บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 894: เกาะสตรีกิน
ตอนที่ 894: เกาะสตรีกิน
ชายในชุดจีนพลันผุดลุก
“เจ้าทั้งสอง ไม่ว่าต่อจากนี้จะเกิดอันใด อย่าได้ออกมาพัวพัน ข้าจะนำปัญหานี้ไปที่อื่น!”
ชายคนนั้นดูจริงจัง และเมื่อเสียงของเขาดังขึ้น สองเท้าก็สาวยาว ๆ พาตัวเองออกไปนอกอารามแล้ว
ซูอี้ยังคงทอดร่างนอนอยู่บนเก้าอี้หวาย
เมื่อโยวเสวี่ยเห็นเช่นนี้ นางก็ไม่ได้กล่าววาจาใด
ณ ข้างนอกอาราม
พิรุณซัดวายุสาด ฟ้าแลบร้องอสนีบาตคลั่ง
ชายในชุดจีนโบกแขนเสื้อ บรรยากาศรอบตัวเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นดุร้ายทรงพลัง อำนาจแห่งขอบเขตจักรพรรดิสลายวายุพิรุณ
“สิงอวิ๋นเจี่ย ครานี้เจ้าหนีไม่ได้แล้ว”
ร่างคนปรากฏขึ้นจากอากาศธาตุร่างแล้วร่างเล่า พวกเขาปิดล้อมอารามนี้ไว้ตรงกลาง
มีทั้งหมดห้าคน
มีทั้งหญิงและชาย บรรยากาศรอบกายพวกเขาต่างอยู่ในขอบเขตจักรพรรดิ
บ้างทะยานเวหา เหยียบบนหมู่เมฆมงคล
บ้างถือหอกสงคราม รายล้อมด้วยอสนีบาตสีเงิน
บ้างถือธนูใหญ่ คู่เนตรเปี่ยมเพลิงสีทอง
บ้างก็ถือขวดสมบัติในมือ ร่างตะคุ่มดำท่ามกลางหมอกมืดมิด
บนอากาศนอกประตูอารามยังมีตัวตนอันน่าหวาดหวั่นกว่านั้น
เป็นชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งมีเรือนผมสีเงินขาว เขาสวมอาภรณ์สีม่วงและมงกุฎขนนก มือถือมีดสั้นสีเขียวซึ่งปกคลุมด้วยเพลิงศักดิ์สิทธิ์
ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิทั้งห้าคนปรากฏขึ้นในคืนพายุฝนนี้ พลังปราณหนาแน่นดุจตาข่ายปกคลุมทั่วหล้า
อำนาจอันน่าหวาดหวั่นทลายเมฆฝนบนนภาสิ้น!
สายฝนกระหน่ำที่หลั่งรินสู่โลกาหยุดลงกะทันหัน
และหลงเหลือเพียงจิตสังหารที่แผ่กระจายออกปกคลุมไปทั่ว
ใบหน้าของชายในชุดจีนผู้นั้นเปลี่ยนสี เขาสูดหายใจลึก ๆ ก่อนจะกล่าวว่า “งั้นก็ลองดู!”
ชิ้ง!
เสียงยังมิทันเลือนหาย ชายผู้นั้นพลันหยิบดาบใบแคบอันคมกริบออกมาเล่มหนึ่ง ร่างของเขาแปรเปลี่ยนเป็นอสนีบาตพุ่งไปเบื้องหน้า
“สัตว์จนมุมยังสู้ต่อ ความกล้านี้น่าชื่นชม น่าเสียดายที่เจ้า สิงอวิ๋นเจี่ยต้องคืนสู่นภาวันนี้!”
ชายหนุ่มผมสีเงินในอาภรณ์สีม่วงหัวเราะหึ จากนั้นเขาก็ตวัดมีดสั้นสีเขียวในมือ
เคร้ง!!
เสียงฟาดกระแทกดังสนั่น
ร่างของเขาซึ่งพุ่งไปข้างหน้าถูกหยุดไว้ทันที
ขณะเดียวกัน ตัวตนระดับจักรพรรดิอีกสี่คนที่อยู่ในทิศอื่น ๆ ต่างโจมตีเข้าใส่บุรุษผู้นั้นโดยไม่คิดชีวิต
“ทุกท่านโปรดอย่าสังหารชายผู้นี้ เราต้องจับเป็นและยังต้องใช้เขาเพื่อการถัดไป”
ชายหนุ่มผมสีเงินในอาภรณ์สีม่วงกล่าวเสียงกังวาน
“ขอรับ/เจ้าค่ะ!”
ตัวตนจักรพรรดิเหล่านั้นตอบสนองอย่างพร้อมเพรียง
สีหน้าของชายในชุดจีนย่ำแย่อย่างยิ่ง
เขาไม่กล่าววาจา และพุ่งไปเบื้องหน้าอีกครั้งราวกับสิ้นหวัง
…
ในอาราม ซูอี้ผู้ทอดร่างอยู่บนเก้าอี้หวายลืมตาขึ้นเงียบ ๆ
โยวเสวี่ยส่งไหสุราที่อุ่นไว้แล้วให้ “สหายเต๋า มีผู้ฝึกตนวิถีปีศาจสองคน ผู้ฝึกตนวิถีผีสองคน และผู้ฝึกตนวิถีมารอีกหนึ่ง พวกเขาล้วนให้ความรู้สึกถึงบรรยากาศผิดบาป ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคือผู้ฝึกตนวิถีมารในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นกลาง ในขณะที่อีกสี่คนอยู่ในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นต้น”
ซูอี้รับไหสุรามาเปิดจิบ และกล่าวว่า “เมื่อเกิดสงคราม ที่แห่งนี้จะถูกทำลายเป็นแน่…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ โยวเสวี่ยก็เข้าใจแล้ว นางลุกขึ้นทันที “ข้าจะให้พวกเขาไปสู้กันที่อื่น เพื่อไม่ให้รบกวนการพักผ่อนของเรา”
ซูอี้ถูหว่างคิ้วกล่าว “คนเมื่อครู่นี้เป็นจักรพรรดิจากตระกูลสิงแห่งกรมอสุรา…”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
โยวเสวี่ยแย้มยิ้มและพยักหน้า
ใบหน้าของนางใสกระจ่างโดดเด่น และเมื่อแย้มยิ้มก็ดูสว่างไสวกินใจผู้คนเป็นพิเศษ
‘ใต้เท้าโยวเสวี่ย’ ผู้เป็นที่เคารพในเผ่าปีศาจงูมาหลายต่อหลายรุ่น เมื่ออยู่ต่อหน้าซูอี้ นางกลับดูอ่อนโยนสงบเสงี่ยมและเห็นอกเห็นใจยิ่ง โดยไม่ต้องให้ซูอี้กล่าววาจาใด นางก็เข้าใจปรุโปร่งแล้ว
หากเหล่าบรรพชนเผ่าปีศาจงูมาเห็นเข้า ก็มิอาจรู้ได้ว่าพวกเขาจะคิดเช่นไร
ซูอี้กล่าว “เจ้าทำเองนะ ข้าไม่ได้ขอให้เจ้าทำนะ”
โยวเสวี่ยเม้มปาก ก่อนจะยิ้มและส่งเสียงรับในลำคอ
จากนั้นจึงหันเดินออกไปข้างนอกอาราม
ทันทีที่นางออกไปยังข้างนอกอาราม รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงสาวก็เลือนหาย ใบหน้างามนิ่งเฉยเย็นชา คู่เนตรพร่างพราวฉายแววกดดันเย็นเยียบ
ทุกการกระทำยิ่งใหญ่สง่างามดุจเทพ!
…
ตู้ม!
นอกประตูอารามเกิดสงครามขึ้นแล้ว
จักรพรรดิทั้งห้าร่วมมือกันโจมตีชายในชุดจีน
สถานการณ์รบไม่อาจบรรยายได้ว่าดุดัน ทว่าสำหรับบุรุษผู้มาจากตระกูลสิงนั้นเรียกได้ว่าแสนโศก
จักรพรรดิทั้งห้าตั้งใจจะจับเป็นเขา แม้จะถือไพ่เหนือกว่า แต่ก็ไม่ได้โจมตีอย่างไร้ปรานี พวกเขาทำเพียงล้อมตัวเพื่อกดดันเขา
แม้ชายในชุดจีนจะตอบโต้รุนแรง แต่เขาก็ไม่อาจฝ่าวงล้อมไปได้ ในทางกลับกัน บาดแผลกลับปรากฏบนร่างของเขามากขึ้นทุกที
ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ ร่างของเขาก็เต็มไปด้วยแผลโชกเลือด
“สิงอวิ๋นเจี่ย ไฉนจึงกระเสือกกระสนเพียงนี้? หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พื้นฐานการฝึกฝนของเจ้าจะบาดเจ็บสาหัสนะ”
ระหว่างศึก ชายหนุ่มผมสีเงินในอาภรณ์สีม่วงรำพึงเบา ๆ
ชายที่มีนามว่าสิงอวิ๋นเจี่ยไม่กล่าววาจาใด
แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสจนใบหน้าไร้สี ทว่าสีหน้าของเขายังคงแข็งกร้าว
สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มผมสีเงินในอาภรณ์สีม่วงขมวดคิ้ว “ข้าไม่อยากให้ดื้อดึงเช่นนี้จริง ๆ เจ้าก็น่าจะรู้ว่ายามนี้ ทั่วโลกหล้าไร้ผู้ใดช่วยเจ้าได้ ข้าแนะนำให้เจ้าหยุดดิ้นรนเถอะ”
ทันใดนั้นเอง เสียงอันเย็นเยียบดุจน้ำแข็งก็ดังขึ้น “พวกเจ้าก่อเรื่องกันพอหรือยัง?”
เมื่อเสียงนั้นดังขึ้น วาจาแต่ละคำเป็นดั่งอสนีทิพย์ ซึ่งสร้างความสั่นสะท้านต่อหัวใจห้าจักรพรรดิจนสั่นระริก
เมื่อเสียงนั้นกังวานก้อง พลังมหาวิถีมืดมนดุจรัตติกาลพลันปกคลุมโลกา และตรึงร่างของตัวตนขอบเขตจักรพรรดิทั้งห้าไว้กับที่
เป็นพลังอันร้ายกาจนัก!
พวกเขาทั้งห้าหลบไปด้านข้างด้วยสัญชาตญาณเอาตัวรอดที่ร้องเตือนขึ้นมา
ตู้ม!
จุดที่พวกเขาเคยยืนอยู่จมหายไปในความมืด มันพังทลายหายไปเงียบ ๆ
ภาพนี้ทำให้คณะของชายหนุ่มผมสีเงินในอาภรณ์สีม่วงถึงกับหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง
ไกลออกไปบนอากาศ ร่างอรชรร่างหนึ่งกำลังยืนอยู่ข้างกายชายในชุดจีน
นางมัดผมเป็นมวยสูง เอวบางคอระหงสดสวย ใบหน้าของนางดูราวหญิงสาวอายุสิบห้าสิบหกปี
ทว่าเมื่อจ้องมอง นางกลับดูยิ่งใหญ่สูงส่งราวเทวาแห่งค่ำคืนนิรันดร์
สายพลังมหาวิถีมืดหม่นกระหวัดล้อมกายนาง ทำให้บรรยากาศรอบ ๆ กายนางยิ่งลึกลับกดดัน
ยามนี้ กระทั่งชายหนุ่มจากตระกูลสิงยังตกใจ
เขาวางแผนต่อสู้จนตัวตายไว้แล้ว ทว่าใครเล่าจะคิดว่าในยามคับขันที่สุด เขาจะถูกช่วยชีวิตไว้โดยหญิงสาวที่บังเอิญพบพาน!
นางเป็นผู้แข็งแกร่งจากหนใดกัน?
ไฉนจึงมีอำนาจน่าหวั่นเกรงเพียงนี้?
แล้วเขาก็ตระหนักขึ้นมาว่าเมื่อตนเข้าสู่วิหารก่อนหน้านี้ หูตาของตนฝ้าฟางเสียจนไม่ทันสังเกตว่าสตรีผู้ติดตามข้างกายชายหนุ่มชุดเขียวราวสาวใช้ตรงหน้า จะเป็นยอดฝีมือเร้นกายมา!
“ไปรักษาแผลของเจ้าเสีย”
โยวเสวี่ยหันไปกล่าวกับเขาอย่างเย็นชา
ทว่าชายหนุ่มกลับอดลังเลไม่ได้ “แต่พวกเขา…”
“คนใกล้ตายห้าคน มีสิ่งใดให้ใส่ใจ?”
โยวเสวี่ยกล่าวลอย ๆ
ชายในชุดจีน “…”
ไกลออกไป จักรพรรดิทั้งห้าต่างตื่นตะลึง พวกเขาจะไม่เห็นได้เช่นไรว่าสตรีผู้มีกิริยาสูงส่งเย็นชาดุจเทพตรงหน้าเป็นตัวตนอันร้ายกาจทรงพลังยิ่ง?
ชายหนุ่มผมสีเงินในอาภรณ์สีม่วงสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวว่า “สหายท่านนี้โปรดคิดให้ดีก่อน หากเข้ามาพัวพันกับ ‘วัดเสวียนหมิง’ ของเรา…”
“หนวกหู”
โยวเสวี่ยขมวดคิ้ว จากนั้นร่างของนางก็หายวับไปในอากาศธาตุ
อึดใจต่อมา นางก็ปรากฏตรงหน้าชายหนุ่มผมสีเงินในอาภรณ์สีม่วง และหัตถ์เรียวกระจ่างดุจหยกของนางสะบัดออก
ตู้ม!
ต่อมาก็ปรากฏแสงจาง ๆ ขึ้น
ร่างของชายหนุ่มผมสีเงินในอาภรณ์สีม่วงชะงัก ดวงตาเบิกกว้าง “พลังสงบแสงเทียน เจ้าคือ…”
เสียงอันเต็มไปด้วยความตกใจของเขาหยุดลงกะทันหัน
ร่างของเขาพลันระเบิดแหลกเป็นเถ้าถ่านเล็กจ้อยละล่องลม
ถูกทำลาย!
เพียงหนึ่งสะบัดมือ จักรพรรดิในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นกลางก็สลายเป็นเถ้า!
ภาพอันอหังการชอบกลนี้ทำให้ชายในชุดจีนตะลึงใจลอย
ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิทั้งสี่ที่เหลืออยู่ต่างหลั่งเหงื่อเย็นเฉียบ วิญญาณหลุดลอย
“ไป!”
พวกเขาหันหลังวิ่งหนี
ไม่มีผู้ใดกล้าอยู่ต่อ
โยวเสวี่ยส่ายหน้าเล็กน้อยพลางกล่าวเบา ๆ “สายไปแล้ว”
เมื่อนางยกมือขึ้น
ตู้ม!
โลกาพลันสะท้านรุนแรง
เส้นความมืดที่ดูราวลำแสงพลันปรากฏขึ้นเส้นแล้วเส้นเล่า
ภายใต้สายตาไม่อยากเชื่อของชายในชุดจีน เขาเห็นตัวตนระดับจักรพรรดิทั้งสี่คนที่เผ่นหนีไปไกล แล้วร่างก็ระเบิดกลายเป็นเถ้าปลิดปลิวทั่วนภาไปทีละคน
นับแต่ต้นจนจบ มันสายเกินไปหากจะหลบเลี่ยงต่อต้าน!
ให้ความรู้สึกราวตบตีแมลงวันโง่เง่าสี่ตัว
ภาพนี้ทำให้ผู้คนในขอบเขตจักรพรรดิเยี่ยงชายในชุดจีนไม่อาจสะกดความตกใจและสงบใจลงได้เลย
ต้องมีระดับฝึกฝนน่ากลัวเพียงใดจึงจะสามารถฆ่าจักรพรรดิได้ดุจฉีกภาพวาดเช่นนี้?
โยวเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมองไปบนฟ้า เมฆฝนค่อย ๆ รวมตัว พิรุณกำลังจะโปรยปรายอีกครั้ง
หญิงสาวละสายตามากล่าวกับชายในชุดจีนว่า “คุณชายของข้าน่าจะมีบางอย่างอยากถามเจ้า จงมากับข้า”
กล่าวจบ โยวเสวี่ยก็เดินกลับไปที่อาราม
บุรุษผู้นั้นถูกปลุกให้ตื่นจากความตะลึง
ตู้ม!
ไม่นานนัก อสนีบาตฟ้าร้อง พิรุณโปรยหนักก็กลับมาอีกครั้ง
ด้านในโถงอาราม
เมื่อเขาเดินเข้ามา ก็พบชายหนุ่มในชุดเขียวทอดร่างอย่างเกียจคร้าน ราวกับไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่เกิดขึ้น ณ ข้างนอกอารามเมื่อครู่เลย
และสตรีซึ่งก่อนหน้านี้เป็นดุจเทพแปรเปลี่ยนเป็นดั่งสาวใช้ผู้อ่อนโยนนุ่มนวล นางนั่งสงบเสงี่ยมที่ข้างกองไฟ
ภาพนี้ทำให้ผู้พบเห็นมองค้าง
นี่คือสิ่งที่เขาเห็นยามแรกมาถึงในคืนนี้
ทว่ายามนี้ ชายในชุดจีนไม่กล้าคิดว่าชายหนุ่มชุดเขียวและสตรีในชุดกระโปรงเรียบ ๆ ทั้งสองเป็นคนธรรมดาอีกต่อไป
“ผู้น้อยสิงอวิ๋นเจี่ยขอขอบคุณทั้งสองท่านที่ช่วยชีวิต!”
ชายในชุดจีนก้าวออกมาโค้งตัว
เขาบาดเจ็บสาหัสและโชกเลือด แต่สีหน้าของเขาเปี่ยมด้วยความซาบซึ้งและเคารพ
ซูอี้กล่าว “เจ้าไปรักษาตัวก่อน ข้าจะถามไถ่ในภายหลัง”
ชายในชุดจีนพยักหน้า “ได้!”
เขานั่งลงขัดสมาธิที่มุมหนึ่งของโถง
ซูอี้กล่าวกับโยวเสวี่ย “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงไม่อยากพาเจ้าไปเมืองมืดด้วย?”
ก่อนจะรอคำตอบ ซูอี้ก็รำพึงอย่างผิดหวังขึ้นก่อน “เพราะเมื่อมีเจ้าอยู่ ข้าจะไม่ค่อยมีโอกาสได้สังหารศัตรูลับคมวิชาดาบ แต่กลับเหมือนพ่อหนุ่มหน้าขาวเกาะสตรีกินแทน ช่างน่าเบื่อนัก”
โยวเสวี่ยผงะตะลึง
นางเม้มปาก จากนั้นก็หรี่คู่เนตรงามพร่างดาวของนางลงทันที ทว่าสุดท้ายก็ไม่อาจกลั้นยิ้มไว้ได้