บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 897: ผู้คุมรัตติกาล
ตอนที่ 897: ผู้คุมรัตติกาล
สิ่งที่ทำให้โยวเสวี่ยรู้สึกเหลือเชื่อนั่นก็คือจักรพรรดิในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ กลับให้ตัวตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณขัดเกลาดาบวิถีให้ตน ซึ่งไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง
นางอดไม่ได้ที่จะมองดาบบินสีดำที่เพิ่งขัดเกลาเสร็จ
ทว่า ก่อนที่โยวเสวี่ยจะทันได้เห็นมันชัด ๆ ชายชุดดำก็ยกมือขึ้น และดาบบินสีดำก็พลันแปรเป็นลำแสงหายวับเข้าแขนเสื้อเขาไป
ชายหนุ่มร่างกำยำยิ้มและกล่าวอย่างจริงใจ “ไม่ต้องสุภาพหรอกขอรับ อาจารย์ข้าเคยบอกว่าขอเพียงมาพร้อม ‘ประกาศิตเฟิงตู’ ก็ล้วนแต่เป็นลูกค้าของเรา และต้องปฏิบัติด้วยเป็นอย่างดี”
ชายชุดดำกล่าวยิ้ม ๆ “สหายน้อยจำให้ดี นามข้าคือคืออวิ๋นซงจื่อจากวังธารเหลือง หากพบอาจารย์เจ้า ฝากสวัสดีเขาแทนข้าที”
กล่าวจบ เขาก็ประสานกำปั้นอีกครั้งก่อนจะหันหลังจากไป
“ที่แท้ก็เป็นคนจากวังธารเหลืองนี่เอง”
โยวเสวี่ยลอบกล่าว
ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กำยำเกาหัวพลางกล่าวขออภัย “ลูกค้า ยามนี้มืดแล้ว เราจะปิดร้านแล้วขอรับ”
ซูอี้ส่ายหน้ากล่าว “ข้าไม่ได้มาเพื่อขัดเกลาสมบัติ เจ้าไปบอกอาจารย์เจ้าทีว่าสหายเก่ามาเยือน”
ชายหนุ่มร่างกำยำตกใจและถาม “ลูกค้ารู้จักอาจารย์ของข้าหรือ?”
ชายชุดดำผู้เพิ่งเดินออกไปไม่ไกลเองก็หยุดฝีเท้า
ชายหนุ่มผู้หนึ่งอ้างตนเป็นสหายเก่าเจ้าของร้านตีเหล็ก …เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกไม่อยากเชื่อ
“หากข้าไม่รู้จักอาจารย์เจ้า ข้าจะมาที่นี่เพื่อการใด?”
ซูอี้หัวเราะ
ชายหนุ่มร่างกำยำลังเล “ลูกค้ามีหลักฐานหรือไม่?”
ซูอี้คิดสักครู่ ก่อนจะบอกว่า “บอกประโยคหนึ่งแก่อาจารย์เจ้า เขาจะมาหาข้าแน่”
โยวเสวี่ยหูผึ่ง เผยให้เห็นว่านางฟังอยู่
ไม่ไกลนัก ชายชุดดำถูกกระตุ้นความสงสัยอย่างช่วยไม่ได้
“ขอลูกค้ากล่าวให้ชัดเจนด้วย”
ชายหนุ่มร่างกำยำงุนงง
ซูอี้กล่าว “ท่ามกลางค่ำคืนหิมะหนา”
ชายหนุ่มร่างกำยำตะลึง “แค่… ประโยคนี้หรือ?”
โยวเสวี่ยตระหนักแล้วว่ามันต้องเป็นปริศนาซึ่งมีเพียงเจ้าของร้านตีเหล็กที่รู้แน่
ชายชุดดำอดตะลึงงงงวยไม่ได้
ประโยคเพ้อเจ้อนี่คืออันใด?
ซูอี้กล่าว “ไปบอกอาจารย์เจ้าเสีย เขาย่อมรู้แน่นอน”
ชายหนุ่มร่างกำยำสูดหายใจลึก ๆ และกล่าวเสียงดัง “ลูกค้าอย่าโกหกนะ หากข้าพบว่าเจ้าโกหกล่ะก็ ข้าจะมอบบทเรียนที่เจ้าจะไม่มีวันลืมให้แน่!”
ซูอี้ยิ้ม “ไปเถอะ”
ชายหนุ่มร่างกำยำหันหลังกายเข้าไปในร้านตีเหล็กอย่างรีบร้อน
…
ณ สวนหย่อมหลังร้านตีเหล็ก
โคมไฟใต้ชายคาทอแสงสลัวท่ามกลางความมืด
ชายวัยกลางคนร่างผอมผู้หนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะไม้กลางสวน
จอนผมของคนผู้นี้เป็นสีเทา เขาสวมชุดผ้าเก่า ๆ สีเทา
แม้จะนั่งอยู่เฉย ๆ แต่หลังของเขาก็ตรงราวไม้บรรทัด
ณ ฝั่งตรงข้ามชายในชุดผ้ามีนักบวชชราจีวรดำผู้หนึ่งนั่งอยู่ ท่าทางคร่ำครึ คู่เนตรฝ้าฟาง
“คนทุกผู้ในโลกช่างไม่รู้อันใดเลย หากไม่ใช่เพราะในอดีต สหายเต๋า ‘ผู้คุมรัตติกาล’ ไม่ได้อยู่ที่นี่ เมืองหิมะสวรรค์อันครึกครื้นรุ่งเรืองนี้คงถูกกวาดสิ้นจากโลกาไปแล้ว”
นักบวชชราจีวรดำกล่าวเสียงแหบชรา
ชายในชุดผ้าดูสุขุม นิ่งเงียบไม่ยิ้ม
นักบวชชราจีวรดำชาชินแล้ว และกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ไม่ว่าในใจจะคิดเช่นไร ผู้นำเมืองมรณะก็กำลังจะแปรเปลี่ยน ในกระแสปัจจุบันแห่งโลกหล้า ผู้คล้อยตามรุ่งโรจน์ และผู้ที่ขัดขืนจะต้องตาย ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าสถานการณ์เช่นนี้ ก็ไม่ต่างกับการเอาแขนไปขวางเกวียน”
ชายในชุดผ้ากล่าวอย่างไร้อารมณ์ “ไฉนจึงเห็นเช่นนั้น?”
นักบวชชราจีวรดำจ้องมองชายในชุดผ้าด้วยคู่เนตรมัวหมอง “ข้าอยู่ที่นี่ เมื่อมาเยือนสหายเต๋า ข้าก็ได้รับคำแนะนำจากใต้เท้ากาดำ และในที่สุดก็เข้าใจว่าเหตุใดสหายเต๋าจึงปกป้องร้านตีเหล็กนี้อยู่เงียบ ๆ มาหลายต่อหลายปี”
ชายในชุดผ้าขมวดคิ้วเล็กน้อย
นักบวชชราจีวรดำกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “สรุปก็คือ สหายเต๋าใช้ที่นี่เป็นเรือนจำสำหรับขังตนเอง แม้จะพิทักษ์เมืองได้ แต่ก็ไม่ใช่ผู้ที่อยู่ในนั้น เมื่อถึงกาล เมืองหิมะสวรรค์ไม่กลายเป็นเมืองคนตายอันร้างราหรือ?”
ชายในชุดผ้าเงียบไป เขาถนอมวาจาตนดั่งทอง
นักบวชชราจีวรดำเก็บรอยยิ้มตนไปและกล่าวอย่างจริงจัง “ใต้เท้ากาดำกล่าวว่า ขอเพียงสหายเต๋าเต็มใจย้าย ‘ศิลาหลุมศพ’ ที่ขวางเมืองมรณะอยู่ออกไป เมื่อท่านยมบาลกลับสู่โลกา เขาจะช่วยสหายเต๋าให้พ้นวิกฤตยามนี้!”
นักบวชชราจีวรดำผงะและกำลังจะกล่าวบางอย่าง
ชายในชุดผ้ากล่าวอย่างเฉยเมย “เจ้าไปได้แล้ว”
นักบวชชราจีวรดำขมวดคิ้ว ดูไม่ค่อยชอบใจนัก ทว่าสุดท้ายก็สะกดกลั้นไว้
เขายืนขึ้นกล่าวว่า “สหายเต๋า คืนพรุ่งนี้ดวงจันทร์สีแดงจะปรากฏขึ้นอีก ข้าเกรงว่าครานี้… คงมีคนตายเพิ่ม”
ชายในชุดผ้านั่งนิ่งที่เดิมราวกับหูหนวก
นักบวชชราจีวรดำส่ายหน้าและกำลังจะหันจาก
ทันใดนั้น ชายหนุ่มร่างกำยำก็เดินเข้ามาในสวน
นักบวชชราจีวรดำตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนว่า “สหายเต๋า ศิษย์เจ้าดีจริง ๆ กระดูกวิถีเป็นธรรมชาติ และแก่นภายในดูจะบริสุทธิ์เยี่ยงหยก เป็นเมล็ดพันธุ์อันหายากยิ่งบนเส้นทางมหาวิถี!”
ชายหนุ่มร่างกำยำรีบร้อนคำนับเขาและกล่าวพร้อมกับยิ้ม “ผู้อาวุโสผิดแล้วขอรับ”
ที่ข้างโต๊ะไม้ ชายในชุดผ้าถามพร้อมขมวดคิ้ว “ผู้ใดให้เจ้าเข้ามา?”
ชายหนุ่มร่างกำยำตัวสั่น ก้มหัวกล่าว “ลูกค้าผู้หนึ่งจากนอกร้านบอกว่าเป็นสหายเก่ามาหาอาจารย์ เขายืนกรานจะพบท่านขอรับ”
สหายเก่า?
นักบวชชราจีวรดำครุ่นคิด
ชายในชุดผ้ากล่าวอย่างเฉยเมย “ตลอดมานี้มีคนโกหกมากมายอ้างตนเป็นสหายเก่าข้า เจ้าน่าจะไล่พวกเขาไปแทนที่จะมาขอคำแนะนำจากข้าทุกคราไปนะ”
ชายหนุ่มร่างกำยำรีบกล่าว “ชายผู้นั้นบอกว่า ให้ข้าบอกอาจารย์หนึ่งประโยค และท่านจะรู้ทันทีขอรับว่าเขาคือผู้ใด”
ชายในชุดผ้าสะดุ้ง
จากนั้น เขาก็หันไปกล่าวอย่างสุขุมกับนักบวชชราจีวรดำว่า “เจ้าควรไปได้แล้ว”
นักบวชชราจีวรดำเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าและเดินจากไป
จนกระทั่งเมื่อร่างของนักบวชชราจีวรดำหายลับ ชายในชุดผ้าจึงกล่าวว่า “อาเฉิง มานี่สิ”
ชายหนุ่มร่างกำยำรีบก้าวเข้าไปหา
ชายในชุดผ้าโบกแขนเสื้อของเขา
พลังมหาวิถีที่ไม่อาจมองเห็นปกคลุมสวนอย่างเงียบเชียบ
จากนั้น เขาก็หันไปกล่าวกับชายหนุ่มร่างกำยำว่า “ชายผู้นั้นกล่าวอันใด?”
ชายหนุ่มร่างกำยำกล่าว “ชายผู้นั้นพูดบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายขอรับ บอกว่า ‘ท่ามกลางค่ำคืนหิมะหนา’”
“ท่ามกลางค่ำคืนหิมะหนา…”
ชายในชุดผ้าพึมพำกับตนเอง
วาจาเหล่านี้ดูจะมีปริศนาสารพัด ทำให้ชายในชุดผ้าเงียบไป
“อาจารย์ ท่านไม่เข้าใจหรือขอรับ?”
ชายหนุ่มร่างกำยำกล่าวอย่างโกรธเคือง “ว่าแล้วเชียวว่าคนผู้นั้นโกหก! ข้าจะออกไปจัดการเดี๋ยวนี้ขอรับ!”
“ช้าก่อน”
“เอ๋?”
ชายหนุ่มร่างกำยำตะลึง
ชายในชุดผ้ากล่าวเสริม “อย่าลืมให้เกียรติคนผู้นั้นด้วย”
“นี่…”
ชายหนุ่มร่างกำยำพลันตระหนักแล้วว่ามีบางสิ่งผิดแปลก และกล่าวอย่างระแวดระวัง “ท่านอาจารย์ คนผู้นั้นยังเป็นเพียงชายหนุ่มเองนะขอรับ…”
ชายในชุดผ้ากล่าวกับชายหนุ่มร่างกำยำว่า “รีบไปสิ หากเจ้าพบนักบวชเฒ่า ข้าไม่อนุญาตให้เจ้ากล่าววาจาใดกับเขานะ”
วาจาของเขาห้วนสั้น ทว่าชายหนุ่มร่างกำยำกลับชะงักค้าง ก่อนจะรีบกุลีกุจอจากไป
ส่วนชายในชุดผ้าซึ่งนั่งอยู่ในสวนนั้น ใบหน้าแข็งกระด้างของเขาปรากฏท่าทีเหม่อลอยอย่างหาได้ยาก
ท่ามกลางค่ำคืนหิมะหนา ร่ำสุราสักจอกได้หรือไม่?
ในที่สุดเจ้านั่นก็กลับมา…
…
ข้างนอกร้านตีเหล็ก
เมื่อนักบวชชราจีวรดำเดินออกมา เขาก็เห็นชายหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่งและสตรีในชุดกระโปรงเรียบง่ายยืนรออยู่เป็นคราแรก
โดยเฉพาะเมื่อเขาเห็นสตรีในชุดกระโปรงเรียบง่าย ความแปลกใจก็ฉายอยู่ในแววตาคู่นั้น
ทันใดนั้น เขาก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนและกล่าวกับนางว่า “ขอถือวิสาสะถามว่าแม่นางจะขอพบเจ้าของร้านนี้หรือ?”
โยวเสวี่ยตกใจ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาคิดว่านางควรค่าจะถูกเรียกเป็น ‘สหายเก่า’ ของเจ้าของร้านตีเหล็กนี้ ซึ่งทำให้นางลอบหัวเราะในใจ
ทว่านางเมินเฉยไม่ตอบกลับ
เพราะนางไม่เคยชอบการพูดคุยกับคนแปลกหน้า โดยเฉพาะนักบวชเฒ่าอันเต็มไปด้วยปราณชั่วร้ายตรงหน้านาง เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ฝึกตนวิถีมาร
การกระทำเมินเฉยนี้ทำให้นักบวชชราจีวรดำขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นจึงหันไปกล่าวกับซูอี้แทน “หรือจะเป็นสหายน้อยผู้นี้?”
ซูอี้เหลือบมองนักบวชชราจีวรดำเล็กน้อย และกล่าวว่า “เกี่ยวอันใดกับเจ้า?”
สีหน้าของนักบวชชราจีวรดำแข็งค้าง
เขาไม่คาดว่าคู่ชายหญิงคู่นี้จะยโสโอหังกันทั้งคู่!
ทันใดนั้น ชายหนุ่มร่างกำยำก็รีบร้อนออกมา เขากุมกำปั้นคำนับซูอี้ด้วยรอยยิ้มเรียบง่ายจริงใจ “ลูกค้าทั้งสอง อาจารย์ข้าเชิญพวกท่านเข้าไปขอรับ”
ดวงตาของนักบวชชราจีวรดำหรี่ลงเงียบ ๆ ด้วยหัวใจสะท้านสั่น
นี่ย่อมหมายความว่าหนึ่งหญิงหนึ่งชายคู่นี้คือสหายเก่าของเจ้าของร้านตีเหล็ก!
“ชายหญิงคู่นี้คือใคร มาจากหนใด?”
ดวงตาของเขาวูบไหว
ก่อนที่ชายชราจะได้เข้าใจ ซูอี้ก็พาโยวเสวี่ยก้าวฉับ ๆ เข้าร้านตีเหล็กไปแล้ว
“สหายน้อย…”
นักบวชชราจีวรดำตั้งจิตมั่นและหันไปทางชายหนุ่มร่างกำยำด้วยรอยยิ้ม
อาจารย์บอกว่าไม่ให้เขากล่าวอันใดกับนักบวชเฒ่าผู้นี้
รอยยิ้มบนใบหน้าของนักบวชชราจีวรดำแข็งค้าง เปลือกตาของเขากระตุก โทสะโหมขึ้นในใจอย่างไม่อาจอธิบาย
เขาทนไว้ยามถูกสตรีในชุดกระโปรงเรียบง่ายมองเมิน
เขาทนไว้ยามถูกชายหนุ่มผู้นั้นปรามาส
ยามนี้ กระทั่งศิษย์เจ้าของร้านตีเหล็กยังเมินเขา ทำให้นักบวชชราจีวรดำเสียหน้าไม่น้อย
เขาสูดหายใจลึก ๆ และคิดในใจว่า ‘เรื่องนี้ต้องสืบหาให้ได้!’
นักบวชชราจีวรดำพลันมองไปที่ถนนอันรกร้างไกลออกไป
ท่ามกลางความมืดแห่งรัตติกาล ตรงหน้าร้านที่ปิดไปแล้ว แต่ยังมีชายชุดดำผู้หนึ่งยืนใช้มือไพล่หลังอยู่
นักบวชชราจีวรดำมองปราดแรกก็จำอีกฝ่ายได้
ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งวังธารเหลือง อวิ๋นซงจื่อ!
นักบวชชราจีวรดำจำได้ว่ายามมาเยือนเจ้าของร้านตีเหล็กวันนี้ ศิษย์ของอีกฝ่าย อาเฉิงกำลังขัดเกลาดาบวิถีให้กับอวิ๋นซงจื่อผู้นี้
“สหายเต๋า ข้าขอให้การเดินทางสู่เมืองมรณะของท่านในคืนพรุ่งนี้ราบรื่นดี”
นักบวชชราจีวรดำประคองกำปั้น ยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางค้อมหลังให้กับชายชุดดำจากไกล ๆ
เสียงยังไม่ทันจาง ร่างของเขาก็แปรเป็นหมอกสีดำหายไปเงียบ ๆ แล้ว
“นักบวชเฒ่าผู้นี้เป็นใคร ไฉนปราณของเขาจึงแปลกพิกลและน่าหวาดหวั่นเพียงนี้…”
อวิ๋นซงจื่อสีหน้ายากคาดเดา หัวใจเปี่ยมความสงสัย
เขารู้สึกเพียงว่าสิ่งที่เขารู้เห็นในร้านตีเหล็กแห่งนี้ช่างน่าเหลือเชื่อ!