต่ละคนก็ถึงกับหนาววาบไปทั้งสันหลัง
——-
ภายในตำหนักบรรพชน
บรรยากาศเปลี่ยนไป มีแต่ความอึดอัดและกดดันอย่างรุนแรง
เมื่อเห็นเจ้าของหอเสียงอวิ๋นคนนั้นเดินส่ายอาด ๆ เข้ามา ไม่รู้ว่ามีคนจำนวนเท่าใดที่รู้สึกตื่นตระหนกและหวาดกลัว
เย่ตงเหอขมวดหัวคิ้วแน่น
ผู้เฒ่าสายตระกูลรองของเผ่าปีศาจงูเหล่านั้นกลับตื่นตะลึงงงงัน
เจียงอิ้งหลิ่วกับหวงหยวนซิวต่างก็แสดงสีหน้าฉงนสงสัยออกมา
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าผู้สามารถที่ซ่อนตัวอยู่ในหอเสียงอวิ๋นคนนี้จะปรากฏตัวขึ้นในเวลานี้
อีกทั้ง คำพูดของเขาเมื่อก่อนหน้านี้ทำให้คนอื่นพากันคิด ดูเหมือนว่า… กำลังขออนุญาตจากซูอี้!
“อาจารย์อา ผู้อาวุโสคนนั้นมาแล้ว! ที่แท้ เขาก็เป็นไพ่ใบสุดท้ายที่แท้จริงของคุณชายซู มิน่าเล่า ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เขาจึงไม่มีท่าทางหวาดกลัวแม้แต่น้อย!”
สาวน้อยชุดดำตาสว่างลุกวาว ส่งกระแสเสียงปราณไปบอกเย่จื่อซานด้วยความตื่นเต้น
เย่จื่อซานก็ตื่นเต้นขึ้นมาเช่นกัน ทว่าเขายังคงสงบนิ่ง และส่งกระแสเสียงกลับไป “รั่วซี อย่าดีใจเร็วเกินไปนัก ในตำหนักบรรพชนแห่งนี้ เป็นถิ่นของเผ่าปีศาจงูของพวกเรา!”
สาวน้อยชุดดำแอบสะดุ้งในใจ ความรู้สึกตื่นเต้นลดลงไปไม่น้อย
จริงดังว่า ที่นี่เป็นถิ่นของเผ่าปีศาจงู มีพลังค่ายกลโบราณไม่รู้เท่าไรที่ครอบคลุมอยู่ตรงนี้ ถึงแม้ตัวตนแห่งขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำจะอยู่ตรงนี้ ก็ไม่กล้าทำอะไรเหลวไหลเช่นกัน!
“สหายเต๋าผู้พี่ ปรมาจารย์ของพวกข้าเคยกล่าวไว้ว่า เมื่อนานมากแล้ว เจ้ามีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับเผ่าปีศาจงูของพวกเรา ไม่รู้ว่าที่สหายเต๋าผู้พี่มาโดย ‘ไม่ได้รับเชิญ’ ในวันนี้ เป็นเพราะมีเรื่องอันใดเช่นนั้นหรือ?”
เย่ตงเหอเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ ขณะที่พูด เน้นย้ำคำว่า ‘ไม่ได้รับเชิญ’ สี่พยางค์นี้หนัก ๆ เพื่อเป็นการแสดงความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
เพชฌฆาตเฒ่าไม่สนใจ
เขายังคงตรงมาหาซูอี้ และมาหยุดยืนอยู่ด้านหลังซูอี้ในระยะห่างหนึ่งก้าว จากนั้นลดเสียงต่ำกล่าวอธิบาย “คุณชาย จะโทษก็ต้องโทษที่เจ้าแก่ผมหงอกคนนั้นอยากจะหาเรื่องคุณชาย ด้วยความที่ข้าร้อนใจ จึงจำเป็นต้องปรากฏตัวออกมา คุณชายได้โปรดให้อภัยด้วย”
หน้าแก้มตอบของเขาแฝงไว้ซึ่งความกระอักกระอ่วน
เมื่อคืนนี้ ซูอี้เคยบอกไว้แล้วว่าให้เขารออยู่เงียบ ๆ หากถึงเวลาที่ต้องฆ่าคน ซูอี้จะให้เขาลงมือจัดการ
เป็นเพราะเขารู้ดีแก่ใจว่า หากตนเองเข้ามาช่วยโดยพลการ อาจสร้างความไม่พอใจให้แก่ซูอี้ได้
ทว่าหากตนเองไม่ลงมือ สัตว์ประหลาดเฒ่าซูจะต้องสงสัยว่าเขาไม่ตั้งใจช่วย ผลที่ตามมาเช่นนี้เขาไม่อาจรับได้ไหว!
ดังนั้น เขายังคงต้องบากหน้ามา
เมื่อทุกคน ๆ ในเหตุการณ์เห็นเพชฌฆาตเฒ่าแสดงท่าทีเช่นนี้ก็ถึงกับสูดปาก แทบไม่อยากจะเชื่อ
ใครกันจะคาดคิดว่า ผู้ที่มีความรอบรู้เก่งกาจซึ่งซ่อนตนอยู่ในหอเสียงอวิ๋นคนนี้จะไม่ใส่ใจคำพูดของเย่ตงเหอ แต่กลับไปแสดงท่าทีเคารพนบนอบต่อชายหนุ่มอย่างซูอี้?
ยิ่งกว่านั้น เวลานี้ยังทำท่าราวกับบ่าวที่ทำความผิดไว้ ลดเสียงต่ำรับสารภาพความผิดต่อซูอี้!
แม้กระทั่งเย่ตงเหอ เจียงอิ้งหลิ่ว และหวงหยวนซิวก็ยังนิ่งตะลึงไปเช่นกัน
หากบอกว่าเจ้าของหอเสียงอวิ๋นเป็นหลักที่พึ่งของซูอี้ พวกเขาก็ยังพอเข้าใจได้
แต่สถานการณ์ในตอนนี้มันกลับตาลปัตร เจ้าของหอเสียงอวิ๋นเพียงแค่ปรากฏตัวขึ้นมาโดยพลการเท่านั้น ถึงกับต้องลดเสียงลงมาพูดอธิบายให้ซูอี้ฟังด้วยความเกรงกลัว!
เช่นนี้มันเกินความคาดหมายจนเกินไป พลิกแพลงความคาดหมายของทุกคนโดยสิ้นเชิง
บรรยากาศในตำหนักเปลี่ยนไปเป็นสงบเงียบ
ซูอี้ชายตามองเพชฌฆาตเฒ่า และกล่าว “ท่าทีของทุกคนในตำหนักใหญ่ที่แสดงออกมาเมื่อก่อนหน้านี้ เจ้ามองเห็นชัดเจนแล้วใช่หรือไม่?”
เพชฌฆาตเฒ่าพยักหน้า “ถึงแม้จะอยู่ในระยะห่างไกลมาก แต่สมองของข้ายังพอใช้ได้ จดจำได้อย่างแม่นยำว่าเมื่อสักครู่นี้มีใครบ้างที่แสดงท่าทีสบประมาทคุณชายบ้าง”
พอเอ่ยเช่นนี้ออกมา ผู้เฒ่าเผ่าปีศาจงูที่เคยพูดเหน็บแนมและสบประมาทซูอี้ถึงกับสะดุ้งขึ้นมา เช่นนี้หมายความว่าต้องการจะคิดบัญชีกับพวกเขาเช่นนั้นหรือ?
เย่ตงเหอก็มีสีหน้าเคร่งเครียดลงมาเช่นกัน “สหายเต๋าผู้พี่ ระหว่างเจ้ากับเผ่าปีศาจงูของพวกเข้า ไม่เคยมีความข้องเกี่ยวอันใดต่อกัน เหตุใดวันนี้จึงเข้ามายุ่งเกี่ยวได้?”
เพชฌฆาตเฒ่าเมินเย่ตงเหออีกครั้ง จากนั้นเขาก็ลดเสียงถามซูอี้ “คุณชายขอรับ ถ้าเช่นนั้น… ข้าสามารถลงมือได้หรือยัง?”
หัวใจของทุกคนหนาววาบ ตื่นตะลึงยิ่งนัก
คำพูดประโยคนี้ของเพชฌฆาตเฒ่า แสดงความหมายได้สองอย่าง
หนึ่ง เขาอยากจะลงมือเต็มที่แล้ว!
สอง แต่ก่อนที่จะลงมือ จะต้องได้รับการอนุญาตจากซูอี้ก่อน!
ไม่ว่าจะเป็นความหมายไหน ล้วนทำให้ทุก ๆ คนสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวทั้งสิ้น
ทว่าเพชฌฆาตเฒ่าทำเช่นนี้ ทำให้เย่ตงเหอถึงกับโกรธจนสบถหัวเราะออกมา “สหายเต๋าผู้พี่ ทุกกิริยาที่เจ้าทำในวันนี้ ดูจะเหลวไหลเกินไปนัก! นี่เป็นถิ่นของเผ่าปีศาจงู เจ้าจะมาทำรุ่มร่ามที่นี่ไม่ได้!”
เสียงราวกับฟ้าผ่า ดังกึกก้องไปทั่วตำหนัก
ใคร ๆ ก็มองออกว่า เย่ตงเหอโมโหจนเต็มทนแล้ว
เวลานี้ หวงหยวนซิวยืดตัวลุกขึ้น พูดช่วยเย่ตงเหอ กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “สหาย หากว่าลงมือขึ้นมาจริง ๆ เจ้าเพียงคนเดียว อย่าว่าแต่ฆ่าคนเลย เกรงว่าชีวิตของตัวเจ้าเองก็คงไม่รอด!”
เจียงอิ้งหลิ่วนั่งอยู่ตรงนั้นนิ่ง ๆ ทว่าเวลานี้นางก็ส่งเสียงขึ้นมาเช่นกัน “สหายเต๋าจะต้องคิดดูให้ดี หากว่าทำเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ผิดใจต่อเผ่าปีศาจงูเท่านั้น”
ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดก็คือ หากว่าเจ้ากล้าทำเช่นนี้ เท่ากับเป็นศัตรูต่อศิษย์ของผีหมัวเช่นนาง รวมถึงหอดาบฟ้าดินด้วย!
เพราะอย่างไรเสีย ประมุขพันธมิตรผีหมัวแห่งพันธมิตรเสวียนจวินก็ยืนอยู่ด้านหลังเจียงอิ้งหลิ่ว และสำนักดาบฟ้าดินยังเป็นหนึ่งในหกฝ่ายมหาวิถีแห่งมหาแดนดินด้วย!
เบื้องหลังยิ่งใหญ่เช่นนี้ เพียงพอจะทำให้ใครก็ตามในสายวิถีระดับสุดยอดในภูมิมืดมิดล้วนต้องหวาดเกรง
ชั่วขณะนี้ บรรยากาศในตำหนักใหญ่เต็มไปด้วยความตึงเครียด พร้อมที่จะระเบิดได้ง่ายดาย
พวกของเย่จื่อซานกับสาวน้อยชุดดำต่างก็ตื่นเต้น
เย่ว่สือกับแขกเหรื่อที่ได้รับเชิญต่างก็แอบตื่นตระหนก ความฉงนสงสัยผุดขึ้นจนเต็มใบหน้า
มีแต่สีหน้าของเพชฌฆาตเฒ่าคนเดียวเท่านั้นที่ยังคงราบเรียบเหมือนที่เคยเป็น เขาก้มหน้าน้อย ๆ เพื่อรอคำตอบของซูอี้
สีหน้าของซูอี้ราบเรียบเช่นเดิม เขาครุ่นคิดชั่วครู่ กวาดตามองไปที่พวกของเย่ตงเหอ เจียงอิ้งหลิ่ว กับหวงหยวนซิวทีละคน
จากนั้นเขาก็กล่าวกับเพชฌฆาตเฒ่า “จับตัวเย่ตงเหอก่อน”
คำพูดเบาสบายดังก้องทั่วตำหนัก
“เจ้าหนุ่มคนนี้…เสียสติไปแล้วเช่นนั้นหรือ…”
หวงหยวนซิวตื่นตะลึง
เจียงอิ้งหลิ่วก็ตั้งตัวไม่ทันเช่นกัน
แต่เมื่อเพชฌฆาตเฒ่าได้ยินเช่นนั้น กลับแสดงความยินดีออกมาจนนอกหน้า ฉีกยิ้มกล่าว “ขอรับ!”
เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้แล้ว เย่ตงเหอก็โกรธจนลมออกหู ความอำมหิตแผ่ออกจากร่าง และกล่าวขึ้นมาทีละคำช้า ๆ ชัด ๆ
“วันนี้ ไม่ว่าใครหน้าไหนมา ก็ช่วยพวกเจ้าไม่ได้!!”
เสียงยังคงดังกึกก้อง
ฉับพลันเขาสะบัดแขนเสื้อ
ครืน!!
ตำหนักบรรพชนส่งเสียงดัง ท้องฟ้าแห่งดวงดาวที่อยู่บนเพดานตำหนักปล่อยแสงส่องสว่าง หินดาวเงินแต่ละเม็ดส่องแสงสว่างประดุจกลางวัน เกิดระลอกคลื่นค่ายกลอันน่าสยดสยอง
ค่ายกลหมื่นดาราล้างสรวง!
ค่ายกลกักขังของเผ่าปีศาจงู เวลาแสดงฤทธิ์เดชออกมาเปรียบประดุจดวงดารานับหมื่นสาดเท หมื่นดาราบุกโจมตี สามารถปลิดชีพของตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำได้
หากกล่าวถึงอานุภาพแล้ว มันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าค่ายกลปักษาทองปราบเภทภัยของตระกูลชุยเผ่าโบราณเลย
โดยไม่ต้องสงสัย เย่ตงเหอดูเหมือนจะโกรธแค้น แต่เขารู้ความสามารถอันน่ากลัวของเพชฌฆาตเฒ่าดี ไม่คิดจะต่อสู้ปะทะโดยตรง จึงใช้พลังของค่ายกลกักขังป้องกันเผ่าเพื่อจบสิ้นการปะทะของเขา
ครืน!
ดวงดาราราวกับเม็ดฝน ดูเหมือนเล็กกะจ้อย ทว่าเปรียบได้กับน้ำตก กลบทับรอบสี่ด้านของพื้นที่ที่ซูอี้กับเพชฌฆาตเฒ่ายืนอยู่
ชั่วขณะนั้น คนทั้งหลายในเหตุการณ์ต่างก็สั่นสะท้าน
หน้าของเยว่สือกับบรรดาแขกเหรื่อเหล่านั้นต่างก็เปลี่ยนสี ความรุนแรงของค่ายกลนี้ เพียงแค่มองดูไกล ๆ ก็ยังทำให้พวกเขารู้สึกหนาวไปทั้งตัว
ประกายเย็นยะเยือกในสายตาของหวงหยวนซิวผุดออกมา เช่นนี้เรียกว่าไม่รู้จักประมาณตน ไม่รู้จักความตาย
เจียงอิ้งหลิ่วแอบถอนใจเสียดายต้นกล้าวิถีดาบที่ดีเลิศหาได้ยากในพันปี
สีหน้าของเย่จื่อซานกับหญิงสาวขาวซีดราวกับร่วงหล่นเข้าไปในห้องน้ำแข็ง
ในฐานะที่เป็นคนของเผ่าปีศาจงู พวกเจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าค่ายกลหมื่นดาราล้างสรวงน่ากลัวเพียงใด?
เพียงแต่ แม้กระทั่งพวกเขาก็ไม่คาดคิดว่า เวลาที่เย่ตงเหอลงมือจะหยิบเอาอาวุธร้ายแรงถึงเพียงนี้ออกมาใช้ในทันที เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะให้ซูอี้กับเจ้าของหอเสียงอวิ๋นได้มีโอกาสตอบโต้เลย!
ทว่าอย่างรวดเร็ว คนทั้งหลายก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ…
ซูอี้กับเพชฌฆาตเฒ่าที่ถูกพลังค่ายกลกักขัง ทั้ง ๆ ที่ได้รับการโจมตีอย่างรุนแรงน่ากลัว แต่คนทั้งสองกลับไม่รู้สึกสะทกสะท้านแต่อย่างใด
ครู่ถัดมา ซูอี้กล่าวด้วยเสียงเย็นชา
“ในสายตาข้า ค่ายกลหมื่นดาราล้างสรวงนี้ คล้ายกับเครื่องประดับเท่านั้น”
เสียงยังคงดังกึกก้อง ภายใต้สายตาที่จ้องมองด้วยความตื่นกลัว พลังค่ายกลอันน่ากลัวและรุนแรงราวกับน้ำตกที่เชี่ยวกรากราวกับถูกมือใหญ่ดีดกระเด็นไปอย่างง่ายดาย
ครืน!!
จากนั้น ร่างของซูอี้กับเพชฌฆาตเฒ่าก็ปรากฏขึ้น
ทุกอย่างครบสมบูรณ์!
“นี่…”
ทุกคนเงียบกริบด้วยความตื่นตะลึง
ใครกันจะคาดคิดว่า ค่ายกลหมื่นดาราล้างสรวงซึ่งมีอานุภาพน่ากลัวจนสามารถปลิดชีวิตของตัวตนขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำได้จะถูกสลายไปได้อย่างง่ายดายเช่นนี้?
“เป็นไปได้อย่างไร!?”
เย่ตงเหอตกตะลึงอย่างแรง
ในอดีต ภายใต้การปกป้องของค่ายกลหมื่นดาราล้างสรวง ค่ายกลนี้ช่วยเผ่าปีศาจงูของพวกเขาฆ่าศัตรูมาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร ทั้งยังเป็นค่ายกลร้ายแรงที่ผู้เป็นจักรพรรดิในเขตโดยรอบพูดถึงแล้วยังต้องกลัว
ทว่าตอนนี้ กลับทำอะไรฝ่ายตรงข้ามไม่ได้แม้แต่ปลายเส้นผม!
และในเวลานี้เอง…
เพชฌฆาตเฒ่าลงมือในทันใด
บนร่างที่ผ่ายผอมของเขา อานุภาพอันร้ายกาจและยิ่งใหญ่ก็ระเบิดขึ้นในทันใด เพียงแค่ชั่วครู่เดียวราวกับมีร่างวานรโบราณปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของเขา เท้าเหยียบดารา ส่งเสียงคำรามขยี้ตะวันและดวงเดือน!
เพชฌฆาตเฒ่าในเวลานี้ไม่ใช่เจ้าของหอเสียงอวิ๋นที่มีรูปลักษณ์ปกติคนนั้นอีกแล้ว แต่กลับคล้ายมารร้ายที่บุกออกมาจากทะเลโลหิตเก้ามืด
ลำพังเพียงแค่อานุภาพที่แสดงออกมาก็ทำให้ขวัญแตกกระเจิงแล้ว
ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอันแข็งแกร่งก็ยังถึงกับหายใจไม่ออก สั่นสะท้านขึ้นในใจ
น่ากลัวเหลือเกิน!!