บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 892: ออกเดินทาง
ตอนที่ 892: ออกเดินทาง
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
เขาจ้องมองใบหน้างามของโยวเสวี่ยอยู่สักพัก แล้วจึงกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าไม่เคยกล้าลอง ไฉนจึงเปลี่ยนใจตอนนี้เล่า?”
โยวเสวี่ยสบตาซูอี้อย่างไม่ท้อถอย “เพราะข้าตระหนักได้ว่านี่คือช่วงเวลาอันเหมาะสมที่สุดแก่การเอาชนะเจ้าแล้ว หากข้ารอให้เจ้าเป็นจักรพรรดิ ภายหน้าคงไม่มีโอกาสสำหรับข้าอีก”
ซูอี้กล่าวอย่างจนใจเล็กน้อย “แค่นั้นหรือ?”
โยวเสวี่ยเองก็เม้มปาก ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม คู่เนตรเจิดจรัสมองมาอย่างพิกล “ยิ่งเจ้าปฏิเสธ ข้ายิ่งรู้สึกว่าเจ้ารู้สึกผิดนะ”
ซูอี้เงียบไปครู่หนึ่ง
โยวเสวี่ยคือจิตวิญญาณสมบัติของโคมสงบวิญญาณเทียนหยา และบนภูเขาสงบแสงเทียนอันปกคลุมด้วยกฎสงบแสงเทียนนี้ นางแทบจะเป็นตัวตนสูงสุด
แม้แต่ตัวตนลึกลับอันแข็งแกร่งเยี่ยงเพชฌฆาตเฒ่าก็ยังไม่อาจต่อกรกับโยวเสวี่ยได้
ทว่า ชายหนุ่มกังวลนักว่าหากตนชนะ จะเป็นการทำร้ายจิตใจโยวเสวี่ยมากเพียงใด
ซูอี้ถอนหายใจเบา ๆ “ปุถุชนก็รู้ว่าแตงบ่มไม่อาจหวาน เจ้าฝืนเช่นนี้จะได้ดีอันใด?”
โยวเสวี่ยกล่าวอย่างจริงจัง “จับตัวคนให้ได้ก่อน จากนั้นก็ได้การยอมรับจากเขาเสีย หากต่อไปได้หัวใจเขามาด้วยย่อมดีที่สุด”
ซูอี้ “…”
วาจาของนางดูสมชายมากกว่าเหล่าบุรุษแข็งแกร่งอหังการเหล่านั้นเสียอีก
“ทว่าหากเจ้าแพ้เล่า?”
ซูอี้ถาม
โยวเสวี่ยกล่าวอย่างเฉยเมย “แพ้ก็คือแพ้ ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าจะไม่สะกดรอยเจ้าให้เจ้าเบื่อแน่ นั่นมิใช่สิ่งที่ข้าอยากเห็น ดังนั้นจึงไม่อยากทำ”
ซูอี้ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก “งั้นก็ลงมือเถอะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น โยวเสวี่ยก็ผงะไปชั่วขณะ แววตาของนางซับซ้อน “ซูเสวียนจวิน ข้าไม่คาดจริง ๆ ว่าเจ้าจะอยากประลองมากกว่าพาข้าไป…”
บนใบหน้างามของหญิงสาวเต็มไปด้วยความแค้นเคือง
ซูอี้ “?”
นี่คงเป็นจิตของอิสตรี สิ่งที่นางใส่ใจนั้นต่างจากบุรุษโดยสิ้นเชิง
หลังจากครุ่นคิดสักพัก ซูอี้ก็กล่าวตรง ๆ “ข้าให้สัญญาได้ว่าจะพาเจ้าไปเมืองมืด ทว่าเฉพาะยามนี้เท่านั้น หลังช่วยเย่น้อยได้ เจ้าต้องกลับมาที่นี่ หาไม่…”
ก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบ โยวเสวี่ยก็พูดแทรกด้วยรอยยิ้มแสนปรีดาบนใบหน้างดงาม “อย่าขู่เช่นนั้นเลย ข้ารู้ว่ายามเจ้าไร้ใจ เจ้าทำได้ทุกสิ่ง และข้าจะไม่มีทางไปแตะบรรทัดฐานเหล่านั้น
เสียงของหญิงสาวแปรเปลี่ยนเป็นหวานใส
รอยยิ้มนั้นทำให้โลกาอันมืดมิดดูจะสว่างไสวด้วยแสงสว่างพร่างพรายขึ้นมา
“…”
เขาอยากถามเหลือเกินว่า ที่ว่า ‘ยามเจ้าไร้ใจ เจ้าทำได้ทุกสิ่ง’ นี่หมายความเช่นไร
ทว่าท้ายที่สุดเขาก็ข่มใจไว้
“หากเจ้าไป ใครเล่าจะคอยคุมเย่ซุ่น?”
ซูอี้ถาม
โยวเสวี่ยกะพริบตาก่อนจะพึมพำ “ง่าย ๆ เลย ข้าจะขังเขาไว้ในสวนนี้ และใช้พลังของโคมสงบวิญญาณเทียนหยาผนึกสวนนี้ไว้”
ซูอี้จะยังพูดอันใดได้อีก? ในเมื่อเขารับปากจะพาโยวเสวี่ยไปแล้วนี่
…
เมื่อออกมานอกสวน รอยยิ้มบนใบหน้าของโยวเสวี่ยก็เลือนหาย
กิริยาของนางกลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่เยี่ยงนางเซียนอีกครา
“ข้าจะไปช่วยเหลือเย่อวี๋ที่เมืองมืดกับสหายเต๋าซู พวกเจ้ารู้แล้วก็อย่าให้มันแพร่งพรายเสียเล่า”
โยวเสวี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
เย่ชิงเหอตะลึง ก่อนจะรับคำสั่งอย่างเกรงขาม “ขอรับ!”
“ส่วนเจ้า…”
โยวเสวี่ยหันไปมองเย่ซุ่นแล้วชี้ไปทางสวน “ไปเก็บตัวฝึกฝนที่นั่นก่อน อย่าลืมช่วยข้าดูแลดอกไม้ที่ใกล้เหี่ยว เอาน้ำจากในบ่อสงบแสงเทียนไปรดมันเสียด้วยล่ะ”
เย่ซุ่นตะลึงไปราวกับถูกมะเขือยาวฟาด ก่อนจะตอบอย่างเหงาหงอย “ขอรับ”
เขารู้ว่าจากนี้ไป หากไม่อาจฟื้นวิถีเต๋าคืนสู่สภาพสมบูรณ์พร้อมได้ เขาคงไม่อาจออกไปไหนได้อีก
ซูอี้กลั้นยิ้ม แล้วกล่าวว่า “เจ้าทำอันใดอยู่? รีบเข้าไปสิ”
เย่ซุ่นรำพัน “ขอข้าทัศนาโลกหล้าอีกสักหน่อยน่า”
โยวเสวี่ยคร้านเกินกว่าจะพูดพล่ามมากความ และด้วยหนึ่งสะบัดแขนเสื้อ ร่างของเย่ซุ่นก็ปลิวเข้าไปในสวน
จากนั้นกฎสงบแสงเทียนก็ปรากฏขึ้นปกคลุมสวนทั้งสวนเอาไว้
“สหายเต๋า ไปกันเถอะ”
โยวเสวี่ยหันไปกล่าวกับซูอี้
ซูอี้เดินนำจากไป
…
รัตติกาลด้านนอกมืดมิด และเหนือยอดเขาแท่นบัวมีจันทร์เสี้ยวแรมสีเงินลอยสูง ฉายแสงจันทร์สีเงินลงมาดุจภาพฝัน
ซูอี้ โยวเสวี่ยและเพชฌฆาตเฒ่าจากไปด้วยกัน
เว้นเพียงเย่ชิงเหอผู้ไม่ได้รบกวนใครแต่ต้นจนจบ
เมื่อขึ้นเขาไปได้ครึ่งทาง ณ ตำหนักบรรพชน
เย่ชิงเหอเชิญเย่จื่อซาน เย่รั่วซีและผู้อาวุโสบางคนในสายตระกูลหลักของเผ่าปีศาจงูเข้าพบ
“จากนี้ไป ข้าจะดูแลเผ่าจนกว่าบรรพชนเย่อวี๋จะกลับมา”
เย่ชิงเหอกล่าว “ส่วนเรื่องที่เกิดในเผ่าวันนี้ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบัง และข้าก็จะเผยแพร่มันออกไป”
“ทว่า เมื่อเผยแพร่เรื่องนี้ออกไป จงบอกให้โลกรู้ว่าบรรพชนเย่ซุ่นที่หวนคืนสู่เผ่าได้เป็นคนปราบความขัดแย้งนี้”
หลังชะงักไปชั่วครู่ เขาก็กล่าวต่อ “นอกจากนั้น เรายังต้องประกาศเรื่องการสังหารผู้อาวุโสจากหอดาบฟ้าดิน หวงหยวนซิวด้วย เพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู”
เย่จื่อซานและคณะคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะเข้าใจในฉับพลัน
ทุกคนต่างรู้ว่าหวงหยวนซิวคือผู้อาวุโสของหอดาบฟ้าดิน และหอดาบฟ้าดินก็อยู่ใต้บัญชาพันธมิตรเสวียนจวินแห่งเก้ามหาแดนดิน ในภูมิมืดมิดนี้ ไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกินพวกเขาง่าย ๆ
ยามนี้เมื่อเผ่าปีศาจงูกล้าสังหารกระทั่งหวงหยวนซิว ใครเล่าจะกล้ามาก่อเรื่องให้เผ่าปีศาจงู?
หลังจากครุ่นคิดสักพัก เย่จื่อซานก็ถามขึ้น “ท่านบรรพชนขอรับ ในตำหนักบรรพชนวันนี้ หากแขกที่มาและเห็นเรื่องราวทั้งหมดนำเรื่องไปแพร่งพรายล่ะขอรับ?”
เย่ชิงเหอกล่าวอย่างเฉยเมย “นั่นก็จะเป็นเรื่องดี เพราะพวกเขารู้ว่าวันนี้เกิดอันใดขึ้น เมื่อข่าวแพร่ออกไป พวกเขาจะทำให้ขุมกำลังใหญ่เหล่านั้นสนใจมากขึ้น”
“ท่านบรรพชน พวกคุณชายซูไปกันแล้วหรือเจ้าคะ?”
เย่รั่วซีอดถามไม่ได้
เย่ชิงเหอผงะไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า “ถูกต้อง”
นางพลันรู้สึกจนใจเล็กน้อย
“รั่วซี เจ้ามีสิ่งใดที่ต้องพบคุณชายซูหรือ?”
เย่ชิงเหอถาม
หญิงสาวก้มหน้าลงกล่าว “ข้ายังอยากขอบคุณเขาด้วยตนเอง และอยากขอโทษเขาด้วยเจ้าค่ะ”
“ขอโทษหรือ?”
เย่ชิงเหองุนงงเล็กน้อย “หมายความเช่นไร?”
นางกล่าวด้วยใบหน้าอันแดงเรื่อเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้… ข้าไม่คิดว่าเขาจะสามารถช่วยคลายความขัดแย้งในเผ่าเราได้จริง ๆ ดังนั้นจึงเคยชักสีหน้า ใช้วาจาท่าทางอันไม่เหมาะสมมากมายเจ้าค่ะ”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เย่จื่อซานก็อดกล่าวอย่างละอายไม่ได้ “จริงขอรับ ดวงตาของข้าเองก็เคยมืดบอด เทพเซียนมายืนตรงหน้าแต่กลับไม่อาจรู้ได้ ข้าจึงมองข้ามคุณชายซูไปหลายหน เมื่อกลับมาย้อนคิดยามนี้ ก็รู้สึกผิดและไม่สบายใจนัก”
เย่ชิงเหอโบกมือด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าไม่ต้องรู้สึกผิดกับเรื่องนี้หรอก จากที่ข้ารู้เกี่ยวกับซู… คุณชายซู เขาไม่ใส่ใจเรื่องยิบย่อยหรอก”
ไม่สนใจเรื่องยิบย่อย?
เมื่อเย่รั่วซีได้ยินเช่นนี้ นางก็โล่งใจขึ้นเล็กน้อย ทว่าก็ยังรำพึงในใจว่าตนยังไม่ได้บอกชื่อกับคุณชายซูเลย
“ท่านบรรพชน ท่านเห็นแล้วหรือไม่ว่าคุณชายซูผู้นี้คือใคร?”
ชายชราผู้หนึ่งถาม
ทันใดนั้น ทุกสายตาก็หันมองเย่ชิงเหอ
เปลือกตาของเย่ชิงเหอกระตุก และกล่าวด้วยสีหน้าเยือกเย็น “เขาคือคนประหลาดที่บรรพชนเย่ซุ่นได้พานพบระหว่างระหกระเหินอยู่ในโลกภายนอก ที่มาของเขาลึกลับ พลังแข็งแกร่งมหาศาล กระทั่งข้ายังชื่นชมเขา หากพบกันในภายหน้า เขาต้องได้รับการปฏิบัติด้วยเป็นอย่างดี”
ทุกคนนิ่งไป ก่อนจะพยักหน้า
“ท่านบรรพชน ท่านรู้หรือไม่เจ้าคะว่าคุณชายซูจะไปหนใดต่อ?”
หญิงสาวอดถามไม่ได้
เย่ชิงเหอส่ายหน้า “ข้าไม่รู้”
เขาไม่อาจเผยเรื่องสำคัญที่ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินและใต้เท้าโยวเสวี่ยร่วมมือกันเดินทางไปช่วยเหลือบรรพชนเย่อวี๋ที่เมืองมืดได้
…
กลางดึก
หอเสียงอวิ๋น
“เพชฌฆาตเฒ่า เจ้าสัญญากับข้าอีกอย่างหนึ่งได้หรือไม่?”
ซูอี้นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารและกล่าวเบา ๆ
เพชฌฆาตเฒ่าฉีกยิ้ม “ใต้เท้าซู ท่านสุภาพเพียงนี้แต่ยามใด? กล่าวมาก็พอแล้ว”
ก่อนหน้านี้ เขาเคยเรียกซูอี้ว่า ‘สัตว์ประหลาดเฒ่าซู’
ทว่ายามนี้ เมื่อเงาในใจของเขาสลายไปโดยสมบูรณ์ การวางตนของเพชฌฆาตเฒ่าต่อซูอี้ก็แปรเปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัด
เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะวันนี้เย่ชิงเหอเคยขอให้ซูอี้ชี้แนะการสำรวจประตูเป็นตายลึกล้ำ ซึ่งจุดประกายให้เพชฌฆาตเฒ่าตระหนักถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
แม้ว่าเขาจะถูกซูเสวียนจวินกำราบและติดอยู่ในหอเสียงอวิ๋นนี้เป็นหมื่น ๆ ปีเพราะเหตุนั้นก็ตามที
ในภายหน้า เขาจะต้องเผชิญอุปสรรคขวากหนามมากมายบนเส้นทางฝึกฝนอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ และอาจต้องเผชิญกับภาวะคอขวดอันไม่อาจฝ่าไปต่อ
ทว่าหากได้รับคำชี้แนะและความช่วยเหลือจากซูเสวียนจวินล่ะก็ เรื่องราวจะแตกต่างโดยสิ้นเชิง!
ไม่ว่าจะเป็นการผูกมิตรหรือโชคในคราวเคราะห์ แต่ขอเพียงรักษามิตรภาพกับซูเสวียนจวินไว้ นี่ย่อมเป็นมหาลาภที่อาจจะทำให้เหล่าจักรพรรดิทั่วโลกาอิจฉาตาร้อนได้!
เพราะเขาเข้าใจเช่นนี้นี่เอง การวางตนของเพชฌฆาตเฒ่าจึงแปรเปลี่ยนกะทันหัน
ไม่เหมือนที่เขาเคยเป็น และไม่เหมือนอดีตกาล
ซูอี้ไม่อาจทราบได้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมายเพียงนี้ในใจเพชฌฆาตเฒ่า
หรือต่อให้รู้ เขาก็คงไม่ใส่ใจอยู่ดี
“ง่ายมาก ขอแค่ให้เจ้าอยู่ในเมืองเทียนหยาจนกว่าเย่น้อยจะกลับมาเท่านั้น”
ซูอี้กล่าว
เพชฌฆาตเฒ่าคิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ ทว่าเมื่อได้ยินก็อดหัวเราะไม่ได้ “ข้าอยู่ที่นี่มาสามหมื่นหกพันปี อยู่ที่นี่ต่อสักหน่อยย่อมไม่เป็นไร ใต้เท้าซูวางใจเถอะ”
โยวเสวี่ยผู้นั่งเงียบ ๆ อยู่ข้าง ๆ มาพักหนึ่งอดเหลือบมองซูอี้ไม่ได้
นางรู้ว่าเพราะนางต้องไปเมืองมืดกับเขานี่แหละที่ทำให้ซูอี้กังวลเรื่องความปลอดภัยของเผ่าปีศาจงู
เพราะถึงอย่างไร หากมีนางอยู่ ก็ไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากเพชฌฆาตเฒ่า
เมื่อคิดเช่นนี้ โยวเสวี่ยก็อดรู้สึกอิจฉาเย่อวี๋ในใจไม่ได้
นางรู้ว่าคนที่ทำตัวเฉยชาไม่สนใจใครเช่นซูอี้ คงไม่คิดทำการรอบคอบเพียงนี้หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่ความรักของเย่อวี๋
เช้าตรู่ของวันที่สิบหกเดือนแปด
สารทฤดูเข้มแข็งมากขึ้น
ซูอี้และโยวเสวี่ยออกจากเมืองเทียนหยา เดินทางสู่เมืองมรณะด้วยกัน!