บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 888: ความเมตตา
ตอนที่ 888: ความเมตตา
นอกตำหนักบรรพชน
มีคนจากเผ่าปีศาจงูอยู่มากมาย
เมื่อพวกเขาเห็นซูอี้และเพชฌฆาตเฒ่าเดินออกมา ในหมู่คนก็มีเสียงฮือฮา และพวกเขาก็หลบให้พ้นทางโดยไม่รู้ตัว
พวกเขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดในตำหนัก และยังเห็นด้วยว่าบรรพชนเย่ซุ่นปฏิบัติต่อซูอี้อย่างนอบน้อมเพียงไร
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ใครเล่าจะกล้าหยุดพวกเขา?
ถูยงยังคงตะลึงอึ้ง
นับแต่ยามที่เขาขึ้นเรือล่องสำราญหอเมฆามายังเมืองเทียนหยา เขาก็ได้เห็นว่าพลังรบของซูอี้น่าประหวั่นพรั่นพรึงเพียงไร
ทว่าเขาไม่เคยคิดฝันว่าชายหนุ่มผู้นี้จะสยบพายุปราบความวุ่นวายในวันนี้อย่างเฉียบขาดพริบตา!
ยามนี้ เมื่อเขาเห็นซูอี้เดินออกมา ถูยงก็ราวได้พบเทพเซียน!
ข้ารับใช้เฒ่าสิบสามซ่อนในฝูงชนโดยไม่รู้ตน
เขาก้มหัวกำมืออันซุกในแขนเสื้อของตนแน่น หัวใจรู้สึกกระสับกระส่าย
ยามก่อนเมื่อซูอี้เข้าสู่ตำหนักบรรพชน เขาเคยยิ้มเยาะอย่างเย็นชา กล่าวว่านี่ไม่ใช่หอเสียงอวิ๋น และเถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นก็ไม่อาจปกป้องซูอี้ได้อีกต่อไป
ทว่ายามนี้ ไม่เพียงเถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นอยู่ที่นี่ แต่บรรพชนเย่ซุ่นก็ยังเคารพซูอี้อย่างมาก สิบสามจะไม่แปลกใจได้เช่นไร?
และต่อให้เรื่องเหล่านี้ไม่เกิดขึ้น แค่ยามที่ซูอี้บั่นหัวเย่จิงอย่างง่ายดายก็ทำให้สิบสามตระหนักแล้ว ว่าซูอี้ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากเถ้าแก่แห่งหอเสียงอวิ๋นในการฆ่าเขาเลย!
เขาจะไม่มีวันลืมว่าซูอี้เคยกล่าวเมื่อกาลก่อน ว่าจะให้โอกาสตายแก่เขา!
สิบสามไม่อยากตาย และไม่อยากเอาชีวิตตนเองไปทิ้ง
ดังนั้นเขาจึงซ่อนตัวอยู่ลึก ๆ ในฝูงชน หวังให้ตนเองกลายเป็นอากาศธาตุและถูกซูอี้มองข้ามไปเสีย
ทว่าเกินคาด ซูอี้เดินมาทางเขา!
หัวใจของสิบสามร่วงถึงตาตุ่ม มือเท้าเย็นเฉียบ
“วาจาข้ายังมีผล อยากลองหรือไม่?”
ซูอี้ถาม
ร่างของสิบสามแข็งทื่อ เขาก้มหัวกล่าวอย่างขมขื่น “ตาเฒ่าผู้น้อยได้ยินมาว่าดาบแห่งเทพเซียนไม่ตัดร่างมด ตาเฒ่าผู้น้อยมีตาไร้แวว โปรดมองข้าเป็นมดปลวก เชิดคางขึ้นสูงและไว้ชีวิตด้วยเถิด!”
เพชฌฆาตเฒ่ายิ้มเยาะ “เจ้านี่ช่างตาขาวแท้”
ซูอี้เห็นเช่นนั้นก็เบื่อหน่ายทันที เขาชี้ไปทางตำหนักบรรพชน “ไปรับโทษด้วยตนเองแล้วกัน”
“ขอรับ!” สิบสามรีบร้อนตกลง
ซูอี้ไม่คิดจะมองคนผู้นี้อีก เขาใช้มือไพล่หลังเดินผ่านฝูงชนมายังข้างผา
ต้นสนโบราณขจีเขียว หยาดหยดน้ำตกจากลำธารสาดกระเซ็นติดทะเลเมฆา ลมโชยจากหุบผา เมฆาคล้อยเคลื่อนแปรเปลี่ยนใต้ผืนนภา เป็นภาพสวยสดงดงาม
ซูอี้ยืนนิ่ง อาภรณ์สีเขียวและเรือนผมไสวสะบัด รู้สึกสมองและหัวใจปลอดโปร่ง
เทียบกับการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ชี้ผิดชี้ถูกในตำหนักบรรพชนแล้ว ความงามแห่งธรรมชาติบนโลกานั้นดีต่อสายตากว่าเป็นไหน ๆ
เพชฌฆาตเฒ่ายืนเงียบ ๆ อยู่ไม่ไกล และกล่าวว่า “สัตว์ประหลาดเฒ่าซู ไม่คาดเลยว่าวันนี้เจ้าจะใจดีนัก”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “ความเป็นความตายของพวกเขาไม่สำคัญ ข้าแค่ไม่อยากทำให้เย่น้อยเศร้าใจ”
เพชฌฆาตเฒ่าพยักหน้า
เขาก็พอจะเดาสาเหตุได้
หลังจากครุ่นคิดสักพัก เพชฌฆาตเฒ่าก็ถามอีกครั้งว่า “เป้าหมายสูงสุดที่มาเยือนเผ่าปีศาจงูนี่ก็เพื่อรับดาบคืนหรือ?”
ซูอี้ส่งเสียงรับในลำคอ
เหตุผลประการที่สามที่เขามายังเผ่าปีศาจงูวันนี้ นั่นก็เพื่อรับดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์คืน!
“งั้น… หลังจบเรื่องทั้งหมดนี้ เจ้าจะคิดไล่ปีศาจในใจข้าไปได้หรือยัง?”
เพชฌฆาตเฒ่ากระซิบถาม
ซูอี้พยักหน้า “ได้”
เพชฌฆาตเฒ่าพลันผ่อนหายใจโล่งอก เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก
กระทั่งแววตายังแสดงความตื่นเต้นรอคอย
การฝึกฝนของเขาค้างเติ่งที่เดิมมาสามหมื่นหกพันปี หลังจากทนทุกข์แสนนานจนแทบสิ้นหวัง ในที่สุดก็มีหวังให้เลื่อนขอบเขตต่อ
เดาได้เลยว่าอารมณ์ของเขาตื่นเต้นเพียงไร
…
ภายในห้องแห่งหนึ่ง ณ ตำหนักบรรพชน
“เย่ตงเหอ สิ่งใดคือเหตุผลให้เจ้าเลือกร่วมมือกับคนนอกเพื่อเป็นผู้นำเผ่า?”
เย่ซุ่นถาม
นี่ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนในเผ่าปีศาจงูงุนงงเช่นกัน
เย่ตงเหอกล่าวเบา ๆ ด้วยสีหน้ามัวหมอง “ท่านอา ข้ายอมรับผิดแล้ว และยินยอมรับโทษสถานหนักของเผ่าขอรับ”
เย่ซุ่นขมวดคิ้วกล่าว “ข้าถามเจ้าว่าทำไม”
เย่ตงเหอเงียบไป
เจียงอิ้งหลิ่วพลันกล่าวขึ้น “ข้าบอกเจ้าได้”
ทุกคนต่างหันมองนาง
เจียงอิ้งหลิ่วกล่าวขึ้น “เหตุที่ทำไมเย่ตงเหออยากเลือกผู้นำใหม่นั้น ทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อความปลอดภัยของเผ่าปีศาจงูของพวกเจ้า หากจะมีสิ่งใดที่นับได้ว่าเขาเห็นแก่ตัว มันก็แค่การใช้ดาบของบรรพชนข้ามาแลกกับการรับปาก ว่าหากภายหน้าเผ่าปีศาจงูประสบภัย ก็ให้ข้าช่วยแก้ไข”
ทุกคนล้วนตกตะลึง
เย่ซุ่นขมวดคิ้วถาม “จริงหรือ?”
ใบหน้าของเย่ตงเหอเปลี่ยนสี ขณะกระซิบตอบ “เมืองมืดแปรเปลี่ยนอย่างมหันต์ บรรพชนเย่อวี๋ไม่อาจออกมา และผู้อาวุโสใหญ่สูงสุดก็เดินทางไปถามไถ่สถานการณ์ยังเมืองมืด มีเพียงข้าที่อยู่ในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ”
“ยามนี้ ขอเพียงศัตรูจากภายนอกฉวยโอกาสโจมตี เผ่าเราจะตกสู่สถานการณ์อันไม่อาจคาดเดาทันที”
“ในโลกหล้าทุกวันนี้ ทุกคนต่างรู้ว่าปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินสิ้นไปเมื่อห้าร้อยปีก่อน และดาบที่เขาทิ้งไว้ในตระกูลเรา ก็มีเพียงทายาทเขาเท่านั้นที่นำไปได้”
“นั่นคือเหตุที่ข้าเลือกร่วมมือกับสหายเต๋าเจียงอิ้งหลิ่ว และร่วมคิดสร้างสถานการณ์วันนี้ขึ้นมา”
“มีเพียงการเลือกผู้นำใหม่เท่านั้น เราจึงจะสามารถใช้ลัญจกรหยกบรรพชนทั้งสี่เข้าสู่วิหารบรรพชนแดนต้องห้าม และช่วยให้สหายเต๋าเจียงอิ้งหลิ่วนำดาบบรรพชนของนางกลับไปได้”
หลังได้ยินเช่นนี้ เย่จื่อซานและสาวน้อยชุดดำก็อดตะลึงไม่ได้
เย่ซุ่นถาม “แต่เหตุใดเจ้าจึงคิดฆ่าเย่เทียนฉวี?”
เย่ตงเหอรำพึง “ข้ายอมรับว่าข้าปฏิบัติอย่างไม่ถูกต้องกับเย่เทียนฉวี เพราะข้ากำลังรีบร้อนรวบรวมลัญจกรหยกบรรพชน”
สีหน้าของเขาดูซับซ้อน
ทว่าเย่ซุ่นกลับยิ้มเยาะ “บางทีเจตนาของเจ้าอาจจะดี แต่สิ่งที่เจ้าทำน่ารังเกียจเกินไป! หายนะในวันนี้เกิดขึ้นก็เพราะเรื่องโง่ ๆ ที่เจ้าทำ!”
เขากล่าวต่ออย่างโกรธเคืองหลังเงียบไปครู่หนึ่ง “ยิ่งกว่านั้น เจ้าจะรับประกันได้เช่นไรว่าเจียงอิ้งหลิ่วจะไม่ได้โกหกเจ้า? หากนางหลอกขโมยดาบของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินไป เจ้าจะอธิบายต่อพี่สาวข้าเช่นไร?”
เย่ตงเหอไร้วาจา
เจียงอิ้งหลิ่วขมวดคิ้วกล่าว “ข้าคือศิษย์ผู้หนึ่งจากถ้ำเสวียนจวิน เรื่องนี้ทุกคนในโลกหล้าต่างทราบดี การนำดาบบรรพชนข้ากลับเป็นเรื่องถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ไฉนจึงกล่าวว่าเป็นการโกหก?”
เย่ซุ่นเหลือบมองเจียงอิ้งหลิ่วอย่างเย็นชา “เพราะอาจารย์เจ้าคือคนทรยศไง เขาทรยศบรรพชนของเจ้าเมื่อห้าร้อยปีก่อน!”
ทุกผู้ต่างใจสั่นสะท้าน ผีหมัวเป็นศิษย์ทรยศของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินหรือ!?
พวกเขาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน!
เจียงอิ้งหลิ่วหน้าเสีย และกล่าวด้วยโทสะ “อย่าพูดพล่อย ๆ นะ! ตัวตนเช่นอาจารย์ข้าจะทรยศบรรพชนได้เช่นไร?”
เย่ซุ่นโบกมือกล่าว
“ข้าคร้านเกินกว่าจะอธิบายให้เจ้าฟัง”
เขาหันไปกล่าวกับสิบสาม “กักตัวเย่ตงเหอไปก่อน เมื่อพี่สาวข้ากลับมา นางจะปล่อยเขาเอง”
สิบสามพยักหน้า
ต่อมา เย่ซุ่นก็ออกคำสั่งเป็นชุด
ทว่าสิบสามไม่กล้าเมินเฉย เขาตามคำสั่งเหล่านั้นอย่างเชื่อฟัง
เย่ตงเหอถูกกักตัว
เซี่ยงเถียนได้รับอภัยและรีบร้อนจากไป
เจียงอิ้งหลิ่วถูกกักตัวรอให้ซูอี้มาไถ่ถาม
สิบสามเสนอตนรับโทษ และถูกโยนลงสู่คุกใต้ดินเผ่าปีศาจงู
เย่เทียนฉวีผู้ซึ่งถูกขังถูกปล่อยตัว
และเหล่าแขกผู้ได้รับเชิญมาครานี้ต่างแยกย้ายกลับ
…กล่าวสั้น ๆ ก็คือ พายุในเผ่าปีศาจงูจบลง ณ วันนั้น
ทว่ายังคงมีความสับสนใหญ่หลวงข้อหนึ่งในใจของชาวเผ่าปีศาจงูทุกผู้…
ชายหนุ่มชุดเขียวนามซูอี้ผู้นั้นเป็นใครกัน?
…
ในอารามโบราณบนยอดเขา
เจียงอิ้งหลิ่วยืนก้มหน้า สีหน้ามืดหมอง
ในตำหนักแห่งนี้ มีเพียงนางและซูอี้
ซูอี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ มือถือไหสุราและดูกำลังคิดถึงเรื่องบางอย่างในใจ ไม่พูดจาอยู่เนิ่นนาน
ท้ายที่สุด เจียงอิ้งหลิ่วก็ทนบรรยากาศอึมครึมไม่ได้ “จะฆ่าก็ฆ่า ลงมือสิ!”
นางรู้สึกราวนักโทษรอคำไต่สวน สีหน้าของหญิงสาวดูไม่สบายใจเท่าไร
ซูอี้ชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง และหันไปกล่าวกับหญิงงามชุดแดงผู้นี้ว่า “ช่างเถอะ เจ้าไปได้”
เจียงอิ้งหลิ่วตะลึงและแทบไม่เชื่อหู
ครู่ต่อมา นางก็กล่าวว่า “ต่อให้เจ้าปล่อยข้าไป ข้าก็ยังไม่ทิ้งแผนนำดาบของบรรพชนข้าไปจากเผ่าปีศาจงูหรอกนะ! บางทีข้าอาจทำมันในยามนี้ไม่ได้ แต่ภายหน้าต้องได้แน่!”
ดวงตาของนางดื้อรั้นมุ่งมั่น
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “เจ้าไร้โอกาสแล้ว สิ่งที่สามที่ทำให้ข้ามายังเผ่าปีศาจงูนี้ก็เพื่อนำดาบนี้ไป”
ร่างของเจียงอิ้งหลิ่วชะงักค้างไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงกัดฟันพูด “ต่อให้เจ้าได้ดาบของบรรพชนข้าไป ข้าก็จะไปรับมันคืนในภายหน้า!”
ซูอี้แค่นเสียงหึ กล่าวอย่างไม่คิดมาก “นั่นเป็นเรื่องในอนาคต ไปเสียก่อนข้าเปลี่ยนใจเถอะ”
เจียงอิ้งหลิ่วตะลึง และถามอย่างไม่แน่ใจ “เจ้า… ไม่คิดฆ่าข้าจริง ๆ หรือ?”
นางรู้สึกว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าช่างแปลกนัก ไม่เพียงมีที่มาประหลาด แต่ยังเข้าใจยาก ราวกับถูกหมอกหนาบดบังไม่อาจมองทะลุได้
ซูอี้โบกมือกล่าว “ไม่ล่ะ”
ใบหน้างามของเจียงอิ้งหลิ่วเปลี่ยนแปรไปชั่วขณะ จากนั้นจึงสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวว่า “ภายหน้าถ้าเจ้าตกสู่มือข้า ข้าจะมอบโอกาสละเว้นเจ้าให้เช่นกัน”
จากนั้นนางก็หันหลังเดินจากไป
เจียงอิ้งหลิ่วไม่ตระหนักเลยว่าอีกฝ่ายปล่อยนางไปจริง ๆ จนกระทั่งเมื่อนางออกจากยอดเขาแท่นบัวและแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดมาหยุดนาง
ทว่าเจียงอิ้งหลิ่วก็ยังงุนงง เหตุใดชายผู้นั้นจึงปล่อยนางไป?
เขาซ่อนอันใดไว้?
‘ดูเหมือนข้าต้องหาเวลากลับไปพบท่านอาจารย์ที่เก้ามหาแดนดินเสียแล้ว…’
เจียงอิ้งหลิ่วพึมพำในใจอยู่นาน
…
ในตำหนักบนยอดเขาแท่นบัว
“สัตว์ประหลาดเฒ่าซู เจ้าคิดจะให้เจียงอิ้งหลิ่วส่งข้อความล่อผีหมัวมายังภูมิมืดมิดหรือ?”
เพชฌฆาตเฒ่าปรากฏกายเงียบเชียบ
“เขาไม่มาหรอก”
ซูอี้กล่าวอย่างเฉยเมย “แต่เขาจะต้องสงสัยเรื่องนี้เป็นแน่ แค่นั้นก็พอแล้ว ข้าจะรอดูว่าเขาจะทำเช่นไร”
เพชฌฆาตเฒ่ากล่าวอย่างงุนงง “ไฉนผีหมัวจึงไม่มา?”
ซูอี้กล่าว “หากเขาจากเก้ามหาแดนดินไป ขุมกำลังภายใต้พันธมิตรเสวียนจวินจะถูกศิษย์เล็กของข้าโจมตีแน่นอน ดังนั้นเขาจึงไม่กล้ารับความเสี่ยง”
เขาเคยบอกคำตอบนี้กับชุยฉางอันแล้ว
แววตาของเพชฌฆาตเฒ่าพลันแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง “เจ้าคงอารมณ์เสียน่าดูยามศิษย์เจ้ารบกันเอง ใช่หรือไม่?”
ซูอี้เหลือบมองเพชฌฆาตเฒ่า “มีความสุขยามข้าทุกข์ใจหรือ?”
เพชฌฆาตเฒ่ารีบส่ายหัว “ข้าไม่กล้า!”
ยามนี้เอง เย่ซุ่นก็เดินเข้ามาในตำหนักด้วยรอยยิ้ม “พี่เขย ลัญจกรหยกบรรพชนสามชิ้นที่เหลืออยู่ในมือข้าแล้ว”