บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 895: วัดเสวียนหมิง
ตอนที่ 895: วัดเสวียนหมิง
ซูอี้ผิดหวังเล็กน้อย
เมื่อไม่กี่วันก่อน การฝึกฝนของเขาเข้าสู่ขอบเขตวงล้อวิญญาณขั้นกลางได้สำเร็จ
การควบคุมแก่นแท้วิถีวิญญาณ ‘เอกกะ’ เองก็มาถึงขั้นกลางเช่นกัน
จากประสบการณ์ในอดีตชาติของเขา จึงสามารถคาดเดาได้ว่าด้วยการฝึกฝนในปัจจุบัน เขาจะสามารถสังหารตัวตนในขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นกลางได้แล้ว!
น่าเสียดายที่เขายังไร้โอกาสพิสูจน์ด้วยตนเอง
“เจ้ายังจะยิ้มอีกหรือ?”
ซูอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย
รอยยิ้มบนใบหน้าของโยวเสวี่ยเลือนหายทันที และกล่าวอย่างมีชั้นเชิง “สหายเต๋า ในภายหน้า หากเจ้าให้ข้าลงมือ ข้าก็จะลงมือ แต่หาไม่ ข้าจะไม่ลงมือนะ”
กระทั่งถ่อมตนเล็กน้อย
เหตุผลที่ทำให้สิงอวิ๋นเจี่ยเข้าใจผิดคิดว่านางเป็นสาวใช้เมื่อกาลก่อนก็เพราะนางว่าง่ายเกินไปยามอยู่ข้างกายซูอี้ จึงทำให้ผู้คนไม่อาจคาดได้เลยว่ายามต่อสู้ นางจะน่ากลัวได้ดุจเทพ
ซูอี้กล่าว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าพุทธศาสนามองคำว่า ‘สถานการณ์ระทึกใจ’ เช่นไร?”
โยวเสวี่ยถามอย่างถ่อมตน “สหายเต๋าโปรดชี้แนะด้วย”
“สำหรับผู้ฝึกตน มีเพียงการตัดทุกพันธะและเผชิญกับความเป็นความตายบนเส้นทางฝึกฝนเท่านั้นที่จะทำให้คนผู้นั้นสัมผัสถึงความน่ากลัวของความเป็นความตายได้อย่างลึกล้ำ”
ชายหนุ่มยังคงกล่าวต่อ “ภายใต้การกระตุ้นใจอันน่าหวาดหวั่นนี้ อารมณ์และจิตวิญญาณจะยุ่งเหยิง เพียงพอที่จะดึงศักยภาพของผู้ฝึกตนออกมาขัดเกลาวิญญาณให้แปรเปลี่ยนสอดคล้องกับจุดประสงค์การกลั่นตนให้บริสุทธิ์ได้”
“นี่ยังเป็นผลดีจากการลับคมตนเองในการต่อสู้ด้วย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โยวเสวี่ยพลันกล่าวว่า “ที่แท้อักษรทั้งสี่ก็สามารถอธิบายได้เช่นนี้”
ซูอี้กล่าวต่อ “ทว่าหากเจ้ารู้ว่าตนเองจะชนะเสมอไม่ว่าอันตรายจะยิ่งใหญ่เพียงไร จะนับเป็นสถานการณ์ระทึกใจอันสามารถลับคมตนเองได้เช่นไร?”
แพขนตาของโยวเสวี่ยสั่นไหวน้อย ๆ สีหน้าหวาดระแวงปรากฏบนใบหน้างาม พลางกล่าวอย่างน่าสงสาร “เจ้าคิดว่าข้าชะลอการฝึกฝนของเจ้าหรือ?”
ซูอี้กล่าวอย่างสุขุม “อย่าบอกว่าเป็นเจ้าเลย โลกนี้ ไม่มีผู้ใดถ่วงการฝึกฝนของข้าได้”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เขาก็หันไปกล่าวกับโยวเสวี่ยว่า “อีกอย่าง เจ้าคือ ‘เทพ’ ในสายตาผู้คนในเผ่าปีศาจงู บุคลิกเย็นชาหยิ่งยโส ไฉนต้องลดตัวปฏิบัติต่อข้าอย่างเชื่อฟังเช่นนี้ด้วย?”
โยวเสวี่ยเงียบไปครู่หนึ่ง
ใบหน้าดุจนางสวรรค์ของหญิงสาวดูอ่านยาก
เนิ่นนานจากนั้น นางก็ก้มหัวลงกล่าวเบา ๆ “ข้าไม่สนหรอก”
ซูอี้ “…”
เขาไม่พูดอันใดอีก ทำเพียงเอนกายหลับตาลงบนเก้าอี้หวาย
ยามเมื่อรุ่งสาง พิรุณโปรยหนักตลอดคืนก็หยุดลงเสียที แสงอรุณจาง ๆ ขับรัตติกาลอันเหมือนน้ำหมึก สาดไล้ทั่วโลกหล้า
ณ ข้างนอกอาราม หมอกยามเช้าปกคลุม ความชื้นหนักหนา นาน ๆ ครั้งจะมีเสียงสกุณาขับร้องจากในป่าเขาดุจเสียงสวรรค์
ในโถงหลัก ซูอี้ไถ่ถามชายในชุดจีนไปพลางดื่มด่ำกับมื้อเช้าซึ่งโยวเสวี่ยบรรจงตระเตรียม
จริงดังคาด ชายในชุดจีนที่มีนามว่าสิงอวิ๋นเจี่ยผู้นี้มาจากตระกูลสิงโบราณซึ่งเคยดูแลกรมอสุรา
จักรพรรดิทั้งห้าผู้ไล่ล่าสิงอวิ๋นเจี่ยเมื่อคืนนี้มาจากขุมกำลังนาม ‘วัดเสวียนหมิง’
“วัดเสวียนหมิง? ไฉนข้าจึงไม่เคยได้ยินชื่อขุมกำลังนี้มาก่อนเลย?”
ซูอี้ตกใจ
สิงอวิ๋นเจี่ยผู้ยืนอยู่ด้านข้างเล่าเรื่องทั้งหมดออกมา
ที่แท้ วัดเสวียนหมิงก็เป็นขุมกำลังลึกลับซึ่งปรากฏขึ้นในเขตนทีปรภพในคืนเทศกาลหมื่นโคมเมื่อเดือนก่อน
ที่มาของขุมกำลังนี้ลึกลับ แต่ภูมิหลังของมันน่ากลัวอย่างยิ่ง พวกเขาใช้เวลาเพียงสามวันก็สยบสำนักชั้นหนึ่งอันแข็งแกร่งที่สุดเจ็ดแห่งในเขตนทีปรภพได้แล้ว!
กลุ่มเต๋านี้เชื่อใน ‘เทพยมบาล’ และยอดฝีมือในสำนัก ไม่ว่าจะมีระดับฝึกฝนอยู่ในขอบเขตใด พวกเขาล้วนเรียกตนเองเป็น ‘ศิษย์แห่งเทพยมบาล’
จวบจนยามนี้ ผ่านไปเพียงหนึ่งเดือน วัดเสวียนหมิงก็ได้กลายเป็นกลุ่มเต๋าอันแข็งแกร่งที่สุดในขอบเขตนทีปรภพไปแล้ว!
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูอี้ก็ขมวดคิ้วน้อย ๆ
ราวกับเขาจำเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
ไม่นานมานี้ เมื่อถึงค่ำคืนเทศกาลหมื่นโคม เมืองตาข่ายม่วงถูกทัพวิญญาณร้ายบุกรุกอย่างรุนแรง และยามนั้น อีกาเก้ามืดมิดเองก็พยายามบุกสู่ซากโบราณกองตัดสินเพื่อขโมยพู่กันพิพากษา ซึ่งเป็นสมบัติประจำตระกูลชุย
และยามนั้นเอง ซูอี้ก็ได้พบทูตรับใช้กาฬราตรีผู้สมคบคิดกับอีกาเก้ามืดมิด!
ในสมัยโบราณ ทูตรับใช้กาฬราตรีนั้นถือว่าเป็นข้ารับใช้ยมบาล และเศษขนที่อีกาเก้ามืดมิดทิ้งไว้ก็เจือปราณของ ‘วงล้อแห่งชะตา’
วงล้อแห่งชะตาคือหนึ่งในเก้าวัตถุต้องห้ามซึ่งอยู่ในมือยมบาลมานับแต่โบราณ!
จากสิ่งนี้ ซูอี้ก็คาดว่ายมบาลผู้เคยทำให้ตัวตนนับร้อย ๆ ล้านในภูมิมืดมิดหวาดกลัวในสมัยโบราณจะยังคงมีชีวิตอยู่
ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นไปได้สูงมากว่าเขาจะซุกซ่อนในเมืองมรณะ!
ทว่ายามนี้ เมื่อขุมกำลังลึกลับอันแข็งแกร่งเยี่ยง ‘วัดเสวียนหมิง’ ปรากฏขึ้นในเขตนทีปรภพอย่างกะทันหัน และยอดฝีมือทั้งหมดในสำนักต่างเรียกตัวเองว่า ‘ศิษย์แห่งเทพยมบาล’
นี่ทำให้ซูอี้สงสัยว่า ‘เทพยมบาล’ ที่ว่าจะเป็น ‘ยมบาล’ ผู้อยู่รอดมาแต่โบราณหรือไม่!
“เหตุใดเจ้าจึงถูกไล่ล่า?”
ซูอี้ถาม
สิงอวิ๋นเจี่ยถอนใจยาว ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “หากให้กล่าวเรื่องนี้ สหายเต๋าก็รู้ว่าในคืนเทศกาลหมื่นโคม เมืองมืดเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวง เส้นทางหยินหยางเสียหายหนัก และหนึ่งในผู้อาวุโสในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำของตระกูลข้าก็ติดอยู่ในนั้น”
“เหตุที่ข้ามายังเขตนทีปรภพครานี้ก็เพื่อตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในเมืองมืด ทว่าคาดไม่ถึงเลยว่าหลังจากเข้าเมืองมรณะไป ข้าจะถูกเหล่ายอดฝีมือจากวัดเสวียนหมิงหมายหัว ทั้งยังพยายามจับเป็นข้า”
“หากไม่ได้พบสหายเต๋าทั้งสองครานี้ เกรงว่าข้าคงได้เสียชีวิตเสียแล้ว”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ ซูอี้ก็อดกล่าวมิได้ว่า “งั้นก็หมายความว่า กระทั่งเจ้าก็ไม่เข้าใจว่าไฉนจึงถูกล่าหรือ?”
สิงอวิ๋นเจี่ยพยักหน้า
ซูอี้กล่าวอย่างครุ่นคิด “พวกเขาต้องมีแผนอื่นในการทำเช่นนี้แน่ และอาจหมายหัวคนมากกว่าหนึ่ง”
สิงอวิ๋นเจี่ยกล่าวราวเพิ่งนึกได้ “จะว่าไป ไม่นานหลังจากที่ข้าเข้ามาในเขตนทีปรภพ ก็ได้ยินข่าวลือหนึ่งว่าไม่นานมานี้ วัดเสวียนหมิงวางแผนทำการใหญ่เพื่อให้ ‘เทพยมบาล’ ที่ตนนับถือจุติสู่โลกาอย่างแท้จริง”
ซูอี้สะดุ้ง
ข่าวลือนี้ย้ำเตือนเขาถึงความสงสัยในคราแรก
คราก่อนเมื่อเทศกาลหมื่นโคม เหตุที่อีกาเก้ามืดมิดและทูตรับใช้กาฬราตรีอยากชิง ‘พู่กันพิพากษา’ ไปก็คงเป็นเพราะต้องการใช้สมบัตินี้แปรเปลี่ยนกฎเกณฑ์ในเมืองมรณะ เพื่อช่วยให้ ‘ยมบาล’ พ้นจากวิกฤตในเมืองมรณะได้
และยามนี้ก็มีข่าวลือว่าวัดเสวียนหมิงคิดการใหญ่ เพื่อให้ ‘เทพยมบาล’ จุติ และสอดคล้องกับการพยายามของอีกาเก้ามืดมิดในการช่วยเหลือ ‘ยมบาล’!
โยวเสวี่ยผู้ตั้งใจฟังอยู่กล่าวอย่างขัดเคืองใจเล็กน้อย “หากข้ารู้ว่าเรื่องพวกนี้มีความลับซุกซ่อน คงไม่ฆ่าคนเหล่านั้นเมื่อคืน”
ซูอี้กล่าว “ไม่เป็นไรหรอก แค่จับตัวคนใหญ่คนโตจากวัดเสวียนหมิงให้ได้สักคน ก็ได้รู้สิ่งที่อยากรู้แล้ว”
โยวเสวี่ยเม้มปาก ก่อนจะกล่าวยิ้ม ๆ “นั่นสินะ”
สิงอวิ๋นเจี่ยอดกล่าวเตือนไม่ได้ “ท่านทั้งสอง ภูมิหลังของวัดเสวียนหมิงนั้นเกินคาดเดา ที่มาลึกลับ พวกเขาลือกันว่ามียอดฝีมือในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำแข็งแกร่งน่าหวาดหวั่นอยู่ในนั้น ท่านต้องระวังตนนะ”
ซูอี้ยิ้ม “นี่ชักจะน่าสนใจขึ้นอีกแล้ว”
สิงอวิ๋นเจี่ยเงียบไป
เขายังคงจำความสามารถร้ายกาจที่โยวเสวี่ยแสดงเมื่อคืนได้
หลังพูดคุยกันสักพัก สิงอวิ๋นเจี่ยก็ลุกขึ้นขอตัวลา
ส่วนซูอี้และโยวเสวี่ยก็ไม่ได้รีรอและออกเดินทางต่ออีกครั้งเช่นกัน
…
เมืองหิมะสวรรค์
เป็นเมืองโบราณขนาดใหญ่ซึ่งอยู่รอดมาแสนนานจวบจนปัจจุบัน
ในเขตนทีปรภพ เมืองหิมะสวรรค์นี้โด่งดังมาก เพราะสถานที่สามร้อยลี้ทางบูรพาของเมืองเป็นที่ตั้งของ ‘เทือกเขาห้อยหัว’
และเทือกเขาห้อยหัวนี้เองที่เป็นทางเข้าสู่เมืองมรณะ!
สามวันถัดมา ทศทิศมัวหมอง
ข้างนอกเมืองหิมะสวรรค์
ร่างของซูอี้และโยวเสวี่ยปรากฏขึ้นไกล ๆ
“นับแต่อดีตจนปัจจุบัน ไม่ว่าผู้ใดที่ไปยังเมืองมรณะจะต้องผ่านเมืองหิมะสวรรค์ กระทั่งจักรพรรดิก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น จึงกล่าวได้ว่าเมืองนี้ได้เห็นผู้ฝึกตนมากมายนับแต่โบราณกาล”
ซูอี้กล่าว “โชคร้ายที่ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ที่ไปยังเมืองมรณะล้วนถูกฆ่าตายในนั้น มีเพียงไม่ถึงร้อยคนที่สามารถรอดกลับมาสู่เมืองหิมะสวรรค์ได้จริง ๆ”
“ไปกันเถอะ ไปหาช่างตีเหล็กกันก่อน”
เขากล่าวพลางเดินไปทางเมือง
“ช่างตีเหล็ก?”
โยวเสวี่ยงุนงง
ซูอี้กล่าว “เจ้าจะรู้เมื่อไปถึง”
เมืองหิมะสวรรค์ยามพลบค่ำคึกคักรุ่งเรืองอย่างยิ่ง
และยังมีตัวตนประหลาดจากชนเผ่าต่าง ๆ อีกด้วย
“ไฉนเมืองนี้จึงรุ่งเรืองนัก?”
โยวเสวี่ยอดแปลกใจมิได้
แต่เดิม นางคิดว่าในเมื่อเมืองแห่งนี้อยู่ติดสถานที่ต้องห้ามอันโหดเหี้ยมอย่างเทือกเขาห้อยหัว จึงน่าจะมีผู้คนมาที่นี่เพียงเล็กน้อย
ทว่าเมื่อนางมาถึงจริง ๆ ก็พบว่าภาพที่เห็นแตกต่างจากที่นางคิดโดยสิ้นเชิง
“เมืองมรณะคือสถานที่ต้องห้ามอันเลื่องชื่อที่สุดในภูมิมืดมิด และยังเป็น ‘สถานที่แสวงโอกาส’ ในสายตาของเหล่าผู้ฝึกตนในโลกหล้า ทุกวันจะมีผู้ฝึกตนแห่กันมาที่นี่จากทั่วทุกมุมโลก”
ซูอี้กล่าวด้วยเสียงเลื่อนลอย “แน่นอนว่าพวกเขากล้ามาที่นี่จริง ๆ ทว่าสุดท้ายก็มีเพียงน้อยคนที่จะไปยอมรับความเสี่ยงในเมืองมรณะ และผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ก็มาสู่เมืองหิมะสวรรค์เพื่อแลกเปลี่ยนพูดคุยกันมากกว่า”
โยวเสวี่ยตะลึง “ทำธุรกิจ?”
ซูอี้พยักหน้า “บอกเช่นนั้นก็ได้”
ต้องทราบว่าพื้นที่ของหกเขตสิบสามแดนดิน แต่ละแห่งเทียบได้กับหนึ่งโลกกว้าง
สำหรับผู้ฝึกตนทั่วไป การจะได้รับทรัพยากรฝึกตนจากดินแดนอื่น ๆ ก็ต้องเดินทางไกล
ทว่าที่เมืองหิมะสวรรค์นี้แตกต่างไป เพราะทุกวันจะมีผู้ฝึกตนจากทั่วสารทิศมาเยือน กระทั่งจักรพรรดิยังพบเห็นได้บ่อยครั้ง
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จึงกระตุ้นให้เกิดการติดต่อสื่อสารและแลกเปลี่ยนระหว่างผู้ฝึกตนในแดนดินต่าง ๆ
มันยังทำให้เหล่าผู้ฝึกตาได้เปิดหูเปิดตา ทัศนาสมบัติหายากและทรัพยากรฝึกฝนจากทั่วทุกมุมโลก ยากที่พ่อค้าจะหนีความรุ่งเรืองได้
โยวเสวี่ยกล่าวอย่างสนอกสนใจ “หากเจ้ากล่าวเช่นนั้น ก็หมายความว่าข้าจะสามารถซื้อสิ่งของจากทั่วโลกได้ที่เมืองหิมะสวรรค์กระนั้นหรือ?”
สตรีนั้นดูจะมีชอบซื้อของมาแต่เกิด
ในขณะที่ซูอี้กำลังจะกล่าวอันใด เขาพลันเห็นร่างสตรีอันคุ้นตาเดินอยู่บนถนนไม่ไกลนัก และอดตกใจไม่ได้
แทบจะในขณะเดียวกัน สตรีนางนั้นก็มองมาราวกับรู้ตัว
เมื่อนางได้เห็นหน้าซูอี้ชัด ๆ สตรีผู้นั้นก็อดตกใจไม่ได้ และสีหน้าของนางก็ดูไม่สบายใจเล็กน้อย