บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 893: พุทธอารามในค่ำคืนฝนตก
ตอนที่ 893: พุทธอารามในค่ำคืนฝนตก
เขตนทีปรภพ
หนึ่งในหกเขตสิบสามแดนดินแห่งภูมิมืดมิด
ทั้งแม่น้ำบาปสีเลือดและเมืองมรณะล้วนถูกมองว่าเป็นพื้นที่ต้องห้ามแต่บรรพกาล ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอันกว้างใหญ่นี้
ภูมิประเทศในเขตนทีปรภพแร้นแค้นอย่างยิ่ง ปราณวิญญาณทั่วฟ้าดินปนเปสับสน และยังนับได้ว่าเป็น ‘เขตแห่งบาป’
ส่วนเหตุผลนั้นก็คือ ในเขตอันกว้างใหญ่นี้มีมารปีศาจที่มีอำนาจชั่วร้ายออกอาละวาด
ภูเขาพันอสรพิษทางทิศอาคเนย์ของเขตนทีปรภพ
เมื่อค่ำคืนย่างกราย ท้องฟ้ามืดหม่น อสนีบาตฟาดลั่น สายฝนกระหน่ำเท
สายฝนที่กระหน่ำแรงเจือด้วยกลิ่นอายชั่วร้าย
เมื่อขึ้นเขาพันอสรพิษไปได้ครึ่งทางจะพบพุทธอารามที่ถูกทิ้งร้าง ซึ่งเต็มไปด้วยต้นหญ้าสูงแห่งหนึ่ง
แสงไฟสลัดความมืดและสะท้อนบนสองข้างกำแพงโถง ซึ่งเดิมเคยมีจิตรกรรมพระพุทธองค์วาดไว้
ทว่าอาจเป็นเพราะกาลเวลา จิตรกรรมฝาผนังเหล่านั้นจึงลอกเลือนสิ้นแล้ว
ใจกลางโถงได้ประดิษฐานรูปปั้นพระพุทธเจ้าจากดินเหนียวไว้องค์หนึ่ง
รูปปั้นพระพุทธเจ้ามีสามเศียรหกกร ประทับนั่งบนแท่นปทุม
ทว่ารูปปั้นพระพุทธเจ้านี้เสียหายหนักด้วยกาลผันผ่าน กระทั่งบางกรยังแตกหัก
ซูอี้นั่งอยู่บนเก้าอี้หวายข้างกองไฟ ขณะสายตามองออกไปนอกโถง
ข้างนอกพุทธอารามโบราณกลางป่าเขาคือค่ำคืนฝนกระหน่ำ นาน ๆ ครั้งจะมีเสียงอสนีบาตฟาดแรงสะท้อนก้องครืนคราง โลกหล้าสะเทือนไหว
หยาดฝนสาดใส่ชายคาเกิดเป็นเสียงเปาะแปะหนาหู สายลมภูเขาโบกโบย ทำให้หน้าต่างในโถงหลักส่งเสียงครืด ๆ
โยวเสวี่ยยืนอยู่ด้านข้างในโถง สายตากำลังจ้องพักตร์อันเลือนรางของพระพุทธองค์
หญิงสาวมัดมวยหลวม ๆ นางมีท่าทีผ่อนคลาย เอวบางคอระหง ร่างผอมสูงสวมทับด้วยชุดกระโปรงยาวเรียบ ๆ และสีหน้าท่าทางดูสง่างาม
ครู่ต่อมา โยวเสวี่ยก็เบือนสายตามากล่าวเบา ๆ “สหายเต๋า จิตรกรรมพุทธองค์เหล่านี้คือ ‘สิบแปดเทพารักษ์พุทธธรรม’ ในคำร่ำลือหรือไม่?”
นางกล่าวพลางเดินมาหาซูอี้ที่กองไฟ และนั่งลงบนฟูก
“ถูกต้อง”
ซูอี้พยักหน้า “ในเขตนทีปรภพต้องมีพุทธอารามหนึ่งแห่งในทุกสามร้อยลี้ และแต่ละอารามจะมีรูปปั้นเทพารักษ์พุทธธรรม”
“นานมาแล้ว พลังแห่งพุทธคุณของพุทธอารามนั้นสมนามของมัน เมื่อผู้ฝึกตนวิถีพุทธจากกลุ่มเต๋าชั้นยอดเหล่านั้นเข้าไปฝึกฝนในพุทธอาราม พวกเขาล้วนแต่สาบานตนจะทำให้นรกภูมิว่างเปล่า และสาบานว่าตนจะไม่เป็นพระพุทธเจ้า แต่จะมุ่งมั่นขจัดปีศาจปราบมารในเขตนทีปรภพ คืนความสว่างไสวสู่โลกหล้า”
“โชคร้ายที่นับแต่สมัยข้าเดินทางสู่ภูมิมืดมิด ข้าก็ได้ยินว่าพุทธอารามประสบมหันตภัยจึงหายไปจากโลกา”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ซูอี้ก็ยกสุราขึ้นจิบ “กาลต่อมาเมื่อสิ้นพุทธอาราม เขตนทีปรภพก็ค่อย ๆ กลายเป็นแดนอาถรรพ์ซึ่งเต็มไปด้วยมารปีศาจที่มีพลังชั่วร้าย และจนบัดนี้ก็ยังไม่แปรเปลี่ยน”
โยวเสวี่ยอดแปลกใจไม่ได้ “ในเมื่อพุทธอารามเป็นกลุ่มเต๋าระดับสูงสุด พวกเขาจะเผชิญมหันตภัยใดได้จนถึงขั้นถูกทำลายหายจากโลกหล้าเช่นนี้?”
ซูอี้กล่าวต่อ “กล่าวกันว่าพุทธอารามวางแผนทำลายเมืองมรณะ ทว่า ณ ค่ำคืนเทศกาลหมื่นโคม มันกลับถูกสารพัดขุมกำลังร้ายกาจพิสดารถล่มโจมตีจนพังทลาย”
โยวเสวี่ยตะลึง “ที่อย่างเมืองมรณะเป็นหนึ่งในสถานที่ต้องห้ามอันโหดเหี้ยมที่สุดในภูมิมืดมิดมาแต่โบราณ และพุทธอารามก็พยายามจะทำลายเมืองมรณะ นี่มันช่าง…”
นางมิอาจสรรหาวาจาใดมากล่าวได้ชั่วขณะ
ซูอี้กล่าว “ฝืนทำทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่อาจ หากสำเร็จก็เรียกได้ว่ากล้าหาญ แต่หากล้มเหลวก็จะถูกตราหน้าว่าโง่เขลา ไม่ว่าอย่างไร แม้พุทธอารามจะถูกทำลายไปแสนนาน แต่พวกเขาก็เคยสาบานว่าจะขจัดปีศาจปราบมารให้โลกหล้าและลงมือทำโดยแท้จริง การกระทำนั้นยังคงควรค่าแก่การชื่นชม”
โยวเสวี่ยพยักหน้า
หนึ่งสำนักพุทธตั้งภารกิจกำจัดความชั่วร้ายและช่วยเหลือปุถุชนในโลกา นี่คือสิ่งที่มิชื่นชมไม่ได้จริงแท้
“ทว่า แม้ขุมกำลังพุทธอารามจะถูกทำลายไปแสนนาน แต่อารามที่พวกเขาสร้างขึ้นในเขตนทีปรภพก็ยังปกป้องชีวิตต่าง ๆ จากทั่วหล้าอยู่ดี”
ซูอี้กล่าว “ตลอดมานี้ ทุกคราที่รัตติกาลเคลื่อนเปลี่ยน หากจะหลบหนีจากความอันตรายของสิ่งชั่วร้าย ผู้คนก็แค่ต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในพุทธอาราม และเรื่องร้ายก็มักจะแปรเปลี่ยนเป็นเรื่องดี”
โยวเสวี่ยแปลกใจ “เพราะเหตุใดกัน?”
ชายหนุ่มกล่าวทั้งรอยยิ้ม “นี่คือความมหัศจรรย์ของพลังศรัทธาแห่งปุถุชนซึ่งถูกใช้มาอย่างยาวนาน ในอดีตกาล พุทธอารามเคยถูกยกย่องบูชาจากสรรพชีวิตในเขตนทีปรภพ เหล่าคนธรรมดาถือสถานที่แห่งนี้เป็นพระโพธิสัตว์ที่มีชีวิต พวกเขาบูชาเพื่อปัดเผ่าเภทภัย และจุดธูปภาวนาทุกวันคืนอย่างเคร่งครัด”
“เมื่อความเชื่อนับพันหมื่นหลอมรวม สั่งสมตามกาล มันจะแปรเปลี่ยนเป็นพลังศรัทธาของสรรพชีวิต และเพิ่มความเป็นสิริมงคลแก่พุทธอารามสู่โลกหล้า”
“พลังศรัทธาแห่งปุถุชนนี้ไม่อาจมองเห็น และไม่อาจสัมผัสได้ จึงยากที่ผู้ฝึกตนจะรับรู้ ทว่ามันกลับสามารถเป็นพลังปัดเป่าความชั่วร้ายได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โยวเสวี่ยพลันรำพึงออกมาอย่างเสียไม่ได้ “มิน่าเล่า เราจึงหลบฝนที่นี่ในคืนนี้ และไม่ได้พบพานผีร้ายใด ๆ”
ข้างนอกอารามมีป่าเขาทุ่งกว้าง สันเขาเต็มไปด้วยพลังชั่วร้ายมากมาย และดูจะเป็นสถานที่ที่น่าจะเป็นเมืองผีที่สุด
และคืนนี้ก็พิเศษยิ่งกว่าคืนใด เพราะไร้ดวงจันทร์บนนภา!
เมื่อจันทราอับแสง ผู้คนก็กระวนกระวาย
ในภูมิมืดมิด คืนไร้จันทร์คือเวลาอันตรายที่สุด
ในคืนเหล่านั้น เรื่องแปลกประหลาดเกินจินตนาการจะบังเกิด ภูตผีนับร้อยพันเดินเตร็ดเตร่ในป่าเขายามวิกาล แสงไฟสีเขียวสลัวสว่างกลางอากาศอันมืดมิด และยังมีเรือยมโลกปรากฏขึ้นเหนือนที…
นอกจากนี้ ในพื้นที่ต้องห้ามอย่างประตูนรก แม่น้ำแห่งบาปสีเลือด และทะเลทุกข์ก็มักจะเกิดสิ่งแปลกประหลาดมากมายซึ่งสามารถสังหารเหล่าผู้ฝึกตนได้
ทว่าจวบจนยามนี้ โยวเสวี่ยกลับไม่อาจสัมผัสถึงปราณอันตรายใด ๆ ได้เลย
และทำให้นางตระหนักได้เช่นกันว่าการ ‘เปลี่ยนร้ายเป็นดี’ โดยการพักแรมในอารามของพุทธอารามที่ซูอี้กล่าวนั้นไม่ผิดเลย
เพียงคิดถึงเรื่องนี้ โยวเสวี่ยก็ดูจะตระหนักถึงบางสิ่ง และทอดมองออกไปข้างนอกโถง “สหายเต๋า ใครบางคนกำลังมา”
ซูอี้ชะงักไปครู่หนึ่ง ขมวดคิ้วกล่าว “บางทีอาจเป็นปัญหา”
คืนนี้ไร้ดวงจันทร์ ฝนตกเทกระหน่ำ หากมีคนออกเดินในป่าเขาเยี่ยงนี้ ต้องมิใช่คนธรรมดาเป็นแน่
โยวเสวี่ยกล่าวอย่างครุ่นคิด “ข้าออกไปกันอีกฝ่ายให้ดีหรือไม่?”
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ “พุทธอารามทิ้งที่แห่งนี้เอาไว้ และเราก็เป็นเพียงแค่คนผ่านทาง ไฉนต้องกันทางไม่ให้ผู้อื่นเข้ามาด้วยเล่า?”
ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น อสนีบาตก็ฉายแสงทะลวงนภา ณ ข้างนอกโถง
และเผยให้เห็นร่างผอมบางที่อยู่บนพื้นท่ามกลางสายฝน
คนผู้นั้นคือบุรุษผู้มีใบหน้าตอบซูบ ร่างกายสวมทับด้วยชุดจีน
ยามเข้ามาถึงประตูพุทธอาราม เขาก็ดูโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด
ทว่าเมื่อเห็นว่ามีกองไฟในอาราม และร่างของคู่หญิงชาย ชายผู้นั้นก็ขมวดคิ้วลังเลอย่างช่วยไม่ได้
ขณะที่เขากำลังลังเลนี้เอง เสียงเฉยเมยเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“อารามนี้คือแดนไร้เจ้าของ สหายเต๋าเข้ามาได้หากต้องการ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาก็ประคองกำปั้นและกล่าวขึ้นท่ามกลางสายฝน “รบกวนพวกเจ้าทั้งสองแล้ว”
จากนั้นเขาก็ก้าวเข้ามาในโถง
เมื่อเห็นใบหน้าของซูอี้และโยวเสวี่ย บุรุษผู้นั้นก็ตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวว่า “กล่าวตามตรงแล้ว ข้าแบกรับปัญหามากมาย ทว่าหากมันดึงพวกเจ้าไปพัวพัน ข้าจะรีบจากไปทันที และไม่ทำให้พวกเจ้าต้องแปดเปื้อนด้วยแน่”
จากนั้น เขาก็เดินตรงไปยังมุมโถงหลัก จากนั้นก็นั่งลงขัดสมาธิ และหยิบขวดโอสถออกมาเทกิน แล้วจึงทำสมาธิ
“น่าสนใจ กลางค่ำกลางคืนเช่นนี้ เรายังได้พบกับตัวตนระดับจักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นต้น และดูเหมือนว่าเขาจะบาดเจ็บหนักมากเสียด้วย”
นางมองปราดเดียวก็เห็นถึงระดับฝึกฝนของบุรุษในชุดจีนได้!
“ระดับฝึกฝนไม่สำคัญ สิ่งที่หาได้ยากคือคนผู้นี้เปิดเผยและมีคุณธรรม เขาประสบปัญหาอยู่แท้ ๆ แต่กลับไม่อยากให้ผู้อื่นเข้าไปพัวพัน นับว่าไม่ง่ายเลย”
ซูอี้กล่าวเบา ๆ
เขาไม่กลัวปัญหา แต่เขาไม่เคยชอบแกว่งเท้าหาเสี้ยน
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การปรากฏของคนแปลกหน้าผู้ไม่คิดสร้างปัญหาให้ผู้อื่น ทำให้ซูอี้รู้สึกประทับใจเป็นอย่างมาก
ทว่าสำหรับเขาแล้ว แม้ชายผู้นี้จะเป็นคนแปลกหน้า แต่เขาก็สามารถเห็นที่มาโดยคร่าวของอีกฝ่ายได้ตั้งแต่ปราดแรก
เพราะเหตุนี้เอง เขาจึงชิงกล่าวให้อีกฝ่ายเข้ามาในโถงก่อน
กาลเวลาเคลื่อนคล้อยทีละนิด
ซูอี้ทอดร่างอย่างเกียจคร้านอยู่บนเก้าอี้หวาย ขณะหลับตาลงพักผ่อน
โยวเสวี่ยนั่งอยู่อีกฟากของกองไฟ นางหันไปจ้องใบหน้าของซูอี้เป็นพัก ๆ
ข้างนอกอารามมีพิรุณกระหน่ำวายุกระโชก ค่ำคืนเปลี่ยวเหงา มีเสียงอสนีบาตคำรามเป็นครั้งคราว
โยวเสวี่ยไม่ได้ใส่ใจเรื่องทั้งหมดนี้เลย
ต่อให้นภาถล่มลงมา ขอเพียงนางอยู่ข้างกายคนที่ชอบ นางก็จะรู้สึกผ่อนคลายสุขใจอย่างไม่เคยเป็น
นางชอบนักดาบแสนยโสข้างกายนางมาแสนนาน
และนางก็ไม่เคยซ่อนความรู้สึกนี้
ซูเสวียนจวินรู้ และเย่อวี๋ก็รู้เช่นกัน
ช่างน่าสงสารที่บุปผาร่วงโรยมีใจ ทว่าสายธารไหลกลับไร้ปรานี ซูเสวียนจวินในยามนั้นก็ไม่เคยใส่ใจความรักของนาง
แต่ถึงกระนั้น โยวเสวี่ยก็ยังไม่ยอมหยุด
นางเองก็รู้ว่าชั่วชีวิตนี้ ตัวเองคงไม่อาจได้การตอบสนองใด ๆ จากซูเสวียนจวินหรอก
ทว่าสารพัดเหตุผลก็ไม่อาจแปรหัวใจนางได้
เมื่อนางได้พบกับซูอี้ในวิหารบรรพชนแดนต้องห้ามของเผ่าปีศาจงูอีกครั้ง โยวเสวี่ยก็รู้ว่าแม้จะผ่านไปหลายหมื่นปี แต่นางก็ไม่อาจปล่อยวางความรักในใจได้
บางครั้ง โยวเสวี่ยก็มักคิดว่าหากชาตินี้นางไม่อาจสมหวัง นางควรทำเช่นไร?
เปล่าเปลี่ยวเดียวดายไปชั่วชีวิตหรือ?
จุดจบจะไร้สุขหรือ?
นางไม่อาจคิดหาคำตอบได้
ทว่าโยวเสวี่ยแน่ใจว่านางไม่เคยเสียใจหรือแปรเปลี่ยนความรักที่มีต่อซูเสวียนจวินแม้สักครั้ง
ผีเสื้อราตรีโบยบินสู่กองเพลิง แม้จะรู้ว่าตายแน่ แต่ก็ไม่ยอมหันหลังกลับ
เมื่อเป็นเรื่องความชอบที่มีต่อซูเสวียนจวิน โยวเสวี่ยก็รู้สึกเหมือนตนเป็นผีเสื้อราตรีที่โบยบินสู่กองเพลิง ละทิ้งทุกความระวัง และไร้ซึ่งความหวัง
ในยามที่ความคิดของโยวเสวี่ยฟุ้งซ่านอยู่นั้นเอง นางพลันขมวดคิ้ว คู่เนตรลึกล้ำมองไปข้างนอกโถง และกล่าวว่า
“สหายเต๋า มีคนมาอีกแล้ว”
ซูอี้ที่กำลังงีบหลับส่งเสียงรับ และไร้ปฏิกิริยาอื่นใด
ไม่นานนัก บุรุษผู้กำลังทำสมาธิที่มุมห้องก็สังเกตเห็นมันเช่นกัน และลืมตาขึ้นทันที
แทบจะในยามเดียวกัน ไกลออกไปจากประตูอารามนี้ ท่ามกลางห่าฝนกระหน่ำสาด ก็ปรากฏเสียงหนึ่งแหวกอากาศมา!