บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 896: ร้านตีเหล็ก
นางเป็นสตรีในอาภรณ์สีเทา เส้นผมยาวขมวดเป็นมวย รูปลักษณ์โดดเด่น สง่างามบริสุทธิ์
ทว่าการวางตัวของนางกลับเย็นชาเกินไป
กระทั่งโยวเสวี่ยยังสังเกตได้ว่าสตรีชุดเทาดูไม่ค่อยสบายใจนัก จึงอดสงสัยไม่ได้
ทว่า ก่อนที่นางจะทันตั้งตัว สตรีชุดเทาก็หันหลังรีบร้อนจากไป
“สหายเต๋า สตรีผู้นี้คือผู้ใดหรือ?”
โยวเสวี่ยถามอย่างงุนงง
ปกติแล้วนางย่อมไม่สนใจ
ทว่าสตรีชุดเทาผู้นี้จำซูอี้ได้อย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นโยวเสวี่ยจึงอดถามไม่ได้
“นักบวชลำดับสามแห่งโถงหลงลืม ชื่อหยวนหลินหนิง”
โยวเสวี่ยชะงักไปเล็กหนึ่ง และอดเสสรวลไม่ได้ “นางควรรู้สึกเป็นเกียรตินะ เพราะถึงอย่างไร จักรพรรดิในโลกหล้าก็ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะถูกสหายเต๋าเอาชนะ”
ซูอี้ขมวดคิ้ว กระทั่งคนที่ควรจะถูกสั่งกักตัวในโถงหลงลืมยังมาที่เมืองหิมะสวรรค์นี้ด้วยหรือ?
ทันใดนั้น เขาก็ส่ายหน้าหยุดคิดถึงมัน
…
ในหอแห่งหนึ่ง
หลูฉางหมิงขมวดคิ้วไร้วาจา
“ท่านอาจารย์ลุง”
หยวนหลินหนิงเดินเข้ามา
หลูฉางหมิงกล่าวอย่างกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา “เป็นเช่นไรบ้างหลินหนิง?”
หยวนหลินหนิงกล่าวอย่างเป็นกังวล “ข้าไปพบผู้อาวุโส ‘อวิ๋นซงจื่อ’ แห่งวังธารเหลืองมา จากที่อีกฝ่ายกล่าว ช่วงนี้มีจักรพรรดิหายตัวไปอย่างลึกลับมากมายจริง ๆ และสงสัยจะเกี่ยวข้องกับวัดเสวียนหมิงเจ้าค่ะ”
วัดเสวียนหมิง!
หน้าของหลูฉางหมิงเปลี่ยนสีเล็กน้อย “งั้นการหายตัวไปของนักบวชลำดับที่สองก็เกี่ยวข้องกับวัดเสวียนหมิงด้วยหรือ?”
หยวนหลินหนิงพยักหน้ากล่าว “น่าจะเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ”
“แล้ววัดเสวียนหมิงต้องการทำอันใดแน่?”
แววตาของหลูฉางหมิงวูบไหวไม่แน่ใจ
ไม่นานมานี้ เขาพานักบวชลำดับสองเซียวเป๋ยเหย่และนักบวชลำดับสามหยวนหลินหนิงจากโถงหลงลืมสู่เขตนทีปรภพ เพื่อจะไปตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของเมืองมืดในเมืองมรณะ
ทว่าหลังจากมาถึงเมืองหิมะสวรรค์ได้ไม่นานนัก นักบวชลำดับสองเซียวเป๋ยเหย่ผู้ออกไปถามไถ่สถานการณ์กลับหายตัวไปอย่างเป็นปริศนา!
จวบจนยามนี้ ผ่านมาสามวัน เซียวเป๋ยเหย่ก็ยังไม่กลับมา!
และจากคำกล่าวของหยวนหลินหนิง ก็เป็นไปได้สูงว่าเซียวเป๋ยเหย่จะตกสู่เงื้อมมือของวัดเสวียนหมิง แล้วจะไม่ทำให้หลูฉางหมิงแปลกใจได้เช่นไร?
“อาจารย์ลุง เราควรทำเช่นไรต่อเจ้าคะ?”
หยวนหลินหนิงถาม
หลูฉางหมิงเงียบไป
นับแต่เข้ามาในเขตนทีปรภพ เขาก็ได้ข่าวเกี่ยวกับ ‘วัดเสวียนหมิง’ มามากกว่าหนึ่งหน
เป็นที่ชัดเจนว่าในยามนี้ ขุมกำลังลึกลับซึ่งเถลิงอำนาจในเร็ว ๆ นี้ร้ายกาจเพียงไร
จากข่าวลือทุกวันนี้ ขุมกำลังชั่วร้ายชั้นหนึ่งแทบทั้งหมดในเขตนทีปรภพล้วนสยบแก่วัดเสวียนหมิงแล้ว!
เรื่องนี้น่าหวาดหวั่นนัก
ครู่ต่อมา หลูฉางหมิงก็รำพึงเบา ๆ “หากการหายตัวไปของนักบวชลำดับสองเกี่ยวพันกับวัดเสวียนหมิงจริง งั้นด้วยกำลังของเจ้าและข้า เกรงว่าคงไม่อาจช่วยนักบวชลำดับสองได้เลย”
หยวนหลินหนิงอดกล่าวมิได้ว่า “อาจารย์ลุง ไฉนเราไม่ขอความช่วยเหลือจากโถงหลงลืมเล่า?”
หลูฉางหมิงส่ายหน้ากล่าว “ไม่ได้ ยามนี้เราไม่อาจตัดสินได้ว่าการหายตัวไปของนักบวชลำดับสองเกี่ยวพันกับวัดเสวียนหมิงจริงหรือไม่”
“นอกจากนั้น จุดประสงค์ของเราคือเดินทางไปยังเมืองมรณะเพื่อถามไถ่สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างมหันต์ของเมืองมืด ยามนี้จึงไม่ควรแตกตื่นเท่าใด”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เขาก็ตัดสินใจ “คืนรุ่งขึ้น จันทราสีแดงจะปรากฏเหนือฟากฟ้า ถึงยามนั้นเราจะเข้าสู่เทือกเขาห้อยหัว หากไม่เข้าประตูเมืองมรณะไปยามนั้น อย่างน้อยก็ต้องรออีกครึ่งเดือนกว่าจะเข้าสู่เมืองมรณะได้หนหน้า”
หยวนหลินหนิงกล่าว “อาจารย์ลุง ท่านตั้งใจจะไปเมืองมรณะก่อนหรือ?”
หลูฉางหมิงพยักหน้า “ใช่ ทูตข้ามนทีโม่เหิงติดอยู่ในเมืองมืด จนยามนี้ก็ไม่อาจรู้เป็นตาย ไม่ว่าอย่างไร เราก็ต้องสืบให้ทราบถึงสถานการณ์ในเมืองมืดก่อน”
ทูตข้ามนทีโม่เหิงคือตัวตนบรรพกาลแห่งโถงหลงลืมซึ่งเข้าสู่เมืองมืดตั้งแต่หลายพันปีก่อน
การเปลี่ยนแปลงอย่างมหันต์ของเมืองมืดทำให้เหล่าผู้อาวุโสในโถงหลงลืมต่างกังวลว่าจะเกิดอันตรายกับ ‘โม่เหิง’ ดังนั้นหลูฉางหมิง หยวนหลินหนิงและเซียวเป๋ยเหย่จึงมาถามไถ่สถานการณ์ด้วยกัน
หลูฉางหมิงกล่าวต่อ “ส่วนเรื่องของนักบวชลำดับสอง หากจะมาตรวจสอบเรื่องต่อจากนี้หลังกลับจากเมืองมรณะก็ยังไม่สายเกินไป”
หยวนหลินหนิงเป็นกังวล “อาจารย์ลุง ข้าไม่รู้ว่าทำไม แต่ในใจข้าสังหรณ์ไม่สู้ดีว่าเมืองมรณะจะเป็นดั่งตาพายุ ไม่อาจรู้ได้ว่าซุกซ่อนสิ่งเลวร้ายใดไว้ เรา…”
ก่อนจะทันพูดจบ หลูฉางหมิงก็ขัดขึ้น “หลินหนิง อย่าห่วงเลย ครานี้เพราะเกิดความเปลี่ยนแปลงมหันต์ของเมืองมืด จึงไม่อาจรู้ได้ว่ามีขุมกำลังใหญ่อย่างเราส่งยอดฝีมือไปตรวจสอบมากมายเพียงไร”
“และข้าก็ได้พบพวกผู้เฒ่าจากวังธารเหลือง ตำหนักเทพอัคคีกระจ่างและขุมกำลังอื่น ๆ พร้อมตัดสินใจลงมือด้วยกันหลังเข้าสู่เมืองมรณะ จะมีผู้ดูแลเจ้าระหว่างทาง”
จากนั้นหลูฉางหมิงก็จิบชา
หยวนหลินหนิงผ่อนคลายลงเล็กน้อย และกล่าวว่า “หากเป็นเช่นนั้นก็จะปลอดภัยขึ้นเยอะ”
เมืองมรณะคือสถานที่ต้องห้ามที่ทำให้จักรพรรดิหวาดกลัวอยู่สามส่วน
ทว่าหากมีกลุ่มผู้อาวุโสจากขุมกำลังใหญ่มากมายร่วมมือกัน คงไม่มีเหตุพลิกผันมากมายนัก
“อาจารย์ลุงเจ้าคะ”
หยวนหลินหนิงพลันนึกบางอย่างขึ้นได้
“ยังมีอันใดหรือ?”
หลูฉางหมิงถาม
ซูอี้!!
เมื่อได้ยินนามนี้ หลูฉางหมิงก็ผงะไปชั่วครู่ สีหน้าของเขาซับซ้อน เขาจะลืมชายหนุ่มผู้นี้ได้เช่นไร?
กาลก่อนที่โถงหลงลืม นักบวชสูงสุดต้องการเมล็ดพันธุ์แห่งคังชิงซึ่งอยู่กับซูอี้ แต่เพราะเขาซึ่งเคยเป็นผู้อาวุโสสูงสุดไม่เข้ามาแทรกแซงหยุดเรื่องนี้ เขาจึงถูกถอดจากตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดโดยทูตข้ามนที ‘ม่ออู๋เหิน’!
จวบจนวันนี้ หลูฉางหมิงก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดทูตข้ามนทีม่ออู๋เหินจึงได้ให้ค่าชายหนุ่มจากมหาทวีปคังชิงมากเพียงนี้
เขายังเคยเอ่ยปากถาม ทว่าม่ออู๋เหินไม่ได้ตอบอย่างชัดเจน บอกเพียงว่าซูอี้มีที่มายิ่งใหญ่ และไม่ว่าจะเป็นคนใหญ่คนโตเพียงไรในโถงหลงลืมก็ไม่อาจล่วงเกินเขาได้
นี่ก็ยังทำให้หลูฉางหมิงสงสัยมากขึ้นทุกที
ทว่าไม่ว่าอย่างไร เขาก็แน่ใจว่าชายหนุ่มผู้สามารถทำให้ทูตข้ามนที ‘ม่ออู๋เหิน’ และตัวตนบรรพกาลต่าง ๆ ให้เกียรติได้ ย่อมไม่มีทางเป็นคนธรรมดาแน่นอน
หลังสงบใจลง หลูฉางหมิงก็กล่าวว่า “เขา… เขามายังเมืองหิมะสวรรค์วันนี้ได้อย่างไร?”
หยวนหลินหนิงส่ายหน้า “ข้าไม่ทราบ ข้าเพียงมองเขาจากไกล ๆ ก่อนจะจากมาเจ้าค่ะ”
นับแต่พ่ายแก่ซูอี้ หัวใจของนางก็รู้สึกสับสน
ชายหนุ่มผู้มีการฝึกฝนในขอบเขตสยายวิญญาณเอาชนะนางและจักรพรรดิคนอื่นในหนึ่งกระบวน
เพราะชายหนุ่มผู้นั้น นางผู้เป็นนักบวชลำดับสามแห่งโถงหลงลืมจึงต้องทัณฑ์ให้ไป ‘ผาฝึกใจ’
ทั้งหมดนี้สร้างความอดสูให้แก่นาง ณ กาลนั้น
จวบยามนี้ ยามใดก็ตามที่นึกถึงซูอี้ หยวนหลินหนิงก็รู้สึกขมขื่นไม่ยอมรับในใจอย่างไม่อาจอธิบาย
หลูฉางหมิงผ่อนหายใจโล่งอก และกล่าวว่า “โชคดีที่เจ้าไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับคนแซ่ซูผู้นั้น หาไม่ ข้าก็ไม่รู้ว่าจะเกิดหายนะใดขึ้นอีก”
หยวนหลินหนิงตกใจถาม “อาจารย์ลุงหมายความเช่นไรเจ้าคะ?”
หลูฉางหมิงถอนหายใจ “หลินหนิงเอ๋ย เจ้าลืมท่าทีในยามนั้นของบรรพชนม่ออู๋เหินแล้วหรือไร? คนแซ่ซูผู้นี้… ไม่อาจล่วงเกินได้!”
หยวนหลินหนิงเงียบไปชั่วขณะ
เนิ่นนานมาแล้ว ม่ออู๋เหินเคยเป็นเจ้าโถงหลงลืม
ทว่าในทีแรก แค่เพียงเพราะชายหนุ่มนามซูอี้ ม่ออู๋เหินกลับเดือดดาลลงโทษปลดตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดจากหลูฉางหมิง สั่งไล่นักบวชสูงสุดไปถูกขังในถ้ำวารีทมิฬ และส่งนักบวชลำดับสามไปยังผาฝึกใจ
ทั้งหมดนี้ทำให้หยวนหลินหนิงเข้าใจกระจ่าง ว่าฐานะของซูอี้น่าจะพิเศษเหนือธรรมดาอย่างยิ่ง หาไม่ บรรพชนม่ออู๋เหินคงไม่โกรธเพียงนี้
ครู่ต่อมา หยวนหลินหนิงก็กล่าวว่า “อาจารย์ลุง หากภายหน้ามีโอกาส ข้าก็อยากไปปรึกษากับซูอี้อีกครั้งนะเจ้าคะ ไม่ใช่เพื่อล้างแค้นหรือระบายโทสะ แต่แค่อยากทำความเข้าใจส่วนดีส่วนด้อยเท่านั้น”
หลูฉางหมิงขมวดคิ้ว และกล่าวเสียงเบาออกมาทันที “ค่อยคุยกันยามมีโอกาสนะ”
เขาจะไม่เห็นได้เช่นไรว่าหยวนหลินหนิงยังคงผูกใจเจ็บหลังพ่ายด้วยมือซูอี้?
…
มุมเมืองทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองหิมะสวรรค์
มีอาคารโบราณคร่ำคร่ากระจัดกระจายมากมาย เทียบกับความรุ่งเรืองครึกครื้นของพื้นที่ส่วนอื่นแล้ว ที่แห่งนี้รกร้างอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อรัตติกาลโรยตัว แสงสว่างบนถนนก็วูบไหว
ซูอี้พาโยวเสวี่ยเดินไปยังทิศต้นเสียงฟาดค้อน
ไม่นานนัก ร้านตีเหล็กแห่งหนึ่งก็ปรากฏสู่คลองจักษุ
ร้านตีเหล็กนี้เรียบง่ายอย่างมาก ไร้จุดน่าสนใจ
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำยำผิวสีทองแดงผู้หนึ่งกำลังฟาดค้อนยักษ์ในมือสร้างดาบบินสีดำอยู่ที่เตา
ทุกครั้งที่ค้อนยักษ์ฟาดลง เสียงเคร้งก็ดังลั่น ประกายไฟกระจายทุกหนแห่ง
ที่ข้างร้านตีเหล็กมีชายร่างผอมในชุดดำยืนอยู่ผู้หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเป็นลูกค้า และดวงตาของเขาก็จับจ้องนิ่งที่ดาบบินสีดำที่กำลังตีอย่างจดจ่อ
มองจากระยะไกล เมื่อนางเห็นเช่นนี้ โยวเสวี่ยก็อดกระซิบไม่ได้ “สหายเต๋า ช่างตีเหล็กที่เจ้ามองหาน่าจะเป็นชายหนุ่มผู้นี้หรือ?”
หญิงสาวงุนงงเล็กน้อย
เพราะชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำยำผู้นี้ดูอายุน้อยมาก อย่างมากก็สามสิบปีได้ และการฝึกฝนของเขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก
“ไม่ใช่เขา”
ซูอี้ส่ายหัวเล็กน้อย
ทว่าเมื่อเขาเห็นวิชาที่ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำยำใช้ตีดาบบิน ซูอี้ก็กล่าวว่า “เด็กนั่นน่าจะเป็นทายาทของช่างตีเหล็กเฒ่า”
เขากล่าวกับตนเองแท้ ๆ
ทว่าชายชุดดำที่อยู่ตรงหน้าร้านตีเหล็กดูจะได้ยินและหันมองมา
เมื่อสายตาของเขากวาดมองมาทางซูอี้ ชายชุดดำก็เมินเขาไป ทว่าเมื่อเห็นโยวเสวี่ย เขาก็ดูตกใจอย่างเห็นได้ชัด และแววตาของเขาก็ดูพิกล
ทันใดนั้น ชายชุดดำก็ยิ้มและละสายตา
ซูอี้เมินเฉยไม่สนใจ
โยวเสวี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย เจ้าแก่นี่อยู่ในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ แปลว่าร้านตีเหล็กเล็ก ๆ นี่ไม่ธรรมดาจริง ๆ!
“ลูกค้า ดาบบินของท่านขัดเกลาเสร็จแล้วขอรับ”
ยามนี้เอง ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำยำพลันอ้าปากพูดพลางยิ้มอย่างเรียบง่ายจริงใจให้ชายชุดดำ
ชายชุดดำยิ้มอ่อนโยนพลางประคองกำปั้นให้ชายหนุ่ม “ขอบคุณสหายน้อย หากเป็นไปได้ โปรดทักทายอาจารย์เจ้าแทนตาเฒ่าผู้นี้ทีนะ”
วาจาและการกระทำของเขาสุภาพและจริงจังมาก
สิ่งนี้ทำให้โยวเสวี่ยประหลาดใจ
เขาเป็นจักรพรรดิในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ แต่การวางตัวของเขากลับถ่อมตนยิ่ง เป็นที่แน่ชัดว่าอาจารย์ของชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำยำต้องสุดยอดยิ่งเป็นแน่แท้!