บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 89 หัวใจเต้นรัว คิ้วขมวดมุ่น
ตอนที่ 89 : หัวใจเต้นรัว คิ้วขมวดมุ่น
ใบหน้าของชายหนุ่มชุดคลุมม่วงสง่างาม
เปี่ยมไปด้วยความตกใจ สับสน ละอายใจ อับอาย และแปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา
เพียงดวงตาสองที่มองดูซูอี้อยู่แบบนั้น คล้ายกับต้องการพูดบางสิ่ง แต่ดูเหมือนยากเข็ญเกินไป
การถูกจ้องมองทำให้ซูอี้รู้สึกไม่สบายใจ เขาขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ “หากต้องการขอโทษ นั่นไม่จำเป็น สิ่งที่ควรทำตอนนี้คือค้นหาว่าผู้ใดคิดลอบสังหารและคนผู้นั้นได้รับมอบหมายจากใคร ข้าหวังว่าเจ้าจะหาคำตอบเหล่านั้นเจอและนำมาแจ้งข้าได้ก่อนที่เราจะไปถึงมหานครอวิ๋นเหอ!”
ชายหนุ่มชุดคลุมม่วงรีบกล่าวตอบ “ท…ท่านอย่าได้กังวล ข้าจะรีบจัดการให้เรียบร้อย!”
ถ้อยคำพูดคุยกับซูอี้แปรเปลี่ยนเป็นให้เกียรติ
“นอกจากนี้ แม้ตัวข้าจะไม่ใส่ใจว่าจะถูกพัวพัน แต่ผู้อื่นไม่เป็นเช่นเหมือนข้า เรื่องราวคืนนี้มีผู้เกี่ยวข้องมากมาย หวังว่าเจ้าจะสามารถจัดการได้ไม่ทำให้ผู้อื่นต้องเดือดร้อนตามมา” ซูอี้กล่าวออกท่าทีสงบ
ชายหนุ่มชุดม่วงสูดหายใจเข้าลึก ถ้อยคำมั่นใจกล่าวออกพร้อมสีหน้าหนักแน่น “แน่นอนอยู่แล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะตัวข้า เช่นนั้นจะไม่ปล่อยให้ต้องกระทบกระเทือนแก่ผู้บริสุทธิ์อีก”
หยวนลั่วซีที่อยู่ด้านข้างรับชมฉากนี้ หัวใจนางสั่นไหวเล็กน้อย ความอบอุ่นอย่างสุดจะพรรณนาเอ่อล้น นางมองซูอี้อย่างนึกขอบคุณ
นางไม่คาดคิดว่า ตัวตนเยี่ยงเทพเซียนเช่นซูอี้จะมีจิตใจแสนละเอียดอ่อน เป็นห่วงผู้คนรอบข้างอย่างทั่วถึง
ซูอี้ไม่พูดสิ่งใดอีก เพียงหลับตาและเอนกายอิงพนักพิงพักผ่อน
สาเหตุที่ก่อนหน้านี้เขาต้องการจะจากไปโดยเร็วที่สุด เป็นเพราะไม่ต้องการเข้ามาพัวพันกับปัญหานี้
แต่ตอนนี้เรื่องราวได้เกิดขึ้นไปแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่ต้องจัดการกับมัน
ท้ายที่สุด กลุ่มที่กล้าลอบสังหารองค์ชายแห่งต้าโจว ครั้งทราบถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนนี้ คงคิดแก้แค้นอย่างบ้าคลั่ง
แม้ซูอี้จะไม่ได้ใส่ใจต่อการถูกล้างแค้น แต่หยวนลั่วซีและหวงเฉียนจวินอยู่ที่นี่ด้วย ตระกูลหยวน และตระกูลหวงคงจะไม่พ้นตกเป็นเป้าหากองค์ชายหกผู้นี้จัดการเรื่องไม่ดีพอ
ซูอี้หวนนึกบางอย่างได้ทันใด จึงพูดขึ้นกับหวงเฉียนจวินที่อยู่ไม่ไกล “อีกอย่าง ไปตรวจสอบร่างศพของบุคคลนี้ ดูว่าสามารถหาเบาะแสใดได้หรือไม่”
หวงเฉียนจวินเร่งรีบออกไปจัดการ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาเดินกลับเข้ามาพร้อมง้าวสั้นสีดำ กล่าวออกด้วยสีหน้างุนงง “เป็นถึงปรมาจารย์วีถียุทธ์ ร่างกายกลับไร้สิ่งอื่นใดนอกจากอาวุธนี้”
ซูอี้รับง้าวสั้นสีดำมาไว้ในมือ จ้องมองอย่างพิจารณาพลางกล่าว “บุรุษนี้เตรียมตัวตายไว้แล้ว เหตุผลที่ความแข็งแกร่งพุ่งทะยานก่อนหน้า เพราะต้องแลกด้วยชีวิต เพื่อใช้วิชาลับทำลายตน”
หวงเฉียนจวินตอบรับ “ไม่น่าแปลกใจ”
“แม้ง้าวสั้นนี้จะไม่ได้ทำขึ้นอย่างประณีต แต่วัสดุนั้นไม่เลว มันทำจาก ‘เหล็กหนืดลึกล้ำ’ ผสมกับวัตถุวิญญาณมากกว่าสิบชนิด เช่น ผงเงินแสงหยก เมื่อนำมาหลอมเหลว มันสามารถใช้เป็นวัตถุดิบในการหลอมศาสตราวิญญาณได้”
หลังจากสำรวจดูอีกครู่หนึ่ง ซูอี้ยกมือวางทาบง้าวสั้นสั่งมันเก็บลงในจี้หยก โดยตั้งใจว่าจะหลอมแยกวัสดุออกจากง้าวชิ้นนี้เมื่อไปถึงมหานครอวิ๋นเหอ
ดาบสุดแดนดินในมือเขาเป็นดาบในระดับที่อยู่กึ่งกลางระหว่างศาสตราธรรมดาและศาสตราวิญญาณ แม้จะนับว่าไม่เลว แต่พลังของมันก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตัวเขา
เมื่อการบ่มเพาะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตที่สองของวิถียุทธ์ ขอบเขตรวบรวมลมปราณ ดาบเล่มนี้จะไม่สามารถทานทนต่อพลังที่เขาจะปลดปล่อยออกได้
ดังนั้น ซูอี้จึงเริ่มวางแผนรวบรวมวัตถุวิญญาณเพื่อใช้หลอมดาบเล่มใหม่แก่ตัวเอง
“เสียงเริ่มสงบแล้ว ปัญหาน่าจะเริ่มคลี่คลาย พวกเจ้าจะกลับศาลาหรืออยู่ที่นี่ต่อ?”
ซูอี้ลุกขึ้นและหันมองหยวนลั่วซีและหวงเฉียนจวิน
“ออกไปพร้อมท่าน” ทั้งสองกล่าวออกอย่างไม่ลังเล
ซูอี้พยักหน้า ครั้งเดินผ่านชายหนุ่มชุดคลุมม่วง เขาหยุดเดินและกล่าวออก “เจ้าอยากฟังข้อเสนอแนะอื่นจากข้าหรือไม่?”
ชายหนุ่มชุดคลุมม่วงรีบประสานมือกล่าว “โปรดเมตตาชี้แนะข้าด้วย”
ในเวลานี้ เขาได้แก้ไขความคิดของตนเองแล้ว และไม่กล้าปฏิบัติต่อซูอี้เยี่ยงคนธรรมดาอีกต่อไป
ซูอี้เอ่ยขึ้นท่าทีสบาย “เมื่อลูกน้องของเจ้ามาถึง ให้พากันตรงกลับที่พักโดยเร็วที่สุด ก่อนถึงมหานครอวิ๋นเหอ อย่าพบเจอสตรีนามว่าฉาจิ่นอีก”
ชายหนุ่มชุดคลุมม่วงรู้สึกอับอายอยู่ครู่หนึ่ง โดยคิดว่าซูอี้กำลังบอกตนเองว่าอย่างวิ่งวนไปทั่ว เพื่อไม่ให้เกิดเหตุฆาตกรรมขึ้นอีก
ซูอี้มองผ่านความคิดอีกฝ่ายทันใด ถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ “เจ้าคิดมากไป หากข้าเดาถูก นางคงมีแรงจูงใจอื่นซ่อนเร้น”
แรงจูงใจซ่อนเร้น!!
ชายหนุ่มชุดคลุมม่วงแข็งค้างไปทั้งกาย ปรากฏความสงสัยมากมายขึ้นในใจ
แต่ก่อนจะได้ไถ่ถามเพิ่มเติม ซูอี้เดินจากไปพร้อมกับหยวนลั่วซีและหวงเฉียนจวินแล้ว
“บอกอาหญิงชิงจินของเจ้า อย่าลืมสิ่งที่นางสัญญาคืนนี้”
บริเวณทางลงบันได เสียงของซูอี้ดังขึ้นอีกครั้ง
ชายหนุ่มชุดคลุมม่วงตกตะลึงครู่หนึ่ง ก่อนสูญเสียจิตวิญญาณทันที ชายผู้นี้… คงไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจังกับคำพูดของท่านอาชิงจินหรอกใช่ไหม?
หลังลงบันได พบเห็นร่องรอยการต่อสู้ทุกหนแห่ง คราบเลือดสาดกระเซ็นทั่วผนัง พร้อมซากศพกลาดเกลื่อนเต็มพื้น
อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่เป็นซากศพของสัตว์ปีศาจ พวกมันมีรูปร่างแปลกประหลาดและขนาดแตกต่างกันไป
ระหว่างทาง หวงเฉียนจวินรับชมออย่างสนอกสนใจ
ขณะที่ซูอี้เมินเฉย
สัตว์ปีศาจเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในระดับหนึ่งและระดับสอง แลเห็นระดับสามประปราย ซึ่งแข็งแกร่งเทียบเทียมกับผู้บ่มเพาะขอบเขตโคจรโลหิตขั้นสมบูรณ์
พวกมันไม่ได้อยู่ในสายตาซูอี้เลย!
กระทั่งมาถึงศาลาหมายเลขเก้าที่เขาอาศัย ซูอี้เดินตรงขึ้นชั้นสองกลับเข้าห้องทันที
พลังวิญญาณถูกใช้จนเกือบหมด และวันนี้ก็ยังไม่ได้บ่มเพาะ เขาจะเสียเวลาไม่ได้
ความอุตสาหะ เป็นสิ่งจำเป็นที่สุดของชีวิตใหม่ในชาตินี้
ด้วยปกติวิสัยของซูอี้ เว้นแต่เขาจะเข้าไปพัวพันบางสิ่งซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยง เขาจะไม่มีวันหย่อนยานการฝึกฝนประจำวันของตัวเอง
โดยสรุปแล้ว โลกนี้เขาอาจไม่สนใจทุกสิ่งได้ ยกเว้นแต่เรื่องการฝึกฝน เขามุ่งมั่นทุ่มเททุกสิ่งอย่างเพื่อก้าวให้ไกลกว่าชาติก่อนที่ตัวเขาเคยสำเร็จมา
เวลาล่วงเลยผ่านไป
กระทั่งช่วงดึก การต่อสู้บนเรือโดยสารก็สงบลงในที่สุด
ในการต่อสู้ครั้งนี้ จางอี้เหรินได้รับบาดเจ็บ ยอดฝีมือสามสิบเจ็ดคนภายใต้คำสั่งของเขาพ่ายแพ้สิบเอ็ดคน ส่วนคนอื่นได้รับบาดเจ็บไม่มากก็น้อย
จากสัตว์ปีศาจแปดร้อยตัวบนเรือ มากกว่าหนึ่งร้อยตัวถูกฆ่าตาย บางตัวฉวยโอกาสจากความโกลาหลหลบหนีลงแม่น้ำต้าฉาง
ในที่สุด ก็เหลือมากกว่าห้าร้อยตัวภายในกรงอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน กลุ่มชายวัยกลางคนที่พยายามลอบสังหารองค์ชายแห่งต้าโจว ได้ถูกสังหารห้าคนในที่เกิดเหตุ สามคนถูกจับเป็น และอีกหกคนกระโดดลงแม่น้ำต้าฉางเพื่อหลบหนี
กระทั่งการสู้ทั้งหมดสิ้นสุดลง จางอี้เหรินค้นพบสาเหตุที่เรือโดยสารสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงในคืนนี้ นั่นเป็นเพราะมันชนกับโซ่ที่ขวางกั้นแม่น้ำต้าฉาง
โซ่เหล่านี้ทอดยาวข้ามสองฟากของแม่น้ำต้าฉาง ซึ่งมีนับสิบเส้น แต่ละเส้นหนาเท่าตอไม้ และมันจมอยู่ใต้ผิวน้ำ จึงทำให้มองเห็นได้ยาก
สิ่งเหล่านี้ทำให้จางอี้เหรินคาดเดาว่า การจู่โจมของศัตรูถูกเตรียมการไว้อย่างดี!
มิฉะนั้น มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างสิ่งกีดขวางในแม่น้ำอย่างโซ่ยักษ์ในระยะเวลาอันสั้นได้
โชคดีที่เรือโดยสารไม่ได้รับความเสียหายร้ายแรง ไม่เช่นนั้น เมื่อเรือจมลงไป การสูญเสียอาจมากมายเหลือคณานับ
ศาลาหมายเลขหนึ่ง
ภายใต้แสงเทียน ใบหน้าซีดและงดงามของชิงจินปรากฏรัศมีเลือนราง ผมหางม้าที่มัดไว้ถูกสยาย ทั้งยังเผยร่องรอยความเหนื่อยล้าภายใต้ลมหายใจอันเฉื่อยชา
นางกลืนโอสถหลายเม็ดและกำลังนั่งสมาธิเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ
ไม่ไกลนัก ชายหนุ่มชุดคลุมม่วงกำลังฟังรายงานจากองครักษ์จางตั้ว ท่าทีของเขาพลันแปรเปลี่ยน
เนิ่นนาน นัยน์ตาเป็นประกายแสงเย็น ถ้อยคำเย็นชากล่าวออก “ห้ามปล่อยให้ผู้ลอบสังหารที่จับเป็นทั้งสามตายเด็ดขาด แม้พวกมันจะร้องขอเงินหรือขอไว้ชีวิต เราต้องง้างปากค้นหาให้ได้ว่าถูกใครจ้างมา!”
จางตั้วกล่าวตอบเคร่งขรึม “ขอรับ!”
“นอกจากนี้ ให้หลี่โม่ลอบไปตรวจสอบคณิกาฉาจิ่นแห่งตึกบุปผาหอม อย่าให้นางรู้ตัว ทุกสิ่งอย่างต้องทำอย่างลับ ๆ”
ชายหนุ่มชุดคลุมม่วงออกคำสั่ง
แม้ว่าจางตั้วจะงุนงงเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้ารับ
หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง ชายหนุ่มชุดคลุมม่วงกล่าวเสริม “แล้วก็ เตรียมของขวัญที่ดูใจกว้างไว้ด้วย ข้าจะไปเยี่ยมซูอี้ที่ศาลาหมายเลขเก้าตอนเช้าวันพรุ่งนี้”
จางตั้วกล่าวตอบอย่างเห็นด้วย “คราวนี้คุณชายซูไม่เพียงช่วยชีวิตของผู้น้อย แต่ยังช่วยชีวิตขององค์ชายเอาไว้ด้วย ดังนั้นเขาควรแก่รางวัลแท้จริง”
ชายหนุ่มชุดคลุมม่วงโบกมือพูด “ไปเถอะ”
จางตั้วหันกลับและเดินออกไป
ชายหนุ่มชุดคลุมม่วงถอนหายใจยาว นั่งลงด้วยสีหน้าอ่อนล้า
ประสบการณ์น่าหวาดกลัวที่ประสบพบเจอในคืนนี้ ทำให้เขาเคร่งเครียดตลอดเวลา ดังนั้นตอนนี้เมื่อเขาเริ่มรู้สึกผ่อนคลายจึงอ่อนแรงอย่างช่วยไม่ได้
ทว่า เมื่อหวนนึกถึงตัวเขาที่เกือบได้รับบาดเจ็บ ความเดือดดาลปะทุขึ้นในใจอย่างไม่อาจควบคุม ดวงตาทั้งสองเผยสีหมองหม่น
“กำลังรู้สึกคลางแคลงใจอยู่งั้นหรือ?”
ทันใดนั้น เสียงอันมีเอกลักษณ์น่าดึงดูดใจดังขึ้น
ชายหนุ่มชุดคลุมม่วงตกใจ เมื่อเห็นชิงจินที่กำลังนั่งสมาธิ ลืมตาขึ้นและมองมายังตน
“ถูกแล้ว”
ชายหนุ่มชุดคลุมม่วงพยักหน้า กล่าวตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “มีเพียงพี่สามเท่านั้นที่รู้การเคลื่อนไหวของข้า จึงนึกสงสัยว่า แม้เขาจะไม่ใช่ฆาตกร แต่ข่าวคราวน่าจะรั่วไหลออกมาจากเขา”
“ความสัมพันธ์ของเจ้ากับองค์ชายสามนั้นดีมาตลอดไม่ใช่หรือ?”
ชิงจินรู้สึกงุนงงเล็กน้อย
ชายหนุ่มชุดคลุมม่วงถอนหายใจ “พวกเราทุกคนต่างก็เป็นบุตรของเสด็จพ่อ เป็นพี่น้องร่วมสายเลือด แต่เราเกิดในครอบครัวของจักรพรรดิ พี่น้องทุกคนมีคุณสมบัติที่จะสืบทอดบัลลังก์ จึงกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุดของกันและกัน”
กล่าวถึงเรื่องนี้ เขาส่ายศีรษะ ไร้ความสนใจจะพูดถึงอีกต่อไป
“การต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจทางโลก สุดท้ายจะเลือนหายไปดั่งควัน น่าเสียดาย ที่เจ้าไม่อาจมองผ่านมันได้”
น้ำเสียงชิงจินประชดประชัน “ข้าต้องบอกกล่าวไว้ก่อน เมื่อเรื่องราวนี้สิ้นสุดลง ข้าจะเดินทางกลับไปยังสำนักทันที”
ชายหนุ่มชุดคลุมม่วงตะลึงครู่หนึ่ง รอยยิ้มขมขื่นเผยออก “ข้ามักมีลางสังหรณ์เสมอว่า ด้วยบุคลิกอารมณ์อันลึกล้ำของท่านอา จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่อยู่ช่วยเหลือข้าตลอดไป แต่ไม่คาดคิดว่าจะรวดเร็วเพียงนี้”
ชิงจินกล่าวถ้อยท่าทีสงบ “ข้าคือผู้บ่มเพาะแสวงหาเส้นทางบรรลุเต๋า จะให้สนใจเรื่องราวทางโลกได้อย่างไร เจ้าไม่ต้องแสร้งทำตัวน่าสงสาร ด้วยตัวตนของเจ้า มันเป็นเรื่องง่ายดายที่จะรวบรวมยอดฝีมือมาเพื่อรับใช้”
แลเห็นถ้อยคำอันเด็ดขาด ชายชุดคลุมม่วงจึงละทิ้งความคิดและไม่พูดสิ่งใดอีก
แต่ทันใดนั้น เขาหวนนึกถึงบางอย่างได้ กล่าวออกด้วยท่าทีแปลกประหลาด “ท่านอา ข้ามีอีกอย่างที่ต้องกล่าว”
“มีอะไร?”
“ซูอี้ฝากข้าบอกว่า อย่าลืมคำสัญญาของคืนนี้”
รับฟังเช่นนั้น ชิงจินตกตะลึงในคราแรก จากนั้นดวงตาคมหรี่เล็กลง ใบหน้างามชะงักงันเล็กน้อย ความรู้สึกอึดอัดเปี่ยมล้นอยู่ชั่วขณะ ก่อนกลายเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้ในใจ
ชายผู้นั้น…
คิดอยากเอาเปรียบข้างั้นหรือ?
ภายใต้แสงเทียนเรืองรอง หัวใจของสตรีผู้เลอโฉมเต้นรัว คิ้วคมขมวดเข้าหากัน