บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 887: ดำเนินตามครรลอง
ตอนที่ 887: ดำเนินตามครรลอง
ผู้ที่มาใหม่สวมอาภรณ์สีดำ เถลิงมงกุฎเหล็กบนศีรษะและสะพายดาบไว้บนหลัง เมื่อคู่เนตรนั้นมองมาก็ปรากฏบรรยากาศดุร้ายกดดัน
เมื่อเขาเข้ามายังตำหนัก บรรยากาศเย็นเยือกบาดสะท้านก็สะพัดไปทั่วเช่นกัน
ดวงตาของเพชฌฆาตเฒ่าฉายความแปลกใจ ช่างเป็นอำนาจวิถีดาบอันดุร้ายนัก!
และเมื่อเห็นรูปลักษณ์ของผู้มาเยือน เย่จื่อซาน เย่รั่วซีและสมาชิกสายตระกูลหลักของเผ่าปีศาจงูต่างตื่นเต้นดีใจ
“คารวะผู้อาวุโสสูงสุดที่สอง!”
ทุกคนต่างลุกขึ้นคำนับ
ชายในชุดดำ สวมมงกุฎเหล็กและสะพายดาบไว้เบื้องหลังนี้คือเย่ชิงเหอ ผู้อาวุโสสูงสุดที่สองของเผ่าปีศาจงู!
ตัวตนบรรพกาลลี้ลับผู้ปลีกตัวฝึกฝนมาหลายปี!
ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ เย่ชิงเหอยังเป็นผู้อาวุโสจากสายตระกูลหลักของเผ่าปีศาจงูด้วย!
ในขณะเดียวกัน สมาชิกจากตระกูลสาขาของเผ่าปีศาจงูต่างก้มหน้าก้มตาด้วยความไม่สบายใจ
ดวงตาของเย่ชิงเหอทอประกายแปลบปลาบดุจอสนีบาตยามมองไปทั่วตำหนัก
ทว่า เมื่อเขาเห็นเหตุการณ์ในตำหนัก ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
ช่างสับสนนัก!
เย่ตงเหอถูกกดตัวให้คุกเข่ากับพื้น เจียงอิ้งหลิ่วบาดเจ็บ เซี่ยงเถียนนอนพังพาบอยู่ด้านข้าง และยังมีกองเลือดเละเทะที่พื้น
เถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นและชายหนุ่มชุดเขียวแปลกหน้าผู้หนึ่งยืนอยู่ในฝูงชน
เขากระทั่งเห็นว่าศิษย์พี่ของเขา เยว่สือก็อยู่ด้วย!
ทั้งหมดนี้ทำให้เย่ชิงเหอรู้สึกสับสนอย่างยิ่ง
“ผู้ใดบอกข้าได้บ้างว่าเกิดอันใดขึ้น?”
เย่ชิงเหอถามเสียงลุ่มลึก
เย่จื่อซานก้าวออกมาและอธิบายเรื่องทั้งหมดในทันที
หลังได้ยินเช่นนี้ เย่ชิงเหอก็อดผงะและสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
เมืองมืดเปลี่ยนแปลงมหันต์ เย่อวี๋ติดอยู่ในนั้น และเหตุขัดแย้งภายในของเผ่าปีศาจงูก็นำไปสู่การพยายามเลือกผู้นำใหม่…
และพายุนี้ก็ระเบิดออกในตำหนักบรรพชนวันนี้!
หากเย่ตงเหอและเจียงอิ้งหลิ่วร่วมมือ เย่ชิงเหอย่อมเดือดดาล
การกระทำของซูอี้และเพชฌฆาตเฒ่าเองก็ทำให้เย่ชิงเหอตกตะลึง และไม่อยากเชื่อ
แม้เขาจะผ่านร้อนหนาวมามากมาย และเห็นสิ่งประหลาดมาหลากหลาย แต่เขาก็ไม่อาจจินตนาการถึงวันที่ชายหนุ่มผู้หนึ่งในขอบเขตวงล้อวิญญาณจะสามารถสังหารเย่จิงด้วยดาบเดียวได้ ทั้งยังสามารถเอาชนะศิษย์ของผีหมัว เจียงอิ้งหลิ่วได้ง่ายราวดีดนิ้ว!
กระทั่งยอดฝีมือเร้นกายเช่นเถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นยังให้เกียรติและฟังคำเขา!
เรื่องทั้งหมดนี้น่าเหลือเชื่อเกินไปสำหรับเขา
“พี่ชายร่วมเผ่า ข้ายอมรับว่าเรื่องในวันนี้เป็นความผิดข้าอยู่หลายส่วน ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะรับโทษตามกฎของเผ่าเอง”
ท่ามกลางบรรยากาศมืดหม่นกดดันนี้ เย่ตงเหอกล่าวขึ้นด้วยเสียงแหบพร่า “ทว่า ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของเผ่าเรา แต่เมื่อมีคนนอกบุกเข้ามาเข่นฆ่าคนเผ่าเรา ขอพี่ชายร่วมเผ่ามอบความยุติธรรมให้เราด้วย!”
วาจาของเขาชี้ไปยังซูอี้และเพชฌฆาตเฒ่า
เย่ชิงเหอเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวกับซูอี้ว่า “คนแซ่เย่ผู้นี้ไม่รู้บางอย่าง และต้องการถามจากสหายเต๋าซู”
ด้วยคำเรียกนี้ จึงเห็นได้ว่าตัวตนบรรพกาลเช่นเย่ชิงเหอไม่กล้าถือซูอี้เป็นผู้น้อยทั่วไปได้อีก
“ว่ามา”
ซูอี้กล่าว
“เจ้าและเผ่าปีศาจงูของข้าไม่เกี่ยวพันอันใด ไฉนวันนี้จึงอยากมาเยือนถิ่นเราโดยอ้างว่าจะช่วยปราบจลาจลในเผ่า และนำตนเข้ามาพัวพันกับเรื่องภายในของเราเล่า?”
ดวงตาล้ำลึกของเย่ชิงเหอจ้องมองซูอี้เงียบ ๆ
ทันทีที่วาจาเหล่านี้ถูกเปล่ง ทุกคนต่างหันมามองซูอี้โดยพร้อมเพรียง
กระทั่งเจียงอิ้งหลิ่ว เย่ตงเหอและคนอื่น ๆ ยังสับสนเรื่องนี้มานาน
เนื่องจากจริงเช่นที่เย่ชิงเหอว่า การปรากฏตัวของซูอี้กะทันหันเกินไป ผู้คนจึงมิอาจจินตนาการออกเลยว่าเขาอยากมาพัวพันเพราะเหตุใด และมีจุดประสงค์อันใด
สาวน้อยชุดดำอดกล่าวไม่ได้ว่า “คุณชายซูถูกผู้อาวุโสเทียนฉวีเชิญมา”
เย่ชิงเหอถอนหายใจเบา ๆ “แม่หนู แม้ว่าเย่เทียนฉวีจะเป็นผู้อาวุโสผู้ถืออำนาจของตระกูลสาขาที่สาม แต่ลำพังเขาคนเดียว… ก็ไม่อาจทำได้ถึงขั้นนี้หรอก”
หญิงสาวเงียบไปชั่วขณะ
“ขอสหายเต๋าแถลงไขด้วย”
ดวงตาของเย่ชิงเหอฉายประกายคมปลาบเลือนราง
เพชฌฆาตเฒ่าอดแค่นเสียงอย่างไม่พอใจมิได้ “เจ้าคิดว่าเรามาที่นี่เพื่อจุดประสงค์ร้ายหรือไร? อย่าลืมนะว่าหากไม่ใช่เพราะเรา เผ่าปีศาจงูของเจ้าคงได้แปรเปลี่ยนวันนี้เป็นแน่!”
ซูอี้โบกมือ “ไม่ต้องหรอก ถึงอย่างไรพวกเขาก็แค่อยากรู้เหตุผลเท่านั้น”
ท้ายที่สุดแล้ว นี่ก็คือเผ่าปีศาจงู บ้านของเย่น้อย
เมื่อซูอี้กระทำการ เขาจึงไม่อาจไร้หัวใจเกินไปนัก
หาไม่ ด้วยนิสัยของเขา คงคร้านเกินกว่าจะสนใจความขัดแย้งภายในเผ่าปีศาจงูเป็นแน่ อย่าว่าแต่เอาตนเองเข้ามาพัวพันเลย
เพชฌฆาตเฒ่าเงียบไปครู่หนึ่ง เขาเห็นได้ชัดเจนว่าสัตว์ประหลาดเฒ่าซูอดทนมากยามรับมือกับเผ่าปีศาจงู
หากเป็นในอดีต หากมีผู้ใดกล้ามาพูดพล่ามเช่นนี้ เกรงว่าคงถูกหนึ่งดาบของสัตว์ประหลาดเฒ่าซูสังหารสิ้น
ซูอี้ยกมือขึ้น
ร่างหนึ่งปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุ เป็นชายหนุ่มรูปงามในอาภรณ์หยก
“ก่อนหน้านี้เจ้าเห็นทุกอย่างแล้ว ที่เหลือให้เจ้าจัดการแล้วกัน”
ซูอี้กล่าวพลางนำเก้าอี้หวายออกมานอนสบายท่ามกลางสายตาตะลึงอึ้งทุกคู่
ราวกับเขาไม่เห็นผู้ใดในสายตา
ทว่าไม่นานนัก สายตาทุกคู่ก็มองไปยังชายหนุ่มในอาภรณ์หยก
หลายคนสงสัยว่าเขาเป็นผู้ใดมาจากไหน?
ทว่าเมื่อพวกเขาเห็นรูปลักษณ์ของชายหนุ่มในอาภรณ์หยก เย่ชิงเหอ เย่ตงเหอ และผู้เฒ่าบางคนต่างตะลึงตาเบิกกว้าง
“ท่านบรรพชน!? เป็นท่านจริง ๆ หรือ?”
ชายชราผู้หนึ่งอุทาน
บรรพชน?
คนมากมายส่งเสียงฮือฮาอย่างไม่อยากเชื่อ
เจียงอิ้งหลิ่วและพวกเยว่สือต่างก็งุนงง
จากนั้น เย่ตงเหอก็ถามเสียงสั่น “ท่านอา เป็นท่านจริง ๆ หรือขอรับ?”
เย่ชิงเหอเองก็ตะลึง
“กระไรเล่า ข้าแค่ไม่ได้กลับบ้านมาสามหมื่นกว่าปี พวกเจ้าก็เลยจำข้าไม่ได้กันแล้วหรือ?”
ชายหนุ่มในอาภรณ์หยกแค่นเสียงอย่างเย็นชา
คนผู้นี้ย่อมเป็นเย่ซุ่น
“ท่านอา… ที่แท้ก็เป็นท่านจริง ๆ…”
ในที่สุดเย่ชิงเหอก็ดูจะได้สติคืน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ภาพนี้ช่างน่าตื่นตา ทำให้คนทุกผู้ต่างลุกฮือ
หลายคนพอเดาตัวตนของเย่ซุ่นได้แล้ว
เพราะในเผ่าปีศาจงูทั้งมวล มีเพียงหนึ่งคนที่สามารถทำให้สองผู้อาวุโสสูงสุด เย่ชิงเหอและเย่ตงเหอด้อยอาวุโสกว่าได้ และไม่ได้ปรากฏตัวมาเป็นหมื่น ๆ ปี
นั่นคือเย่ซุ่น!
น้องชายของบรรพชนเย่อวี๋!
แค่ว่า ไม่มีผู้ใดคาดว่าบรรพชนผู้สูงส่งและน่ากลัวผู้นี้จะปรากฏในตำหนักบรรพชนเยี่ยงนี้
ช่างเกินคาด
เยว่สือและเหล่าแขกจำได้ในที่สุด
เมื่อเป็นเรื่องของเย่ซุ่น ในอดีตกาล เขาก็นับเป็นอันธพาลชั้นเลิศในโลกหล้าแน่แท้ อาละวาดไปทั่ว เย่อหยิ่งอหังการ และสร้างความปั่นป่วนนับครั้งไม่ถ้วน
“ท่านบรรพชนเย่ซุ่น…”
เย่จื่อซานร่างสั่น
ยามนี้ ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดซูอี้และเพชฌฆาตเฒ่าจึงเข้ามาแทรกแซงเรื่องราวในเผ่าปีศาจงู ที่แท้เรื่องนี้ก็เพราะบรรพชนเย่ซุ่น!
“ท่านอา ท่านกลับมาแต่ยามใดขอรับ?”
เย่ชิงเหออดถามไม่ได้
เย่ซุ่นถามอย่างมึนตึง “เจ้าคิดว่ายามนี้คือกาลอันเหมาะสมต่อการพูดเรื่องนี้หรือ?”
เย่ชิงเหออับอายในทันที
เขาคือผู้อาวุโสสูงสุดที่สองอันทรงเกียรติ เป็นตัวตนลี้ลับบรรพกาล ทว่ายามนี้เขากลับเหมือนเด็กถูกดุและไม่กล้าโต้เถียง
“ท่านอา ไฉนท่านจึงอยู่กับ… สหายเต๋าซูหรือขอรับ?”
เย่ตงเหอถามอย่างมึนงง รู้สึกเหมือนสมองถูกแช่แข็ง
เย่ซุ่นกล่าวอย่างเย็นชา “หากข้าผู้นี้จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาทำลายเรื่องใหญ่ระหว่างเจ้ากับเจียงอิ้งหลิ่วเข้า ก็เกรงว่าข้าคงเป็นเยี่ยงเย่เทียนฉวี ถูกมองเป็นหอกข้างแคร่และต้องถูกเจ้ากำจัดประไร! เพราะถึงอย่างไร วิถีเต๋าของข้าก็บาดเจ็บสาหัส อย่างมากก็ไม่ต่างจากผู้ฝึกตนในวิถีวิญญาณ หากเจ้าคิดฆ่าข้าก็ง่ายไม่ใช่หรือ?”
สีหน้าของเย่ตงเหอพลันเปลี่ยนแปร และรีบร้อนกล่าวว่า “ท่านอา ข้าไม่กล้าคิดเช่นนั้นหรอกขอรับ”
เย่ซุ่นมองเย่ตงเหออย่างลึกล้ำ “นั่นเพราะเจ้าพ่ายศึกตกเป็นเชลยไปแล้ว หากวันนี้เจ้าชนะสิ เรื่องจะเปลี่ยนเลย”
วาจาเหล่านี้ทำให้สีหน้าของคนทุกผู้แปรเป็นซับซ้อน
“อย่าเสียเวลา เข้าเรื่องเถอะ”
ไม่ไกลนัก ซูอี้ผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้หวายเริ่มหมดความอดทน
เหตุที่เขาไม่ได้ปล่อยเย่ซุ่นออกมาจนยามนี้ก็เพราะปากของเจ้าเด็กนี่ช่างพล่ามเหลือเกินนี่แล!
เย่ซุ่นพยักหน้ากล่าว “ได้!”
เขากลับไปกล่าวกับเย่ชิงเหอว่า “เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว เจ้าว่าจะจัดการกับความวุ่นวายนี้เช่นไร?”
เย่ชิงเหอสงบใจกล่าว “ขึ้นกับการตัดสินใจของท่านอาเลยขอรับ!”
เย่ซุ่นหันไปถามซูอี้ “นั่นมัน… พี่ขะ… อะแฮ่ม พี่ชายซู อยากพูดอันใดหรือไม่?”
ทันทีที่อ้าปาก เขาก็ลอบโวยวายในใจ เขาเกือบหลุด ‘พี่เขย’ ออกมาตั้งแต่คำแรกเสียแล้ว!
ทว่า แม้เขาจะไม่ได้เรียกอีกฝ่ายเป็นพี่เขย แต่เมื่อเย่ซุ่นถามความเห็นของซูอี้ ผู้คนก็ตกตะลึงอยู่ดี
คนผู้นี้เป็นใคร? ไม่เพียงเถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นจะให้เกียรติเขา กระทั่งบรรพชนเย่ซุ่นก็ยังให้เกียรติเขาหรือ?
ในชั่วขณะนั้น สายตาทุกผู้ที่มองมายังซูอี้แปรเปลี่ยนพิสดารขึ้นทุกที
“เรื่องของเผ่าปีศาจงูของเจ้า ยกให้เจ้าจัดการ”
ซูอี้กล่าวพลางชี้เซี่ยงเถียนจากเผ่าปีศาจไก่ฟ้าโลหิต “ข้ารับปากไว้ชีวิตนางแล้ว ปล่อยนางไปหลังจากนี้ด้วย”
เย่ซุ่นพยักหน้าอย่างยินดี “ได้”
เซี่ยงเถียนที่นอนพังพาบอยู่แสนปรีดา นางคำนับซูอี้อย่างตื่นเต้น “ขอบคุณใต้เท้าที่ยั้งมือ!”
“ส่วนนาง เก็บไว้ก่อน ข้าจะถามไถ่นางทีหลัง”
ซูอี้เหลือบไปทางเจียงอิ้งหลิ่ว
แม้เจียงอิ้งหลิ่วจะเป็นศิษย์ของผีหมัว แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่บอกเรื่องสำคัญอันใดกับนาง และนางก็ไม่อาจรู้ได้ถึงความจริงของหายนะอันเกิดกับถ้ำเสวียนจวินเมื่อห้าร้อยปีก่อน
นอกจากนั้น สตรีผู้นี้ยังเรียกตนเองเป็นศิษย์ของถ้ำเสวียนจวินเสมอ และจุดประสงค์สูงสุดของนางที่ร่วมมือกับเย่ตงเหอในครานี้ก็เพื่อนำดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์กลับเก้ามหาแดนดิน
จุดประสงค์และการวางตัวไม่ยอมก้มหัวให้ผู้ใดของเจียงอิ้งหลิ่วทำให้ซูอี้ยากจะลงมือฆ่านางอย่างไร้เมตตาได้
“ได้เลย”
เย่ซุ่นตอบรับอย่างยินดีอีกครั้ง
เจียงอิ้งหลิ่วเม้มปาก ไม่ยอมพูดจา
“ส่วนเรื่องอื่น ๆ ขึ้นกับเจ้า ข้าจะไปรอข้างนอก”
ซูอี้กล่าวพลางลุกขึ้น เขาเก็บเก้าอี้หวายและเดินออกไปนอกตำหนัก
เพชฌฆาตเฒ่ารีบตามเขาไป
สองร่างเดินลับไปนอกตำหนัก ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าหยุดพวกเขา
สาวน้อยชุดดำอดคิดถึงสิ่งที่ซูอี้กล่าวก่อนหน้านี้ไม่ได้
เขามาที่นี่เพื่อกระทำการสามประการ
ประการแรกคือสงบความวุ่นวายภายในเผ่าปีศาจงู
ประการที่สองคือลงโทษตัวการของความวุ่นวายนี้
แม้ซูอี้จะไม่ได้กล่าวว่าประการที่สามคือสิ่งใด
แต่ยามนี้ สองสิ่งแรกที่เขากล่าวล้วนบรรลุผล!
สิ่งนี้ทำให้เย่รั่วซีตะลึงอึ้ง ใครเล่าจะกล้าเชื่อเรื่องนี้ในกาลก่อน?