บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 899: คัมภีร์แห่งตี้ทิง
ตอนที่ 899: คัมภีร์แห่งตี้ทิง
ซูอี้ถูหว่างคิ้ว
คำว่า ‘ช่วย’ จากปากชายในชุดผ้าต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาทั่วไปแน่
ที่สำคัญกว่านั้นคือ จุดประสงค์การมาที่นี่ของเขาคือช่วยเหลือเย่น้อยซึ่งติดอยู่ในเมืองมืด ไม่ใช่การกวาดล้างขุมกำลังลึกลับ ‘วัดเสวียนหมิง’ ซึ่งมียมบาลหนุนหลัง
ชายในชุดผ้าพลันกล่าวขึ้นว่า “สหายเต๋า หากข้าเข้าใจไม่ผิด จุดประสงค์การมาเยือนเมืองหิมะสวรรค์ครานี้คงไม่พ้นเรื่องของแม่นางเย่น้อยผู้นั้นกระมัง”
ซูอี้ไม่แปลกใจเลยที่ชายในชุดผ้าจะเดาได้ถึงจุดนี้
เพราะเขากับเย่น้อยเคยเดินทางด้วยกันในเมืองมรณะ
จากนั้นชายชราก็กล่าวต่อ “การเปลี่ยนแปลงมหันต์ในเมืองมืดเกี่ยวข้องกับวัดเสวียนหมิง”
ซูอี้หรี่ตาลงกล่าว “วัดเสวียนหมิงเป็นผู้ทำลายเส้นทางหยินหยางหรือ?”
ชายในชุดผ้าพยักหน้า
“พวกเขาทำเช่นนี้ พยายามจะทำสิ่งใดกัน?”
ซูอี้งุนงงเล็กน้อย
ชายในชุดผ้าเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “รวบรวมโลหิตแห่งจักรพรรดิ ยึดครองวิถีแห่งจักรพรรดิ เก็บเกี่ยววิญญาณ และสังเวยพวกเขาต่อยมบาล”
ซูอี้เลิกคิ้วเล็กน้อย “เมืองมืดถูกเปลี่ยนเป็นกับดัก จะเข้าได้ก็ต่อเมื่อสังหารจักรพรรดิในเมืองมรณะหรือ?”
โยวเสวี่ยอดแปลกใจไม่ได้
ชายในชุดผ้ากล่าว “ตลอดมา มีจักรพรรดิมากมายที่เข้าสู่คุกอเวจีทั้งเก้าใต้เมืองมืด แต่ยามนี้เมื่อเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นในเมืองมืด จักรพรรดิเหล่านี้จึงติดอยู่ในนั้น”
“เมื่อข่าวเช่นนี้แพร่งพรายออกไป ขุมกำลังเบื้องหลังเหล่าจักรพรรดิที่ติดอยู่ในนั้นจะต้องส่งยอดฝีมือมาตรวจสอบเป็นแน่”
“หากเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ต่างกับตกสู่กับดักของวัดเสวียนหมิง”
เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ ชายในชุดผ้าก็ดื่มสุราหนึ่งจอก และกล่าวอีกครั้งหลังเห็นว่าซูอี้ไร้เจตนาปริปาก
“นับจากคืนเทศกาลหมื่นโคมเป็นต้นมา ผ่านไปเพียงหนึ่งเดือนเศษ ดวงจันทร์สีเลือดก็ปรากฏขึ้นสองหน และประตูเมืองมรณะก็เปิดออกสองหน”
“เท่าที่ข้ารู้คือ ในสองหนนี้ มีจักรพรรดิสิบกว่าคนเข้าสู่เมืองมรณะ และจนยามนี้ก็ยังไม่มีผู้ใดกลับมา”
“และคืนพรุ่งนี้ ดวงจันทร์สีเลือดจะปรากฏขึ้นอีกครั้ง หนนี้ต่างจากสองครั้งก่อนตรงที่จำนวนจักรพรรดิที่ต้องการไปยังเมืองมรณะเพื่อตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงนั้นมีมากกว่าสองครั้งก่อนรวมกันเสียอีก”
“วันนี้ ข้าสัมผัสปราณของจักรพรรดิในเมืองหิมะสวรรค์ได้ยี่สิบเก้าคน รวมถึงผู้อาวุโสจากขุมกำลังใหญ่ด้วย”
กล่าวถึงจุดนี้ ชายในชุดผ้าก็ยกตัวอย่าง “เหมือนเช่นอวิ๋นซงจื่อที่เจ้าพบยามมาที่นี่ เขาเป็นจักรพรรดิในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำแห่งวังธารเหลือง ครานี้เขาพาคนร่วมสำนักมาสองคน และเตรียมไปยังเมืองมรณะในคืนพรุ่งนี้ด้วยกัน”
“ในเมืองหิมะสวรรค์ทุกวันนี้ก็มีผู้ที่เป็นเหมือนพวกเขาอีกมากมายนับไม่ถ้วน”
“แต่ข้าแน่ใจว่าผู้ที่สามารถรอดกลับมาจากเมืองมรณะได้ คงมีไม่ถึงสิบเป็นแน่แท้”
ได้ยินเช่นนี้ โยวเสวี่ยก็อดขมวดคิ้วถามไม่ได้ว่า “สหายเต๋า ไฉนจึงไม่หยุดมันหรือ?”
“นี่คือกฎของผู้คุมรัตติกาล และคำสาบานสูงสุดของพวกเขา”
ซูอี้เป็นผู้ตอบ
“ปกป้องเฟิงตูในความมืดมาอย่างยาวนาน ห้ามเข้ายุ่งกับเรื่องราวบนโลกา หากไม่ปฏิบัติตาม สภาพจิตใจจะปั่นป่วนย่ำแย่”
หลังฟังเช่นนั้น โยวเสวี่ยก็เงียบไป
นางเองก็รู้ว่าขุมกำลังโบราณมากมายบนโลกหล้าต่างมีกฎประหลาดสารพัด
ชายในชุดผ้ากล่าวกับซูอี้ว่า “สหายเต๋า หากเจ้าต้องการช่วยเย่น้อย เจ้าก็จะต้องขัดแย้งกับวัดเสวียนหมิงแน่นอน ไม่ว่าข้าจะขอให้เจ้าช่วยหรือไม่ เจ้าก็จะหนีไม่พ้นเรื่องนี้อยู่ดี”
ซูอี้ถอนหายใจเบา ๆ “เจ้าพูดเสียหมดแล้ว ข้าจะยังพูดอันใดได้อีก?”
ใบหน้าขึงขังมุ่งมั่นของชายในชุดผ้าเผยรอยยิ้ม “ข้าแน่ใจว่าขอเพียงเจ้าลงมือ ต่อให้ไม่สามารถทำลายวัดเสวียนหมิงได้ แต่เจ้าจะทำให้พวกเขาเสียหายหนักได้แน่นอน และยมบาลซึ่งรอดมาแต่สมัยบรรพกาลก็ไม่อาจแม้แต่จะคิดออกจากเมืองมรณะได้”
ซูอี้ยกจอกสุราขึ้นจิบ “เมื่อเป็นเช่นนี้ หายนะที่เมืองหิมะสวรรค์จะต้องเผชิญก็จะถูกแก้ไขไปตามครรลอง”
ชายในชุดผ้ากล่าวยิ้ม ๆ “ถูกต้อง”
อาเฉิงมองตาค้าง เขาจำไม่ได้ว่าอาจารย์เขายิ้มไปกี่หนแล้วหลังได้พบ ‘สหายเก่า’ ผู้นี้
เพราะตลอดมา เขาแทบไม่เคยได้เห็นรอยยิ้มของอาจารย์เลย!
“เหมือนเช่นเจ้าพูด ข้าจะไม่มีทางเมินเฉยต่อความปลอดภัยของเย่น้อยแน่”
ซูอี้ครุ่นคิด ก่อนจะกล่าวว่า “แต่เรื่องนี้ เจ้าไม่อาจมองเฉย ๆ ได้นะ”
ชายในชุดผ้าตกใจ แววตาแปรเปลี่ยนพิกล “สหายเต๋า โปรดบอกให้ชัดเจน”
ซูอี้กล่าว “ง่ายมาก ๆ ก็แค่ให้ข้ายืม ‘คัมภีร์แห่งตี้ทิง’ ของเจ้าหน่อย”
อาเฉิงพลันกระวนกระวาย “นี่เป็นสมบัติของผู้คุมรัตติกาลเรานะ จะให้เจ้ายืมได้เช่นไร?”
คัมภีร์แห่งตี้ทิง!
วัตถุศักดิ์สิทธิ์ปฐมสวรรค์อันลี้ลับซึ่งเป็นสมบัติสูงสุดของผู้คุมรัตติกาลนับแต่บรรพกาล!
ว่ากันว่าในอดีตกาลเคยมีสัตว์ร้ายบรรพกาล ‘ตี้ทิง’ ในภูมิมืดมิด สัตว์ร้ายตนนี้เกิดขึ้นในที่มาแห่งภูมิมืดมิด สามารถรับรู้ถึงสรรพสิ่งใต้ฟ้ารายล้อม ทลายหัวใจของสรรพวิญญาณ!
และตี้ทิงก็เกิดมาพร้อมกับเมล็ดพันธุ์โดยกำเนิด
และเมล็ดพันธุ์โดยกำเนิดนี้ก็พัฒนามาเป็น ‘คัมภีร์แห่งตี้ทิง’!
กล่าวสั้น ๆ ก็คือ คัมภีร์แห่งตี้ทิงกล่าวได้ว่าเป็นครึ่งชีวิตของสัตว์ร้ายบรรพกาล
ชายในชุดผ้าโบกมือ บอกให้อาเฉิงใจเย็นไว้
จากนั้นเขาก็หันไปพยักหน้าให้ซูอี้ “ได้สิ”
ซูอี้แปลกใจเล็กน้อย
อำนาจของคัมภีร์แห่งตี้ทิงนั้นลึกลับเกินคาดเดาอย่างยิ่ง
ยามรับมือผู้ฝึกตนทั่วไป มันไม่ได้แข็งแกร่งนัก
ทว่ายามต้องเผชิญกับอำนาจชั่วร้ายเปี่ยมบาปในโลกหล้า มันจะสามารถสำแดงอำนาจอันร้ายกาจน่าเหลือเชื่อออกมาได้
ในอดีตกาล ‘คัมภีร์แห่งตี้ทิง’ ของเชื้อสายผู้คุมรัตติกาลนั้นกล่าวได้ว่าเป็นสุดยอดอาวุธที่ทำให้มารในโลกหล้าเปลี่ยนสีหน้า!
ที่สำคัญกว่านั้นคือ พลังของคัมภีร์แห่งตี้ทิงสามารถส่งผลต่อ ‘ศิลาหลุมศพ’ ซึ่งผนึกประตูสู่เมืองมรณะได้!
เมื่อสมบัติชิ้นนี้ตกสู่มือของวัดเสวียนหมิง จะมีโอกาสที่ยมบาลจะถูกช่วยจากอำนาจสมบัตินี้!
ซูอี้ถอนใจ “เจ้านี่เต็มอกเต็มใจดีแท้”
ชายในชุดผ้ากล่าว “มันไม่ใช่ประเด็นว่าจะเต็มใจหรือไม่ สำหรับข้า การให้ยืมสมบัตินี้มิใช่การส่งถ่านไฟยามหิมะตก แต่เป็นเพียงการประดับดอกไม้บนผ้าแพร เพราะข้าเชื่อว่าต่อให้ไร้สมบัตินี้ คงไม่ยากหากจะช่วยแม่นางเย่น้อยด้วยความช่วยเหลือของสหายเต๋า”
วาจาราบเรียบนั้นราวกับเป็นการพูดความจริงออกมาตรง ๆ
แต่มันทำให้อาเฉิงไม่อาจสงบใจ เขาไม่เคยคาดว่าผู้แข็งแกร่งเยี่ยงอาจารย์เขาจะให้ค่าคนผู้หนึ่งได้มากมายเพียงนี้
โดยเฉพาะเมื่อคนผู้นี้มีการฝึกฝนเพียงขอบเขตวงล้อวิญญาณ แถมยังเด็กกว่าเขาเสียอีก…
ช่างน่าเหลือเชื่อโดยไม่ต้องสงสัย
โยวเสวี่ยชาชินแล้ว
ในความคิดนาง คำกล่าวของชายในชุดผ้านั้นธรรมดาเป็นที่สุด
เพราะถึงอย่างไร ชายหนุ่มผู้นั่งอยู่ที่นี่ก็คือซูเสวียนจวินซึ่งเคยสยบสวรรค์ด้วยลำพัง!
ซูอี้คิดสักครู่และถามออกมาตรง ๆ “เส้นทางหยินหยางอันนำสู่เมืองมืดพังทลายสมบูรณ์หรือไม่?”
ชายในชุดผ้าส่ายหน้า “เปล่า ด้วยอำนาจของผีร้ายเหล่านั้น ยากที่จะทำลายเส้นทางหยินหยางโดยสมบูรณ์ได้”
“อย่างนั้นก็ง่าย”
ซูอี้พยักหน้า
เมื่อสุราหมดไห ซูอี้ก็ลุกขึ้นกล่าวลา
เมื่อเขาจากไป เขาก็นำหนังสือสำริดซึ่งบางราวปีกจักจั่น เรียบง่ายที่มีขนาดประมาณฝ่ามือออกไปด้วย ลวดลายมหาวิถีอันเกิดขึ้นที่ผิวสัมผัสของมันคล้ายดวงตาอันเย็นชากดดันดวงหนึ่ง
นี่คือคัมภีร์แห่งตี้ทิง!
จนกระทั่งเมื่อซูอี้และโยวเสวี่ยจากร้านตีเหล็กอันเก่าแก่และเรียบง่ายนี้ไป
อาเฉิงจึงอดถามขึ้นมาไม่ได้ “ท่านอาจารย์ แขกเมื่อครู่คือผู้ใดหรือขอรับ?”
ชายในชุดผ้าเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “นักดาบคนหนึ่งน่ะ”
ทุกคนชอบเรียกคนผู้นี้ด้วยสารพัดสมญานาม
ทว่าคนที่รู้จักเขาจริง ๆ จะรู้ว่าเขายอมรับเพียงหนึ่งสมญาเท่านั้น
นักดาบคนหนึ่ง
มนุษย์ผู้ฝึกดาบตราบนิรันดร์
สีหน้าของอาเฉิงเต็มไปด้วยความงุนงง เขาไม่อาจเข้าใจความหมายอันแฝงในวาจาเรียบง่ายนี้ได้
…
ยามดึกสงัด
เมื่อก้าวเดินออกจากร้านตีเหล็ก ถนนก็มีเพียงแสงสลัว โหวงเหวงร้างผู้คน
“สหายเต๋า ผู้คุมรัตติกาลแข็งแกร่งเพียงไรหรือ?”
โยวเสวี่ยผู้เต็มไปด้วยความสงสัยอดถามไม่ได้
ซูอี้ครุ่นคิดสักพัก และตอบว่า “หากคนผู้นี้อยู่ในเมืองหิมะสวรรค์ เขาก็แทบไร้เทียมทาน หากเป็นข้าในยามสมบูรณ์พร้อม หากวัดเพียงด้านการฝึกฝน ก็คงประกันได้เพียงจะไม่แพ้เขา”
นาม ‘เฟิงตู’ ของเมืองหิมะสวรรค์นั้นก็นับได้ว่าเป็น ‘ดินแดนมหาวิถี’ ของเหล่าผู้คุมรัตติกาล ในเมืองนี้ ผู้คุมรัตติกาลจะแทบไร้เทียมทาน!
โยวเสวี่ยตะลึงอึ้ง
นางรู้ดีมากว่าพลังมหาวิถีของปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินยามสมบูรณ์พร้อมร้ายกาจเพียงไร
ทว่าหากต่อสู้กันในเมืองนี้ เขาก็ทำได้เพียงเสมอ จึงเชื่อได้เลยว่าผู้คุมรัตติกาลแข็งแกร่งเพียงไร
“แล้วหากเป็นนอกเมืองนี้เล่า?”
โยวเสวี่ยถาม
ซูอี้กล่าว “เรื่องนี้ไม่แน่ชัด จากกฎของเหล่าผู้คุมรัตติกาล นับแต่ยามเป็นผู้คุมรัตติกาล คนผู้นั้นต้องคุ้มกันเมืองแห่งนี้หกหมื่นปี และในช่วงกาลอันยาวนานนี้ผู้คุมรัตติกาลก็ทำได้เพียงปกป้องเมืองหิมะสวรรค์จากเงามืดเท่านั้น”
หลังชะงักไป ซูอี้ก็กล่าวอย่างเลื่อนลอย “นับแต่ข้ารู้จักเขามาจวบยามนี้ เขาก็ไม่เคยออกจากเมืองหิมะสวรรค์เลย”
โยวเสวี่ยอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะอดรำพึงออกมาเบา ๆ ไม่ได้ “สิ่งนี้ต่างอันใดกับการอยู่ในคุกอันวิจิตรบรรจง? ต้องทราบว่าดินแดนปรภพสิ้นไปนับแต่โบราณ ทว่าไฉนจึงยังมีผู้คุมรัตติกาลอยู่?”
ซูอี้กล่าว “นี่คือหน้าที่ของผู้คุมรัตติกาล และทายาทของพวกเขาจะถือหน้าที่นี้สำคัญยิ่งกว่าชีวิต ใช้ชีวิตตนปกป้องเมืองหิมะสวรรค์นี้”
“แน่นอนว่าในความคิดเรา กฎของผู้คุมรัตติกาลนั้นไม่ต่างจากกรงขัง ทว่าสำหรับผู้คุมรัตติกาล นี่คือหน้าที่ซึ่งพวกตนต้องกระทำเป็นเวลาหกหมื่นปี”
โยวเสวี่ยอดสะเทือนใจไม่ได้
ครู่ถัดมา นางก็ถามอย่างสงสัยในสิ่งที่เพิ่งนึกได้ “เมื่อเราเข้าไปในร้านตีเหล็ก อวิ๋นซงจื่อจากวังธารเหลืองก็ขอให้อาเฉิง ศิษย์ของผู้คุมรัตติกาลขัดเกลาดาบวิถีให้ แต่ข้าคิดว่าอาเฉิงเป็นเพียงผู้ฝึกตนในขอบเขตวงล้อวิญญาณเท่านั้น ไฉนจึงสามารถช่วยตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำขัดเกลาดาบได้เล่า?”
ซูอี้ตอบ “สิ่งนี้เกี่ยวพันกับมรดกของผู้คุมรัตติกาล ขอเพียงถือ ‘ประกาศิตเฟิงตู’ ไปขอความช่วยเหลือจากผู้คุมรัตติกาล ก็จะได้รับการฝัง ‘ประกาศิตขจัดทุกข์’ ในสมบัติของตน ด้วยอำนาจเช่นนี้ เมื่อออกเดินทางในเมืองมรณะ มันจะสามารถสำแดงพลังเกินจินตนาการได้”
กล่าวถึงยามนี้ ซูอี้ก็เลิกคิ้วน้อย ๆ พลางมองไปไกล
ไกลออกไปบนถนนอันมืดหมอง ร่างหลังค่อมร่างหนึ่งเดินถือโคมไฟกระดาษอย่างเดียวดาย
แสงสว่างสลัววูบไหว
ร่างถือโคมไฟนั้นยากจะเห็นหน้าได้ชัดเจน