บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 891: ข้อเรียกร้อง
ตอนที่ 891: ข้อเรียกร้อง
ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์
‘วัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์’ คือสิ่งที่บรรจุด้วยที่มาแห่งวิถีและจังหวะวิถีแต่กำเนิด ซึ่งลึกล้ำยากคะเน
ยกตัวอย่างเช่น ‘ต้นปฐวีร่ายรำ’ ซึ่งปลูกอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ ‘แดนบูรพาน้อย’ ในเก้ามหาแดนดินก็เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์
พฤกษานี้ ‘เต็มไปด้วยตราวิถี หนึ่งใบไม้หนึ่งโพธิสัตว์’ เป็นที่รู้จักในนามพฤกษาศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งในวิถีพุทธ และอยู่ในอันดับเจ็ดของ ‘ทำเนียบวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์มหาแดนดิน’!
หากสืบสาวกลับไปที่ต้นตอ แท้จริงแล้ววัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ก็แปรร่างจากเมล็ดพันธุ์โดยกำเนิด ซึ่งก่อเกิดจากที่มาแห่งโลก แม้จะสามารถหาพบได้ แต่มิอาจไขว่คว้ามา
เมล็ดพันธุ์โดยกำเนิด นอกจากจะสามารถก่อกำเนิดวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์เยี่ยง ‘ต้นปฐวีร่ายรำ’ แล้ว ยังสามารถใช้สร้างสมบัติศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ได้
สิ่งที่เลื่องชื่อที่สุดในมหาแดนดินก็คือ ‘ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์’ ในอดีตชาติของซูอี้นั่นเอง
เดิมที ดาบเล่มนี้เคยเป็น ‘เมล็ดพันธุ์โดยกำเนิด’ หลังจากซูอี้ขัดเกลามันด้วยเคล็ดวิชาและวัตถุดิบมากมาย มันก็ค่อย ๆ หยั่งรากผลิดอก และในที่สุดก็กลายเป็นเถาน้ำเต้า
มันผลิดอกทุกสามพันปี ออกผลทุกสามพันปี และก่อเกิดเป็นน้ำเต้าเขียว
ปราณต้นกำเนิดแทรกซึมเข้าไปในน้ำเต้า และที่มาแห่งวิถีของมันก็ควบรวมเป็นดาบวิถีขนาดสามชุ่น งดงามดุจนภากว้าง สอดประสานกลมเกลียวกับมหาวิถีของซูอี้อย่างเป็นธรรมชาติ
ดังนั้นซูอี้จึงตั้งชื่อมันว่า ‘ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์’
ซูอี้ยังจำได้ดี ว่าเพื่อบ่มเพาะดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ในน้ำเต้าเขียว เขาได้สะสมสมบัติต่าง ๆ ทั่วหล้าฟ้าดิน ใช้เวลาและความพยายามมากมาย จนสุดท้ายก็รอมาจนถึงยามผลิดอกออกผล
“สหายเต๋า ด้วยระดับฝึกฝนปัจจุบันของเจ้า คงยากจะควบคุมสมบัติชิ้นนี้ได้ใช่หรือไม่?”
โยวเสวี่ยถาม
ซูอี้พยักหน้า “ถูกต้อง”
ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่อาจใช้พลังของดาบนี้ได้ ณ ยามนี้ ต่อให้เขาก้าวสู่ขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ อย่างมากเขาก็ใช้ได้เพียงพลังกึ่งหนึ่งของมันเท่านั้น
“น่าเสียดาย หากเจ้ามอบโอกาสให้ดาบนี้เกิดจิตวิญญาณ ด้วยอำนาจของมัน เจ้าก็จะสามารถให้สมบัตินี้ติดตามคุ้มกันเจ้าได้แล้วแท้ ๆ”
มันผลิดอกทุกสามพันปี ออกผลทุกสามพันปี และก่อเกิดเป็นน้ำเต้าเขียว
ปราณต้นกำเนิดแทรกซึมเข้าไปในน้ำเต้า และที่มาแห่งวิถีของมันก็ควบรวมเป็นดาบวิถีขนาดสามชุ่น งดงามดุจนภากว้าง สอดประสานกลมเกลียวกับมหาวิถีของซูอี้อย่างเป็นธรรมชาติ
ดังนั้นซูอี้จึงตั้งชื่อมันว่า ‘ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์’
ซูอี้ยังจำได้ดี ว่าเพื่อบ่มเพาะดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ในน้ำเต้าเขียว เขาได้สะสมสมบัติต่าง ๆ ทั่วหล้าฟ้าดิน ใช้เวลาและความพยายามมากมาย จนสุดท้ายก็รอมาจนถึงยามผลิดอกออกผล
“สหายเต๋า ด้วยระดับฝึกฝนปัจจุบันของเจ้า คงยากจะควบคุมสมบัติชิ้นนี้ได้ใช่หรือไม่?”
โยวเสวี่ยถาม
ซูอี้พยักหน้า “ถูกต้อง”
ดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์ ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่อาจใช้พลังของดาบนี้ได้ ณ ยามนี้ ต่อให้เขาก้าวสู่ขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำ อย่างมากเขาก็ใช้ได้เพียงพลังกึ่งหนึ่งของมันเท่านั้น
“น่าเสียดาย หากเจ้ามอบโอกาสให้ดาบนี้เกิดจิตวิญญาณ ด้วยอำนาจของมัน เจ้าก็จะสามารถให้สมบัตินี้ติดตามคุ้มกันเจ้าได้แล้วแท้ ๆ”
ชายหนุ่มแย้มยิ้ม และกล่าวกับโยวเสวี่ยว่า “เจ้าอยากลองหรือไม่?”
นี่คือ ‘การอำพรางตน’
ในสายตานาง ซูอี้ซึ่งอยู่เพียงขอบเขตวงล้อวิญญาณในเวลานี้ดูอ่อนแอเกินไป
เนตรลึกล้ำพร่างพรายของโยวเสวี่ยแสดงท่าทีอยากลองประชัน
“แน่ใจหรือ?”
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายเจ้า”
ชายหนุ่มสุขุมผ่อนคลาย เสสรวลเฮฮา ไม่เพียงไร้ความกลัว แต่กลับดูเย่อหยิ่งจากภายใน
และโยวเสวี่ยก็เคยเห็นมันมาก่อน
นี่ทำให้นางไม่กล้าดูแคลนแม้จะเผชิญกับร่างเวียนวัฏสงสารของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน
สิ่งนี้ทำให้โยวเสวี่ยลังเล และสุดท้ายก็ส่ายหน้า “ช่างมันเถิด แม้เจ้าซูเสวียนจวินจะเวียนวัฏสงสารมาใหม่ แต่เจ้าต้องมีไพ่ตายในมือมากพอจะเป็นภัยต่อข้าแน่ ดังนั้นข้าไม่ยอมถูกหลอกหรอก”
หลังครุ่นคิดสักพัก นางก็เอ่ยเตือน “ทว่า เหมือนที่ข้ากล่าวก่อนหน้านี้ ในเมื่อเจ้าถือดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ติดตัว หากผู้ใดเห็นเข้าอาจสร้างปัญหาอันไม่จำเป็น เจ้าน่าจะรู้ดีกว่าข้านะ”
เนตรลึกล้ำพร่างพรายของโยวเสวี่ยแสดงท่าทีอยากลองประชัน
ซูอี้กล่าวยิ้ม ๆ “ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายเจ้า”
ชายหนุ่มสุขุมผ่อนคลาย เสสรวลเฮฮา ไม่เพียงไร้ความกลัว แต่กลับดูเย่อหยิ่งจากภายใน
สิ่งนี้ทำให้โยวเสวี่ยลังเล และสุดท้ายก็ส่ายหน้า “ช่างมันเถิด แม้เจ้าซูเสวียนจวินจะเวียนวัฏสงสารมาใหม่ แต่เจ้าต้องมีไพ่ตายในมือมากพอจะเป็นภัยต่อข้าแน่ ดังนั้นข้าไม่ยอมถูกหลอกหรอก”
มีเพียงผู้ที่เคยเห็นความแข็งแกร่งของซูเสวียนจวินมาแล้วเท่านั้นจึงเข้าใจลึกซึ้งว่าปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินผู้ใช้หนึ่งดาบกำราบสวรรค์สยบยุคสมัยน่าหวาดหวั่นเพียงไร
และโยวเสวี่ยก็เคยเห็นมันมาก่อน
นี่ทำให้นางไม่กล้าดูแคลนแม้จะเผชิญกับร่างเวียนวัฏสงสารของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน
หลังครุ่นคิดสักพัก นางก็เอ่ยเตือน “ทว่า เหมือนที่ข้ากล่าวก่อนหน้านี้ ในเมื่อเจ้าถือดาบสามชุ่นสะบั้นใจสวรรค์ติดตัว หากผู้ใดเห็นเข้าอาจสร้างปัญหาอันไม่จำเป็น เจ้าน่าจะรู้ดีกว่าข้านะ”
ซูอี้ตบน้ำเต้าเขียวสามชุ่นข้างเอวตน จากนั้นจึงกล่าวว่า “ผู้ที่จำดาบนี้ได้ย่อมต้องชั่งใจว่าจะสามารถทนรับพลังดาบนี้ได้หรือไม่”
โยวเสวี่ยตะลึงอึ้ง ก่อนจะรำพัน “ข้าคิดว่าหลังเวียนวัฏสงสารมาฝึกฝนใหม่ และระดับฝึกฝนอ่อนด้อย นิสัยของเจ้าจะสงบเสงี่ยมกว่านี้เสียอีก แต่ยามนี้ดูเหมือนจะไม่ต่างจากเดิมเลย”
ซูอี้ยิ้ม “หากเปลี่ยนนิสัย ข้าก็จะไม่ใช่ข้าอีกน่ะสิ”
โยวเสวี่ยครุ่นคิด แล้วจึงพยักหน้า
“จะว่าไป ช่วยข้าอย่างหนึ่งสิ”
ซูอี้กล่าวอย่างเพิ่งนึกได้ “เพชฌฆาตเฒ่าผู้รออยู่ที่นอกสวนถูกมารในใจครอบงำ เท่าที่ข้ารู้ อำนาจของโคมสงบวิญญาณเทียนหยาเพียงพอแล้วที่จะชำระล้างจิตใจผู้ฝึกตนและขับไล่มารในใจได้”
โยวเสวี่ยกล่าวยิ้ม ๆ “ซูเสวียนจวิน เจ้ามาขอให้ข้าช่วยเนี่ยนะ? ช่างเกินคาดหมายจริงแท้”
ในขณะที่ซูอี้กำลังจะกล่าวอันใด โยวเสวี่ยก็ชิงพูดก่อน “ข้าจะช่วยเจ้า ต่อให้เจ้าจะเสียใจภายหลังข้าก็จะช่วย ไม่ว่าอย่างไร เจ้าต้องจำความรักใคร่ของข้าไว้นะ”
ซูอี้ “…”
ท้ายที่สุด เขาก็พยักหน้า จากนั้นก็เรียกเพชฌฆาตเฒ่าเข้ามา
เมื่อเดินออกจากสวน เขาก็หยิบม้วนหยกม้วนหนึ่งขึ้นมา ใช้จิตสัมผัสเป็นมีดสลักจารึก
ครู่ถัดมา เขาก็ส่งมันให้เย่ชิงเหอ “รับไปสิ”
เย่ชิงเหอแสนปรีดา ก่อนที่จะกล่าวอย่างตื่นเต้น “ขอบคุณผู้อาวุโส!”
เขาย่อมรู้ว่าความลับในม้วนหยกนี้เพียงพอจะเป็นปัจจัยหลักต่อการตรวจสอบประตูเป็นตายลึกล้ำของเขา!
“นั่นก็แค่ประสบการณ์เล็กน้อย ไม่ว่าเจ้าจะทะลวงประตูเป็นตายลึกล้ำและสร้างแท่นเต๋ารู้แจ้งลึกล้ำได้หรือไม่ ทุกสิ่งล้วนขึ้นอยู่กับเจ้า”
ซูอี้กล่าว
เย่ชิงเหอพยักหน้าอย่างจริงจัง “ผู้น้อยจะไม่ลืมคำสอนผู้อาวุโส!”
จากนั้นชายหนุ่มก็หันไปกล่าวกับเย่ซุ่นว่า “เรื่องของเผ่าเจ้าเกือบคลี่คลายแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะออกเดินทางไปยังเมืองมรณะ ให้เจ้าเก็บตัวฝึกฝนอยู่ที่นี่ ข้าจะให้โยวเสวี่ยดูเจ้าไว้ เมื่อวิถีเต๋าของเจ้าฟื้นตัวเต็มที่ ข้าจะปล่อยเจ้าออกไป”
เย่ซุ่นตะลึงราวถูกสายฟ้าฟาด และกล่าวอย่างรีบร้อนว่า “พี่เขย ข้าไม่ต้องการอยู่ที่นี่ ต่อให้ต้องฝึกฝนที่เผ่าก็ยังดีกว่าอยู่ที่นี่เลย”
ซูอี้กล่าว “เรื่องนี้ไม่อาจต่อรองได้”
นิสัยของเย่ซุ่นลื่นไหลและเกรี้ยวกราดเกินไป จึงอาจทำให้เกิดปัญหาได้ง่าย
เย่ซุ่นดูราวเสียวิญญาณ
เขาคิดว่าเมื่อกลับสู่ภูมิมืดมิด เขาจะลิงโลดดุจมังกรคืนสมุทร ทำตัวลอยชายไปได้ชั่วขณะ
ทว่าซูอี้กลับไม่ให้โอกาสเขาเลย!
เย่ชิงเหอถอนหายใจโล่งอก เขารู้ดีมากว่าอาของตนเย่อหยิ่งอหังการเพียงไร
หากเขาเก็บตัวฝึกฝนที่นี่ได้ย่อมดีมากแล้ว
…
กาลเวลาเคลื่อนผ่าน
ครึ่งชั่วยามถัดมา เพชฌฆาตเฒ่าก็ออกมาจากสวน
ขณะนี้ สัตว์ประหลาดเฒ่าผู้มีใบหน้าซูบตอบแย้มยิ้มด้วยความยินดี ท่าทีผ่อนคลายตื่นเต้น
“ใต้เท้าซู ขอบคุณท่านมาก!”
เงาในใจของเขาถูกทำให้สลายหายไปสิ้นแล้ว
นี่เป็นประหนึ่งการทำลายตรวนซึ่งกักขังเขามาสามหมื่นหกพันปี กายใจพลันสดชื่นราวได้ชีวิตใหม่
ยิ่งกว่านั้น เพชฌฆาตเฒ่ายังสังหรณ์อย่างแรงกล้าว่าอีกไม่นาน เขาจะทะลวงสู่ขั้นปลายของขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำได้!
“ต่อจากนี้เจ้าคิดทำอันใดต่อ?”
ซูอี้ถาม
เพชฌฆาตเฒ่ากล่าวโดยไร้ลังเล “ข้าอยากกลับสู่ทะเลทุกข์”
เนิ่นนานกาลก่อน เขาเคยวนเวียนอยู่ในห้วงลึกแห่งทะเลทุกข์ ตั้งรกรากในทะเลอันตรายไร้คาดเดานั่น
สำหรับผู้ฝึกตนในโลกหล้า ทะเลทุกข์เป็นดั่งแดนต้องห้าม หากผู้คนไปสิบคน จะเหลือรอดเพียงหนึ่ง
ทว่า สำหรับเพชฌฆาตเฒ่า ที่แห่งนั้นคือเวทีค้นหาวิถีอันสมบูรณ์แบบ
ซูอี้ครุ่นคิด “เมื่อเจ้ากลับไป ช่วยข้าตรวจสอบข่าวเกี่ยวกับเรือยมโลกสีดำลึกลับนั่นทีนะ”
เพชฌฆาตเฒ่าหรี่ตา แม้เขาจะอยู่ในเมืองเทียนหยามาแสนนาน แต่เขาจะไม่รู้เรื่องเรือยมโลกสีดำนั้นได้เช่นไร?
“ได้ ให้ข้าจัดการเถอะ”
เพชฌฆาตเฒ่าไม่ปฏิเสธ
“อีกประการ ช่วยข้าหาข่าวเกี่ยวกับ ‘เจ้าบรรพตเมืองท้อ’ ที หลังจากไก่แจ้เฒ่านี่ได้จดหมายลับเมื่อหลายร้อยปีก่อน เขาก็ล่องเรือไร้อับปางสู่ทะเลทุกข์ ข้าห่วงความปลอดภัยของเขานิดหน่อย”
ซูอี้กล่าว
“ได้เลย!”
เพชฌฆาตเฒ่าตอบรับอย่างยินดี
ซูอี้ไม่กล่าวมากไปกว่านั้น
อันที่จริง นับแต่ยามที่ชายหนุ่มเข้ามายังภูมิมืดมิดจวบจนปัจจุบัน เขาก็พบว่าสหายเก่ามากมายของเขาได้หายเข้าไปในทะเลทุกข์
เช่นชุยหลงเซี่ยง ไก่แจ้เฒ่า เจ้าโถงหลงลืมและผู้อาวุโสใหญ่สูงสุด
กระทั่งเทพมารฝังอบายและศิษย์ของเขาหวังถิงผู้เคยได้รับหยกมรดกของสิบตำหนักยมบาลยังออกเดินทางสู่ทะเลทุกข์เพื่อสำรวจซากสิบตำหนักยมบาล
นอกจากนี้ ในช่วงกาลผ่านมา ยังมีความเปลี่ยนแปลงมหันต์ที่ไม่อาจล่วงรู้มากมายเกิดขึ้นในห้วงลึกแห่งทะเลทุกข์ และกระทั่งพื้นที่ต้องห้ามโบราณอย่าง ‘พิภพยมราชฝังวิถี’ ยังผุดขึ้นด้วย
ทั้งหมดนี้ทำให้ซูอี้ตระหนักว่าต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นกับทะเลทุกข์
แม้จะเป็นเพียงการตรวจสอบที่อยู่ของชุยหลงเซี่ยง ซูอี้ก็จะไปเยือนที่นั่นด้วยตนเองในอนาคต
อย่าว่าแต่เรื่องที่เขาเคยสำรวจหาเคล็ดเวียนวัฏสงสาร ณ ห้วงลึกทะเลทุกข์ในอดีตชาติเลย!
ทว่าก่อนหน้านั้น เขาต้องไปยัง ‘เมืองมืด’ ในเมืองมรณะเสียก่อน
ต่อมา ซูอี้ก็กลับเข้าไปในสวน
“ถึงเวลาที่ข้าต้องไปแล้ว”
ซูอี้มองไปยังโยวเสวี่ยที่อยู่ใต้ร่มพฤกษา และกล่าวเบา ๆ “ภายหน้า โปรดจับตามองเจ้าหนูเย่ซุ่นนั่นไว้ หากไม่ฟื้นตัวสมบูรณ์ อย่าให้เขาจากที่นี่ไป”
“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ อย่าห่วงเลย ข้าสัญญาว่าเขาจะไม่อาจออกจากภูเขาสงบแสงเทียนได้แม้ครึ่งก้าว”
โยวเสวี่ยกล่าว และพลันถามว่า “เจ้าจะออกไปหาเย่อวี๋หรือ?”
คู่เนตรงามของหญิงสาวทอประกายเรืองรอง
“ถูกต้อง”
ซูอี้พยักหน้ากล่าว “ไม่นานมานี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงที่เมืองมืด เส้นทางหยินหยางอันนำไปสู่เมืองมืดเสียหายหนัก และเย่น้อยก็ติดอยู่ในนั้น ข้าจะไปนำนางกลับมา”
“งั้น… เจ้าพาข้าไปด้วยได้หรือไม่?”
คู่เนตรลึกล้ำพร่างพราวของโยวเสวี่ยเผยความตั้งตารอ “เจ้าก็รู้นิสัยข้า ข้าจะไม่ก่อเรื่องให้เจ้าแน่”
ซูอี้ส่ายหน้า “ยามนี้ข้าให้เจ้าไปจากเผ่าปีศาจงูไม่ได้”
โยวเสวี่ยตะลึงไปครู่หนึ่ง สีหน้าแววตาเปี่ยมความผิดหวัง และรำพันเบา ๆ “ซูเสวียนจวินเอ๋ยซูเสวียนจวิน เจ้ารู้ว่าข้ามีใจต่อเจ้าแท้ ๆ แต่กลับไม่เคยเต็มใจยอมรับข้า อยากรู้จริง ๆ ว่าทำไม”
ความชิงชังปรากฏบนใบหน้างดงามของหญิงสาว
ซูอี้กล่าวลอย ๆ “ข้าบอกไปแล้วว่าเราไร้วาสนาต่อกัน อย่าฝืนเลย”
โยวเสวี่ยกัดริมฝีปากสีกุหลาบของนาง แต่ก็ไม่อาจยั้งใจไม่ให้พูดได้ “แต่ข้าอยากฝืน เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าก่อนหน้านี้รับปากอันใดกับข้าไว้? ข้าจะบอกให้ ยามเจ้าจากไปเมื่อสามหมื่นหกพันปีก่อน เจ้าออกปากเองว่าหากสักวันข้าเอาชนะเจ้าได้ เจ้าจะรับปากพาข้าไปด้วย”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ สตรีโฉมงามดุจนางสวรรค์ผู้มีบรรยากาศมืดหม่นเย็นชาก็เบนคู่เนตรงามมาจ้องตาซูอี้ ก่อนจะกล่าวอย่างจริงจัง
“ยามนี้ ข้าคิดตัดสินใจลองดู!”