บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 898: เฟิงตู
ตอนที่ 898: เฟิงตู
ในรัตติกาล
อวิ๋นซงจื่อยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเนิ่นนาน
เขาอดถอนหายใจไม่ได้เมื่อคิดว่าชายหญิงคู่นั้นได้พบเจ้าของร้านตีเหล็กเพียงเพราะวาจา ‘ท่ามกลางค่ำคืนหิมะหนา’
เมืองหิมะสวรรค์ทุกวันนี้ไม่ธรรมดาจริงแท้!
…
ณ สวนหย่อมหลังร้านตีเหล็ก
โคมไฟแขวนสูง ส่งแสงสลัววูบไหวในรัตติกาล
เมื่อชายในชุดผ้าเห็นชายหนุ่มชุดเขียวเดินอย่างเอ้อละเหยเข้ามาหา เขาก็ตกใจและแววตาดูพิกลเล็กน้อย
ส่วนโยวเสวี่ยผู้ติดตามเบื้องหลังซูอี้นั้น ชายในชุดผ้าไม่ใส่ใจมากนัก
“ที่นี่ยังคงเหมือนก่อน ทึ่มทื่อน่าหดหู่ แสนน่าเบื่อ”
ซูอี้มองไปรอบ ๆ ก่อนจะหยุดที่ชายในชุดผ้า
รอยยิ้มอันไม่เคยเกิดขึ้นปรากฏบนใบหน้าอันไม่ยิ้มแย้มของชายในชุดผ้า “การคงเส้นคงวาและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงย่อมดีกว่าการตามกระแสผู้คน”
กล่าวจบ เขาก็ผายมือเชิญ “นั่งสิ”
ซูอี้พอใจมาก และก็นั่งตรงข้ามชายในชุดผ้าอย่างเป็นธรรมชาติ
โยวเสวี่ยยืนข้างกายเขา ยามนี้สตรีผู้เย็นชาเย่อหยิ่งผู้นี้ใคร่รู้ขึ้นมาเล็กน้อยอย่างหาได้ยาก
เพราะยามที่นางเข้าสู่สวนเก่าแก่นี้ นางก็รู้สึกหดหู่อย่างไม่อาจอธิบาย
ไม่อาจไล่ไป ทว่าก็ไม่อาจปล่อยทิ้ง
และผู้ที่นำความรู้สึกหดหู่อันไม่อาจมองเห็นได้นี้มาก็คือชายในชุดผ้า!
รูปร่างของเขาผอมบาง ทว่านั่งตัวตรง การวางตัวดุจเหล็กเย็น มีเสน่ห์อันไม่อาจจับต้อง
เมื่อผู้คนได้พบเขาครั้งแรก ความรู้สึกที่ได้นั้นไม่เหมือนพบมนุษย์เลย แต่เป็นหุบเขาเดียวดายอันตั้งอยู่กลางโลกกว้าง ก้มลงมองการผันเปลี่ยนของกาลเวลาและความเป็นไปของโลกหล้าโดยไร้ความกลัว
โยวเสวี่ยเองก็เป็นจิตวิญญาณสมบัติ และไวต่อปราณเป็นที่สุด
นางตระหนักในทันทีว่าชายวัยกลางคนในชุดผ้าผู้นี้เป็นตัวตนอันน่ากลัวมาก!
ซูอี้เคาะลงบนโต๊ะไม้ “สุราเล่าอยู่หนใด?”
เมื่อเห็นกิริยาไร้ความสุภาพของซูอี้ ชายหนุ่มร่างกำยำซึ่งตามเข้ามาในสวนก็อดกล่าวไม่ได้ว่า “อาจารย์ข้าไม่เคยดื่ม จะมีสุราได้เช่นไร?”
ชายในชุดผ้าโบกมือกล่าว “อาเฉิง เจ้าผิดแล้ว ข้าเพียงดื่มกับคนที่ยอมรับเท่านั้น”
เขาโบกมือ จากนั้นก็หยิบไหสุราและสองจอกเหล้าออกมา “เจ้ายังจำสุราไหนี้ได้หรือไม่?”
ซูอี้หัวเราะ กล่าวอย่างคิดถึง “ที่แท้เจ้าก็ยังเก็บมันไว้”
กาลก่อน เมื่อเขากลับมาจากเมืองมรณะ เขาเคยดื่มอย่างหนักกับชายในชุดผ้าและยังเคยรำพึงว่าชีวิตนั้นเหมือนการเดินทางสวนกระแสลม ดื่มพันจอกด้วยความปรีดา!
และสุราไหนี้ก็คือสิ่งที่ซูอี้ทิ้งไว้
ชายในชุดผ้าเปิดไหสุราซึ่งจมฝุ่นอยู่แสนนาน จากนั้นรินลงจอกให้ทั้งตนและซูอี้ ก่อนจะกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าจะกลับมา จึงเก็บมันไว้”
เขายกจอกดื่มรวดเดียวหมด
ซูอี้แย้มยิ้มและดื่มสุราในจอกของเขา
ทั้งคู่สรวลเสกินดื่มอย่างเรียบง่าย ทว่ากลับให้ความรู้สึกราวสองสหายเก่าผู้ได้กลับมาพานพบหลังห่างหายแสนนาน ไร้ความขัดแย้งกระอักกระอ่วน
โยวเสวี่ยตะลึงอึ้ง และนางก็อยากรู้มากขึ้นทุกทีว่าชายในชุดผ้าผู้สามารถนั่งร่ำสุราเสมอปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินผู้นี้เป็นใคร
ชายหนุ่มร่างกำยำเองก็ตกตะลึงเช่นกัน
เขาไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าชายหนุ่มผู้นี้จะเป็นสหายเก่าอาจารย์เขา
สิ่งที่ยิ่งน่าเหลือเชื่อคือ แม้อาจารย์เขาจะไม่ได้ยิ้มเช่นกาลก่อน แต่ทุกผู้ก็สัมผัสได้ว่าเขากำลังยินดี!
“ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยบอก ว่าไม่ว่าชาตินี้ชาติไหนจะไม่ขอรับศิษย์ ไฉนจึงผิดคำพูดตนเสียได้?”
ซูอี้กล่าว
ประโยคนี้ทำให้หัวใจของชายหนุ่มร่างกำยำกระวนกระวาย
ทว่าชายในชุดผ้ากล่าวว่า “คงเป็นเพราะวิถีแห่งชะตา ในกาลก่อน ข้าได้เห็นผู้เก่งกาจและอัจฉริยะมากมายในเมืองหิมะสวรรค์นี้ แต่มีเพียงอาเฉิงเท่านั้นที่สืบทอดกระดูกวิถีของข้าได้”
หลังเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวต่อ “หากเป็นเพียงเท่านั้นก็แล้วไป มันจะไม่ทำให้ข้ารับเขาเป็นศิษย์หรอก ประเด็นอยู่ที่อาเฉิงคล้ายข้าในวัยเยาว์นัก”
ซูอี้หันมองอาเฉิง ชายร่างกำยำอีกครั้ง ก่อนจะขมวดคิ้วถาม “เหมือนตรงไหน?”
อาเฉิงเกาหัวอย่างไม่สบายใจเท่าไรนัก
ชายในชุดผ้ากล่าว “เจ้าไม่คิดว่าเขาจริงใจมากหรือ?”
จริงใจ?
ซูอี้ตกใจ และอดหัวเราะไม่ได้ “เจ้าจะบอกว่ายามเยาว์ เจ้าจริงใจหรือไร?”
อาเฉิงหน้าแดงกล่าวขึ้นว่า “ลูกค้า มีอันใดน่าขำหรือ?”
ชายในชุดผ้ากล่าวอย่างเฉยเมย “ใช่ มันคือความจริงใจ วิชาล้ำเลิศไม่ได้ช่วย ความรู้ลึกล้ำก็ช่างตื้นเขิน มีเพียงความจริงใจเท่านั้นที่จะสามารถสานต่อตำแหน่งของข้าได้”
ซูอี้พยักหน้า และในแวบแรกที่มองอาเฉิง เขาก็เห็นว่าชายหนุ่มผู้นี้ดูเรียบง่ายจริงใจ ทว่าพื้นฐานมหาวิถีอันแน่นหนามั่นคงนั้นแตกต่างจากความธรรมดาไปไกลนัก
เขาถามลอย ๆ “จะว่าไป นักบวชมารเมื่อครู่คือใคร?”
ชายในชุดผ้ากล่าว “เมื่อนานมาแล้ว เขาเคยเป็นภิกษุอาวุโสของพุทธอาราม แต่ยามนี้เขาเป็นนักบวชสูงสุดของวัดเสวียนหมิง ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็น ‘ศิษย์เทพยมบาล’”
ซูอี้ตะลึง และกล่าวว่า “ไฉนจึงเปลี่ยนแปรไปเพียงนี้?”
เขาจำได้แม่นยำว่านานมาแล้ว พุทธอารามคือกลุ่มเต๋าสูงสุดในเขตนทีปรภพและมีผู้ศรัทธามากมาย
ยิ่งกว่านั้น ยังลือกันว่าพุทธอารามถูกทำลายลงโดยขุมกำลังพิสดารจากเมืองมรณะ!
ทว่ายามนี้ ภิกษุอาวุโสของพุทธอารามกลับกลายเป็นศิษย์ของเทพยมบาล การเปลี่ยนแปลงนี้ใหญ่หลวงเกินไป
โยวเสวี่ยเองก็ตะลึง
จากวาจาของชายในชุดผ้า วัดเสวียนหมิงแห่งนี้เกี่ยวพันกับยมบาลที่ถูกขังในเมืองมรณะจริง ๆ!
นี่ยังเป็นการยืนยันการคาดเดาเดิมของซูอี้ว่าวัดเสวียนหมิง ยักษ์ใหญ่ซึ่งเพิ่งผงาดสู่โลกามี ‘ยมบาล’ อยู่เบื้องหลังจริง ๆ!
“ให้เล่าคงคลุมเครือ ทว่าที่แท้ก็แสนง่าย นั่นคือเขาทรยศสำนัก”
ชายในชุดผ้ากล่าวอย่างสุขุม “กาลก่อนที่จะเกิดมหันตภัยกับพุทธอาราม กลุ่มผู้ฝึกตนวิถีพุทธในขอบเขตจักรพรรดิร่วมมือกันเข้าสู่เมืองมรณะ ทว่าเมื่อกลับมา ผู้ฝึกตนบางผู้ที่ตายไปได้ถูกหล่อหลอมร่างธรรมใหม่ กลับกลายเป็นนักบวชมาร”
“และผู้ฝึกตนวิถีพุทธบางคนก็เลือกแปรพักตร์เป็นศิษย์แห่งเทพยมบาล”
“นักบวชเฒ่าจีวรดำเมื่อครู่นี้มีสมญาว่า ‘ขู่หลิ่ว’ และยามนี้เป็นนักบวชสูงสุดแห่งวัดเสวียนหมิง สมญา ‘ภิกขุซื่อเอ้อร์’ ”
ซูอี้อดเลิกคิ้วกล่าวไม่ได้ “ไม่ยากแย่หรือหากจะให้ผู้ฝึกตนวิถีพุทธผู้มีจิตใจแน่วแน่คิดทรยศขึ้นมา?”
ชายในชุดผ้าส่ายหน้าเล็กน้อย “ข้าก็ไม่รู้ แต่ข้าคิดว่าเรื่องนี้น่าจะแยกกับ ‘วงล้อแห่งชะตา’ ไม่ได้”
วงล้อแห่งชะตา!
ซูอี้พอเข้าใจแล้ว
จากคำเล่าลือ ในสมัยโบราณ ยมบาลนั้นมีสมบัติต้องห้ามเก้าชิ้น ซึ่งเป็นที่รู้จักในนามเก้ายมบาลต้องห้าม
ในหมู่พวกมัน มีสมบัติชิ้นหนึ่งที่ดูเหมือนวงล้อซึ่งสลักภาพหกภูมิไว้เบื้องนอก และเก้าขุมนรกเบื้องใน เรียกว่าวงล้อแห่งชะตา
กล่าวกันว่าสมบัติชิ้นนี้ยากแท้หยั่งถึง มันสามารถบดขยี้ผ่านผลกรรม คลี่คลายวิกฤตในปัจจุบันได้ ลึกลับทรงพลัง
กาลก่อนที่เมืองตาข่ายม่วง เมื่อยามที่ซูอี้ใช้พลังวิถีเต๋าในอดีตชาติหมายสังหารอีกาเก้ามืดมิด มันก็หนีไปได้โดยใช้อำนาจจาก ‘วงล้อแห่งชะตา’
หลังคิดอยู่ชั่วครู่ ซูอี้ก็ถามอีกครั้งว่า “นักบวชมารผู้นี้มาหาเจ้าเพื่อการใด?”
ชายในชุดผ้าหยิบไหสุราขึ้นรินให้ทั้งตนเองและซูอี้ ก่อนจะกล่าวว่า “วัดเสวียนหมิงคิดการใหญ่ โดยพยายามช่วยยมบาลที่ถูกขังออกมาจากเมืองมรณะ”
ซูอี้เข้าใจทันที “พวกเขาคิดให้เจ้าเคลื่อนหินหลุมศพนั่นหรือ?”
ชายในชุดผ้าพยักหน้า “ใช่ ตราบใดที่หินหลุมศพนั้นขวางหน้าประตูเมืองมรณะอยู่ วิญญาณร้ายที่ติดอยู่ในแดนต้องห้ามเมืองมรณะจะหลุดออกมาได้ยากยิ่ง”
หลังชะงักไปเล็กน้อย เขาก็กล่าวต่อ “และพวกมันก็รู้แล้วว่าข้าสามารถเคลื่อนศิลาหลุมศพนั้นได้”
กล่าวถึงยามนี้ ชายในชุดผ้าพลันกล่าวขึ้นอย่างเพิ่งนึกได้ “ในคืนเทศกาลหมื่นโคมไม่นานนี้ ผู้ที่เอาชนะอีกาเก้ามืดมิดในเมืองตาข่ายม่วงน่าจะเป็นสหายเต๋าหรือไม่?”
ซูอี้ยิ้มและไม่ปฏิเสธ
ชายในชุดผ้ากล่าว “เจ้ากาน้อยนั่นพยายามชิง ‘พู่กันพิพากษา’ ซึ่งเป็นสมบัติประจำตระกูลชุย และใช้สมบัตินี้เปลี่ยนกฎดั้งเดิมในเมืองมรณะเพื่อช่วยยมบาล ทว่าน่าเสียดายที่มันล้มเหลว”
ซูอี้กล่าว “ดังนั้นพวกมันเลยคิดแผนใหม่กับเจ้าอีก โดยพยายามให้เจ้าเคลื่อนศิลาหลุมศพนั่น”
ชายในชุดผ้ากล่าว “ข้าไม่ได้ตกลง”
ซูอี้กล่าวอย่างครุ่นคิด “พวกเขาไม่น่ายอมแพ้ง่าย ๆ”
“ถูกต้อง”
ชายในชุดผ้าพยักหน้า คิ้วบนใบหน้าไร้รอยยิ้มขมวดเข้าหากัน “ทว่าพวกเขารู้แล้วว่าเหตุใดข้าจึงพิทักษ์ที่นี่มาแสนนาน”
ซูอี้หรี่ตา “พวกมันเอาคำสาบานของเจ้าในคราแรกมาขู่หรือ?”
ชายในชุดผ้ากล่าวอย่างสุขุม “ยามนี้พวกมันไม่กล้าหรอก เพราะพวกมันรู้ว่าผลที่ตามมาหากทำให้ข้าหงุดหงิดร้ายแรงเพียงไหน ทว่าในภายหน้า… คงไร้ผลแล้ว”
ซูอี้อดถอนหายใจไม่ได้
น้อยคนบนโลกนี้จะรู้ว่าในอดีตกาล เมืองหิมะสวรรค์มีอีกหนึ่งชื่อ
เฟิงตู!
หนึ่งในขุมอำนาจหลักของภูมิมืดมิด!
และชายชราจากร้านตีเหล็กนี้ก็มีอีกหนึ่งฐานะ นั่นคือ ‘ผู้คุมรัตติกาลแห่งเฟิงตู’!
แม้ว่านับแต่บรรพกาล ดินแดนปรภพจะถูกทำลายไปแล้วก็ตาม ทว่ายามนี้เฟิงตูก็กลายเป็นเมืองหิมะสวรรค์อันรุ่งเรืองตรงหน้าเขา
และเชื้อสายของชายในชุดผ้าก็พิทักษ์เมืองแห่งนี้อย่างเงียบงันมาแสนนาน
ไม่ใช่การกล่าวเกินไปหากจะบอกว่าตลอดมา หากไร้ชายผู้นี้ดูแล เมืองหิมะสวรรค์ก็คงถูกลบจากโลกนี้ไปนานแล้ว
จากกฎของผู้คุมรัตติกาล ผู้คุมรัตติกาลแต่ละรุ่นต้องสาบานว่าจะปกป้องเมืองหิมะสวรรค์หกหมื่นปี
เมืองอยู่คนอยู่ เมืองสิ้นคนมลาย!
นี่คือคำสาบานสูงสุดของผู้คุมรัตติกาลทุกคน
หากวัดเสวียนหมิงขู่ชายในชุดผ้าด้วยการทำลายเมืองหิมะสวรรค์ล่ะก็ มันจะเป็นปัญหาใหญ่ทีเดียว
ทว่าซูอี้ก็รู้ว่าหากวัดเสวียนหมิงทำเช่นนี้จริง ๆ ด้วยนิสัยของชายในชุดผ้า ผลที่ตามมาของมัน วัดเสวียนหมิงคงไม่อาจรับไหว
การจะกล่าวว่าหากไม่ใช่เพราะคำสาบานที่ให้ไว้ ด้วยความแข็งแกร่งของชายในชุดผ้า ภูมิมืดมิดนี้มีเพียงน้อยคนที่กล้าข่มขู่เขาได้ก็ไม่เกินจริง!
“แต่โชคดีที่เจ้ากลับมา”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าแข็งกร้าวของชายในชุดผ้า
ซูอี้ตกใจ เขาไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ “เจ้าไม่เห็นหรือไรว่ายามนี้ระดับฝึกฝนของข้าอยู่แค่ขอบเขตในวิถีวิญญาณ?”
ชายในชุดผ้ากล่าวอย่างสุขุม “ระดับฝึกฝนก็แค่รูปลักษณ์ ในภูมิมืดมิดนี้ หากจะมีผู้ใดช่วยข้าได้ เช่นนั้นก็ย่อมต้องเป็นเจ้า”
เมื่อฟังบทสนทนาระหว่างทั้งสอง อาเฉิงผู้เต็มไปด้วยความงุนงงแทบแข็งค้างคาที่
เขาไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าอาจารย์ของตนเอง ไฉนจึงให้ค่า ‘สหายเก่า’ ผู้ดูเด็กกว่าเขามากมายเพียงนี้!