บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 886: ดาบของบรรพชน
ตอนที่ 886: ดาบของบรรพชน
การกระทำอันเฉียบพลันของเจียงอิ้งหลิ่วทำให้ทุกคนตกใจ
เพชฌฆาตเฒ่าอดยิ้มเยาะไม่ได้ หมายตาปะทะสัตว์ประหลาดเฒ่าซูเนี่ยนะ?
รนหาที่ตายแท้ ๆ!
เมื่อเผชิญกับการปรากฏตัวกะทันหันของเจียงอิ้งหลิ่ว ดวงตาอันลึกล้ำดุจบ่อน้ำโบราณของซูอี้ก็ปรากฏคลื่นกระเพื่อมเล็กน้อย
เพราะปราณอันแข็งแกร่งและมรดกวิชาดาบที่นางกำลังใช้ ณ ยามนี้ช่างคุ้นเคยนัก
คุ้นเสียจนเขาแทบไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ ก็รู้แล้วว่าจะสลายมันเช่นไร
ซูอี้ยืนนิ่ง จากนั้นฟาดมือที่เป็นดั่งดาบสู่อากาศ
ตู้ม!
ดุจศิลาใหญ่ถูกทุ่มจากนภาสู่กลางทะเลสาบสงบเงียบ ก่อให้เกิดทะเลคลั่งพายุ
จากนั้น อำนาจมหาวิถีในร่างของนางก็สั่นสะเทือนราวลูกบอลที่ถูกของแหลมจิ้ม ทำให้ต้องเซถอยหลังไปสองสามก้าว
ใบหน้างามแปรเปลี่ยนโดยสมบูรณ์ แทบไร้วาจาจะกล่าว “เป็นไปได้เช่นไร!?”
เสียงของนางเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
การโจมตีนี้ดูเรียบง่าย แต่เมื่อโจมตีออกมา มันก็กระทบจุดที่อ่อนแอที่สุดในพลังมหาวิถีของนางราวโจมตีจุดตาย!
เรื่องนี้จะไม่ทำให้เจียงอิ้งหลิ่วแปลกใจได้เช่นไร?
นี่คือครั้งแรกที่นางได้พบสถานการณ์ไม่น่าเชื่อเช่นนี้นับแต่เริ่มฝึกฝน!
คนทุกผู้ต่างตะลึงจนไร้วาจาเมื่อเห็นเช่นนี้
ยามที่ซูอี้จัดการกับจักรพรรดิเช่นเย่จิงด้วยดาบเดียวก็น่าเหลือเชื่อพอแล้ว
และยามนี้ เมื่อเขาเอาชนะเจียงอิ้งหลิ่ว ศิษย์ผู้หนึ่งของผีหมัวด้วยหนึ่งการโจมตี นั่นก็ทำให้พวกเขายิ่งดูโง่งม
เป็นเรื่องที่ไม่อาจจินตนาการได้เลย ว่าตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณจะร้ายกาจฝืนกฎสวรรค์เพียงนี้!!
“กล่าวได้เพียงว่ามรดกวิชาดาบของเจ้าไม่อาจคงรักษาอานุภาพเหมือนดั่งก่อน …เห็นทีการถ่ายทอดคงทำให้ประสิทธิภาพของมันด้อยลง”
ซูอี้กระซิบเบา ๆ อย่างผิดหวังเล็กน้อย
วาจาเพียงไม่กี่คำ ทว่าเจียงอิ้งหลิ่วกลับเหมือนถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง นางกล่าวด้วยน้ำเสียงดังลั่น “ข้าไม่เชื่อหรอก!”
นางฝึกฝน ‘เคล็ดวิชาหยกวิญญาณธาตุลึกล้ำ’ ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาสูงสุดที่บรรพชนของนาง ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินสรรค์สร้างเอง และเป็นหนึ่งในสิบอันดับเคล็ดวิชาสูงสุดในเก้ามหาแดนดิน!
ในหมู่พวกมัน ไม่ได้มีเพียงเคล็ดวิชาสมบูรณ์จากโลกกว้างมากมาย แต่ยังมีมรดกวิชาดาบที่เหมาะสมกับมันด้วย
ด้วยมรดกเช่นนี้ เจียงอิ้งหลิ่วจึงมีชื่อเสียงโด่งดังในเก้ามหาแดนดิน กระทั่งจักรพรรดิในขอบเขตเดียวกันยังมีน้อยคนนักจะเป็นคู่มือนางได้!
ทว่ายามนี้ ชายหนุ่มผู้หนึ่งในขอบเขตวงล้อวิญญาณกลับพูดว่านางอ่อนด้อย นางจะรับมันได้เช่นไร?
ควับ!
เจียงอิ้งหลิ่วโจมตีอีกครั้ง นางยกดาบในมือขึ้น จากนั้นส่งปราณดาบเจิดจ้าไร้เทียบออกไปหนึ่งสาย อันแฝงไปด้วยพลังมหาวิถีลึกล้ำไม่รู้จบ
แสงดาบหยกพลิ้วละล่อง!
เมื่อเห็นดาบนี้
ซูอี้ก็ยิ่งรู้สึกผิดหวัง
ในหมู่ศิษย์ของเขา มีเพียงศิษย์เล็กชิงถังผู้บรรลุถึงแก่นแท้แห่ง ‘เคล็ดวิชาหยกวิญญาณธาตุลึกล้ำ’ และฝึกฝนมรดกมหาวิถีนี้ได้จนถึงขั้นแตกฉานแซงหน้าเขาผู้เป็นอาจารย์
ซูอี้จำได้แม่นยำว่าชิงถังเคยถามเจาะจงถึงเคล็ดวิชา ‘แสงดาบหยกพลิ้วละล่อง’ นี้
ยามนั้น เขาเพียงแนะนำนิดหน่อย ทว่าไม่เพียงชิงถังจะเข้าใจเคล็ดวิชานี้โดยสมบูรณ์ แต่ยังเปิดวิถีใหม่จากความเข้าใจนี้ สร้างวิชาแตกแขนงเป็นของตนเอง!
ซูอี้เองก็ตื่นตะลึงกับพรสวรรค์ในวิชาดาบของนางเช่นกัน
กาลเวลาเปลี่ยนแปร และยามนี้ เมื่อเจียงอิ้งหลิ่วสำแดงวิชาดาบนี้ ก็เดาได้ว่าในใจซูอี้จะผิดหวังเพียงไร
ทว่า เขาก็ไม่ได้คอยท่า
เมื่อเจียงอิ้งหลิ่วฟาดดาบเข้ามา เขาก็กำหมัดชกสวนขึ้นไป
ตู้ม!!
ปราณกระบี่ซึ่งแปรเปลี่ยนเป็นลำแสงพังทลายลงทันทีด้วยหมัดนั้น
ทว่าแรงหมัดยังคงไม่ลดกำลัง มันทำลายทุกสิ่งไปตลอดทาง
ร่างบอบบางของเจียงอิ้งหลิ่วปลิวกระเด็นดุจว่าวสายป่านขาด และร่วงลงไปบนพื้นซึ่งห่างออกไปสิบกว่าจั้ง
ใบหน้างามของนางซีดขาวดุจกระดาษ โลหิตไหลลงมาจากมุมปาก ใบหน้าแววตาก็เต็มไปด้วยความสับสน ราวกับไม่อาจยอมรับเรื่องทั้งหมดนี้ได้
“เป็นไปไม่ได้… นี่เป็นไปไม่ได้…”
เจียงอิ้งหลิ่วพึมพำราวกับตกอยู่ในภวังค์
นางรู้ดีว่าเหตุผลที่ซูอี้สามารถเอาชนะมรดกวิชาดาบของนางได้อย่างง่ายดายนั้นไม่ใช่เพราะอำนาจล้นเหลือแต่อย่างใด
แต่ดูเหมือนเขาจะมองเห็นความบกพร่องในวิชาดาบของนาง และทำลายมันได้โดยง่าย
สิ่งที่รุนแรงกว่าการโจมตีนาง ก็คือการสะเทือนจิตวิญญาณของนาง!
ราวกับทุกอำนาจและความลับทั้งหลายของนางไม่อาจซุกซ่อนจากสายตาของซูอี้ได้เลย
ยามนี้ เมื่อได้เห็นสภาพของเจียงอิ้งหลิ่ว หัวใจของทุกผู้ในตำหนักเองก็ปั่นป่วน
ใครเล่าจะไม่เห็นว่าศิษย์ผู้นี้ของผีหมัวดูจะถูกโจมตีหนักหน่วงจนกายและใจต่างสูญเสียการควบคุม?
ทว่าเมื่อคิดให้ดี หากจักรพรรดิใดในโลกหล้าต้องพ่ายตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณซ้ำ ๆ ก็ยากที่จะมีผู้ใดรับความอัปยศนี้ได้
ก็คงมีเพียงเพชฌฆาตเฒ่าเท่านั้นที่ยังคงสบายใจอยู่ได้
การที่ศิษย์หลานมาท้าตีบรรพชนนี้ ไม่ต่างอันใดกับการวอนหาไม้เรียว
“บอกจุดประสงค์ของเจ้ามา และข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
ซูอี้กล่าว
สีหน้าของเจียงอิ้งหลิ่วว่างเปล่า และครู่ต่อมา นางก็สูดหายใจลึก ๆ ก่อนจะกล่าวอย่างสุขุม “ข้าบอกแล้วว่าคนของถ้ำเสวียนจวินไม่เคยตาขาวกลัวความตาย ในเมื่อข้าพ่ายวันนี้ จะฆ่าจะแกงก็ไม่บิดพลิ้ว!”
เสียงของนางดังกังวานก้อง
ทุกผู้ต่างดูสะเทือนใจ
ซูอี้จ้องมองเจียงอิ้งหลิ่วอย่างลึกล้ำ ก่อนจะหันไปพูดกับเย่ตงเหอ “เจ้ายังอยากพูดอันใดอีกหรือไม่?”
เย่ตงเหอเงยหน้าขึ้นทันควัน เขามองไปยังสมาชิกเผ่าปีศาจงูรอบ ๆ และส่งเสียงลอดไรฟัน “พวกเจ้าจะทำเพียงมองคนนอกหยามเกียรติข้าเยี่ยงนี้หรือ?!”
ในหมู่ยอดฝีมือแห่งเผ่าปีศาจงูเกิดเสียงเซ็งแซ่
กระทั่งเย่จื่อซานและเย่รั่วซียังแสดงความลังเล
หากปล่อยให้ซูอี้สังหารเย่ตงเหอ เช่นนั้น ไม่ว่าเหตุผลจะเป็นเช่นไร ซูอี้ก็จะเป็นศัตรูของเผ่าปีศาจงูทั้งเผ่าเป็นแน่!
ซูอี้หันไปบอกเพชฌฆาตเฒ่าว่า “ให้นางออกมา”
เพชฌฆาตเฒ่าโบกแขนเสื้อของเขาทันที
ร่างงดงามร่างหนึ่งร่วงลงกับพื้น นางคือจักรพรรดิแห่งเผ่าปีศาจไก่ฟ้าโลหิต ‘เซี่ยงเถียน’
เมื่อเห็นสตรีผู้นี้ ใบหน้างามของเจียงอิ้งหลิ่วก็ย่ำแย่ลง ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าเหตุใดเย่เทียนฉวีจึงรอดกลับมาเมืองเทียนหยาได้
และสีหน้าของเย่ตงเหอก็แปรเปลี่ยนอย่างช่วยไม่ได้
ซูอี้หันไปกล่าวกับเซี่ยงเถียนว่า “บอกข้าสิ ว่าผู้ใดสั่งให้เข้ามาลอบสังหารเย่เทียนฉวีและชิงลัญจกรหยกบรรพชนของเผ่าปีศาจงู ขอเพียงเจ้าบอกความจริง ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
เซี่ยงเถียนดูหดหู่สิ้นแสง ดวงตาของนางกวาดมองไปรอบ ๆ และเมื่อเห็นเจียงอิ้งหลิ่วที่บาดเจ็บและเย่ตงเหอถูกปราบสิ้นท่า นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น หัวใจของนางก็ร่วงสู่หุบเหว
นางตระหนักแล้วว่ากระทั่งเจียงอิ้งหลิ่วและเย่ตงเหอยังไม่อาจช่วยชีวิตนางได้อีก!
หญิงสาวสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวอย่างขมขื่น “ข้าเพียงทำตามคำสั่งของใต้เท้าเจียงอิ้งหลิ่ว และร่วมมือกับเย่ตงเหอ ผู้อาวุโสสูงสุดที่สามแห่งเผ่าปีศาจงู สังหารเย่เทียนฉวีและนำลัญจกรหยกบรรพชนกลับมาให้ถึงมือเขา”
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกกล่าว เหล่าผู้ฟังทั้งหลายต่างเดือดพล่าน
เย่จื่อซานและสาวน้อยชุดดำผู้เดิมเห็นใจเย่ตงเหออดมีโทสะไม่ได้
ในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดแห่งเผ่าปีศาจงู เขากลับร่วมมือกับศิษย์ผีหมัวและสั่งคนนอกไปสังหารคนในเผ่าตนเอง เจตนาต้องโหดเหี้ยมเพียงไร?
พฤติกรรมเช่นนี้ต่างอันใดกับการสังหารคนเผ่าเดียวกัน?
ขณะนั้น สายตาของเหล่าผู้อาวุโสเผ่าปีศาจงูที่มองมายังเย่ตงเหอแปรเปลี่ยน
“ปากพล่อย! ทุกคนโปรดอย่าฟังคำบิดเบือนจากปากนังนั่นนะ!”
เย่ตงเหอเดือดดาล
เซี่ยงเถียนอดรำคาญใจไม่ได้ “พี่ชายร่วมวิถี หากเจ้ากล้าทำก็ต้องกล้ารับสิ เจ้าเป็นตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ ไฉนจึงไม่มีความกล้าและความรับผิดชอบเยี่ยงนี้? หรือข้าต้องสำแดงหลักฐานจริง ๆ?”
หลักฐาน!
ซูอี้อดแปลกใจไม่ได้ เขาไม่คาดว่าเซี่ยงเถียนผู้นี้จะเก็บงำไพ่ตายไว้
ยามนี้เอง เจียงอิ้งหลิ่วก็ถอนหายใจยาว “สหายเต๋า สถานการณ์นี้จบแล้ว ไม่ว่าจะมีหลักฐานหรือไม่ ครานี้ทั้งเราท่านต่างไม่อาจหนีพ้น”
ครู่ต่อมา นางก็กล่าวต่ออย่างเยือกเย็น “ทว่าข้าไม่เสียใจเลย และข้าไม่คิดว่ามันผิดที่จะทำเช่นนี้! การประชุมเผ่าปีศาจงูวันนี้ ขอเพียงเลือกผู้นำเผ่าใหม่ได้ ความปั่นป่วนในเผ่าจะสงบลง ข้าเชื่อว่านี่คือสิ่งที่ชาวเผ่าปีศาจงูทุกคนต่างอยากเห็น”
นี่เท่ากับยอมรับในวาจาของเซี่ยงเถียน!
ริมฝีปากของเย่ตงเหอระริกไหว ไร้วาจา
เหล่าผู้อาวุโสในเผ่าปีศาจงูต่างตกใจกลัวเจือโทสะ
ซูอี้กล่าว “งั้นเจ้าพยายามทำอันใด?”
เจียงอิ้งหลิ่วเงียบไปครู่หนึ่ง “ข้าจะให้โอกาสนี้รับดาบของบรรพชนข้าที่ทิ้งไว้ ณ เผ่าปีศาจงู!”
ซูอี้ตกใจ เขาไม่คาดเลยว่าสตรีผู้นี้จะมาเพื่อดาบของเขา ‘ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์’!
ผู้คนในตำหนักต่างตะลึง และผู้คนมากมายสับสน
“ดาบของบรรพชนเจ้าจะมาอยู่ในเผ่าปีศาจงูของข้าได้เช่นไร?”
สาวน้อยชุดดำอดกล่าวไม่ได้
เจียงอิ้งหลิ่วกล่าวอย่างเยือกเย็น “เจ้าไม่รู้ ไม่ได้หมายความว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้น หรืออาจเป็นเพราะฐานะของเจ้าไร้คุณสมบัติจะล่วงรู้ความลับนี้ ยิ่งกว่านั้นคือ หากไม่ใช่เพื่อรับดาบของบรรพชนข้าคืน ไฉนข้าต้องมายุ่งเกี่ยวกับเผ่าปีศาจงูของพวกเจ้าด้วย?”
ยามนี้ เพชฌฆาตเฒ่าอดแปลกใจไม่ได้ เขาเองก็ไม่คาดว่าซูอี้จะทิ้งดาบของเขาไว้ในเผ่าปีศาจงูนี้!
“ท่านอา เรื่องนี้จริงหรือ?”
เย่จื่อซานหันไปถามเย่ตงเหอ
เย่ตงเหอกล่าวเสียงต่ำด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ใช่ ในเผ่าปีศาจงูเรา มีเพียงบรรพชนเย่อวี๋และข้าที่รู้ความลับนี้ ตามที่บรรพชนเย่อวี๋เคยกล่าว ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินเคยมอบดาบนี้ให้เผ่าของเราเก็บรักษาชั่วคราว”
ต่อมาจึงเกิดเสียงฮือฮาไปทั่วบริเวณ
เรื่องนี้นับเป็นความลับอันสะท้านใจสำหรับเหล่าผู้อาวุโสในเผ่าปีศาจงู ซึ่งทำให้พวกเขาตระหนักได้ว่าการเลือกผู้นำวันนี้มีเรื่องอื่นแอบแฝง!
และในที่สุดซูอี้ก็เข้าใจ
แต่เดิม เขาคาดว่าเจียงอิ้งหลิ่วคงอยากจะไปยัง ‘วิหารบรรพชนแดนต้องห้าม’ ของเผ่าปีศาจงู
ในเผ่าปีศาจงู มีเพียงผู้นำเผ่าที่สามารถเข้าไปยังวิหารบรรพชนแดนต้องห้ามได้ และยังต้องรวบรวมลัญจกรหยกบรรพชนทั้งสี่ชิ้นด้วย!
นี่คือเหตุที่เจียงอิ้งหลิ่วร่วมมือกับเย่ตงเหอ
ทว่าซูอี้คาดเดาได้เพียงจุดนี้เมื่อกาลก่อน และยามนี้เอง เขาจึงได้รู้ว่าจุดหมายสุดท้ายของเจียงอิ้งหลิ่วคือการฉวยดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ไป!
“อาจารย์เจ้าผีหมัวให้เจ้าทำเช่นนี้หรือ?”
ซูอี้ถาม
เจียงอิ้งหลิ่วอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “ในฐานะศิษย์ถ้ำเสวียนจวิน ในเมื่อข้ารู้ความลับนี้ ข้าย่อมหาทางช่วยสำนักนำดาบของบรรพชนกลับไปอยู่แล้ว!”
ซูอี้ขมวดคิ้ว และตัดสินว่าเป็นการกระทำส่วนตัวของเจียงอิ้งหลิ่ว
ยามนี้ จู่ ๆ ก็เกิดเสียงขึ้นที่นอกตำหนัก
และตามมาด้วยเสียงลุ่มลึกทว่าแข็งดั่งเหล็กดังขึ้น
“หนูตัวใดกล้าเข้ามาก่อเรื่องในเขตปกครองเผ่าปีศาจงูของข้ากัน!?”
ทุกวาจาสะท้านก้องทั่วทิศ จิตสังหารระเบิดออกมาจนลืมหายใจ
เสียงยังไม่ทันจาง ร่างผอมสูงร่างหนึ่งก็ปรี่เข้ามาในตำหนักบรรพชนดุจเทพเซียนอหังการ