บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 900: ดีดนิ้วสามครั้ง
ตอนที่ 900: ดีดนิ้วสามครั้ง
ถนนสายยาวยามดึกสงัดที่เดิมทีเงียบสงบและวังเวง กลับมีคนถือโคมไฟกระดาษสีขาวเดินมาลำพังคนเดียว
ภาพเช่นนี้ ให้ความรู้สึกแปลกพิกล
ทว่าชั่วขณะที่ซูอี้เบนสายตามองไป
แสงสลัว ๆ บิดเบี้ยวแสงหนึ่งก็ปรากฏขึ้นอย่างไร้สุ้มเสียงบนสองข้างของถนนที่ซูอี้กับโยวเสวี่ยยืนอยู่
ฉับพลัน ทุกอย่างตรงหน้าซูอี้กับโยวเสวี่ยราวกับตาลปัตร ภาพทุกอย่างแปรเปลี่ยนไป กลายเป็นแผ่นดินที่เงียบสงัดมืดมิด
สีหน้าแววตาของซูอี้ยังคงราบเรียบเช่นเดิม
โยวเสวี่ยขมวดคิ้ว ตั้งท่าเตรียมพร้อม!
ทว่าหากซูอี้ไม่ได้ออกคำสั่ง นางก็ไม่อาจกระทำการผลีผลามได้
ท่ามกลางผืนแผ่นดินอันมืดมิดแห่งนี้ โคมไฟดวงหนึ่งส่องแสงสีขาวสว่าง
คนผู้นี้เป็นผู้เฒ่าใบหน้าซีดเหลือง ใส่ชุดสีเทา ผมน้อย ในดวงตาที่บุ๋มลึกสองข้างมีคางคกขนาดเท่ากับเมล็ดถั่วยืนอยู่ข้างละตัว ดำหนึ่งขาวหนึ่ง
“ทั้งสองท่านอย่าได้ตกใจ นายของข้าขอเรียนเชิญ หวังว่าสหายทั้งสองจะไป ‘เทือกเขาห้อยหัว’ ที่นอกเมืองด้วยกัน”
ผู้เฒ่าชุดสีเทาเอ่ยพูด น้ำเสียงแหบแห้งราวกับเสียงเลื่อยขัดสีกับแผ่นไม้
“นายของเจ้าคือใคร?”
สายตาของโยวเสวี่ยลุ่มลึกเย็นชาประดุจน้ำแข็ง
“เมื่อทั้งสองท่านไปถึงแล้วก็จะรู้เอง”
ผู้เฒ่าชุดสีเทากล่าว “หากว่าทั้งสองท่านปฏิเสธ อย่าหาว่าข้าบังคับทั้งสองท่าน”
เขาถือโคมไฟกระดาษสีขาว ร่างเลือนรางล่องลอยราวกับควัน ดูท่าทางประหลาดยิ่งนัก
ซูอี้ร้องอ้อขึ้นมาทีหนึ่ง “ที่นี่คือเมืองหิมะสวรรค์ เจ้าไม่กลัวตายหรือ?”
ผู้เฒ่าชุดสีเทานิ่งตะลึงไปชั่วครู่ ฉับพลันราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง จากนั้นเขาก็เผยรอยยิ้มน่ากลัวออกมา “ภายใต้สถานการณ์ในตอนนี้ แม้กระทั่งผู้คุมรัตติกาลก็ยังไม่กล้าผิดใจกับพวกเรา ไม่เช่นนั้น ผลที่ตามมานั้นแม้แต่ผู้คุมรัตติกาลก็ไม่อาจรับได้”
ซูอี้อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ พลันมองไปรอบด้านขณะกล่าวหยอกล้อ “สหายเต๋า พูดจริงหรือ?”
ผู้เฒ่าชุดสีเทาตะลึง
จากนั้น ชายวัยกลางคนในชุดผ้าเก่าก็ปรากฏตัวขึ้นในแผ่นดินเงียบสงบและมืดมิดแห่งนี้
ชุดผ้าเก่า ๆ ใบหน้าซูบผอม สีหน้าเคร่งเครียดไม่ยิ้ม กลิ่นอายพลังในตัวสงบนิ่งราวกับยอดเขาตระหง่านและหนักแน่น
คนผู้นี้ก็คือผู้คุมรัตติกาล
สีหน้าของผู้เฒ่าชุดสีเทาเปลี่ยนไป แต่ทันใดก็กลับมาราบเรียบเหมือนดังเดิม “ข้ามาในครั้งนี้ เพื่อเชิญสหายสองท่านนี้ไปพูดคุยกันที่เทือกเขาห้อยหัวนอกเมืองตามคำสั่งของนายท่าน ใต้เท้าโปรดเปิดทางสะดวกให้ด้วย”
ถึงแม้จะเรียกชายในชุดผ้าว่า ‘ใต้เท้า’ แต่อากัปกิริยาและคำพูดนั้นไม่ได้เคารพยำเกรงแม้แต่น้อย
ชายในชุดผ้าไม่ได้ใส่ใจกับรายละเอียดเหล่านี้
เขามองไปที่ซูอี้ ก่อนจะกล่าวว่า “ต้องขออภัยด้วย”
ซูอี้ถอนใจเบา ๆ กล่าวด้วยความเห็นใจ “มองออกว่าในช่วงระยะนี้วัดเสวียนหมิงสร้างแรงกดดันให้เจ้าไม่น้อย จนเป็นเหตุให้เดี๋ยวนี้ แม้กระทั่งคางคกก็ยังกล้าแสดงความอวดดีภายในเมืองนี้ได้”
ผู้เฒ่าชุดสีเทาที่อยู่ห่างไปไม่ไกลนักถึงกับร้องฮึ และกล่าวขึ้นว่า “สหาย พูดจาให้เกรงใจกันบ้าง!”
ชายชรายังคงไม่ใส่ใจ
เขานิ่งเงียบไปชั่วครู่ “ยังดีที่เจ้ามา นับแต่คืนนี้เป็นต้นไป ข้าจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว”
สีหน้าของผู้เฒ่าชุดเทาเปลี่ยนไป ราวกับรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ “ใต้เท้าพูดเช่นนี้… หมายความเช่นใด?”
ชายในชุดผ้านิ่งเงียบไม่ตอบ ก้าวเท้าเดินไปหาผู้เฒ่าชุดสีเทา
เขาก้าวเบา ๆ หนึ่งก้าว
ปัง!
แผ่นดินที่สงบเงียบมืดมิดแห่งนี้พลันแตกกระจุยราวกับฟองสบู่อย่างไร้สุ้มเสียง โคมไฟสีขาวดวงนั้นดับสลาย ทุกอย่างกลับสู่ความเป็นจริง
ผู้เฒ่าชุดสีเทาสีหน้าเปลี่ยน
ในดวงตาโบ๋ของเขา คางคกขาวดำสองตัวพลันส่องแสง ปล่อยแสงโค้งประดุจคมดาบออกมาสองลำ
แสงสีขาวและดำตัดกันเป็นรูปตัวเอ็กซ์ แหวกทะลุราตรีที่มืดมิด พุ่งตรงไปที่ร่างของชายในชุดผ้า!
สีหน้าของผู้ชายในชุดผ้าราบเรียบประดุจธารน้ำแข็งที่ไม่มีวันละลาย เขาง้างมือขึ้น
ครืน!
คมดาบขาวดำแตกกระจุย
ร่างของผู้เฒ่าชุดสีเทาถูกจับมาวางอยู่ต่อหน้าผู้ชายในชุดผ้า
“ใต้เท้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำเช่นนี้…”
ผู้เฒ่าชุดสีเทาร้องด้วยความตื่นตระหนก
แต่เขายังไม่พูดไม่ทันจบ ร่างกายที่อยู่ต่ำกว่าศีรษะของเขาระเบิดกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยตามแรงมือของชายวัยกลางคน ขณะที่กำลังจะร่วงลงสู่พื้น เศษเนื้อเหล่านั้นกลับกลายเป็นผงธุลี ปลิวกระจายไปตามลม
เหลือแต่เพียงหัวเท่านั้นที่อยู่ในมือเท่านั้น!
จนถึงตอนนี้ ผู้ชายในชุดผ้าไม่ปริปากสักคำ แม้กระทั่งลงมือก็ยังมีสีหน้าสงบราบเรียบ ไม่ได้แสดงความเดือดดาลออกมา
ทว่าผู้ฝึกตนวิถีมารที่มีระดับการฝึกขอบเขตหยั่งเห็นลึกล้ำขั้นกลางกลับถูกกำจัดอย่างง่ายดายราวกับแมลงวัน!
ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้โยวเสวี่ยถึงกับตระหนกตกใจ นึกถึงคำพูดที่ซูอี้พูดเมื่อก่อนหน้านี้…
ในเมืองหิมะสวรรค์แห่งนี้ ผู้คุมรัตติกาลเทียบได้กับผู้ไร้เทียมทาน!
“กลับไปบอก ‘ภิกขุซื่อเอ้อร์’ หลังจากคืนนี้ หากคนของวัดเสวียนหมิงเข้าสู่เมืองหิมะสวรรค์จะต้องตายไม่เหลือแม้แต่กระดูก”
ผู้ชายในชุดผ้ายกมือขึ้นโยนออกไป
เกิดเสียงดังสวบ หัวของผู้เฒ่าชุดสีเทาคนนั้นลอยขึ้นไปกลางอากาศราวกับลูกตะกร้อ แหวกทะลุความมืดมิดแล้วหายลับไป
ซูอี้กล่าว “เวลานี้ในเมืองน่าจะยังมีตัวตนของวัดเสวียนหมิงอยู่จำนวนไม่น้อยกระมัง?”
ผู้ชายในชุดผ้าพยักหน้า “คืนนี้ พวกเขาต้องตายกันหมด”
เขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ขณะที่โยวเสวี่ยกำลังครุ่นคิดอยู่ว่าผู้คุมรัตติกาลคนนี้จะสร้างภาพสยดสยองเช่นใดออกมาในค่ำคืนนี้
ผู้ชายในชุดผ้าถาม “เหตุใดเจ้าจึงสนใจในเรื่องนี้?”
ซูอี้ชี้ไปที่โยวเสวี่ยซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ กล่าวขึ้น “นางสนใจในพลังความสามารถของเจ้า”
ผู้ชายในชุดผ้านิ่งตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าว “เพียงแค่กุ้งหอยปูปลาตัวเล็ก ๆ เท่านั้น ไม่ใช่ตัวตนยิ่งใหญ่อันใด มากสุด… ภายในระยะดีดนิ้วสามครั้ง น่าจะกวาดจนเรียบได้”
ภายในระยะดีดนิ้ว… สามครั้ง?
โยวเสวี่ยตะลึง
ความกว้างใหญ่ของเมืองหิมะสวรรค์สามารถเทียบได้กับแคว้นรัฐเล็ก ๆ ของโลกสามัญ เมืองโบราณที่ใหญ่โตเช่นนี้ มีชีวิตรวมตัวกันอยู่มากมาย อย่างน้อย ๆ ก็มีจำนวนมากกว่าสิบล้าน
และยิ่งไปกว่านั้น ยังเจาะจงฆ่าผู้แข็งแกร่งของวัดเสวียนหมิงอีก
เช่นนี้เปรียบได้กับงมเข็มในมหาสมุทร ไม่ใช่แค่ยากเฉย ๆ
ทว่าผู้ชายในชุดผ้ากลับบอกว่า ภายในระยะดีดนิ้วสามครั้งก็สามารถกวาดล้างผู้แข็งแกร่งของวัดเสวียนหมิงที่กระจัดกระจายอยู่ในเมืองจนเรียบได้ จะไม่ให้โยวเสวี่ยตะลึงได้เช่นใดกัน?
ทันใดผู้ชายในชุดผ้าก็สะบัดแขนเสื้อ
โยวเสวี่ยแหงนหน้ามองขึ้นไปโดยสัญชาตญาณ
ท่ามกลางความมืดมิดที่ครอบคลุมไปทั่วท้องฟ้าของเมืองหิมะสวรรค์ ดินแดนเลื่อนลอยที่ผู้ฝึกตนทั่วไปยากจะสัมผัสรับรู้ได้เริ่มมีกลิ่นอายของพลังกฎเกณฑ์กำลังเคลื่อนตัวในเวลานี้
ทว่าในสายตาของโยวเสวี่ย กลับมองเห็นโซ่กฎเกณฑ์ไร้รูปร่างเส้นแล้วเส้นเล่าพุ่งไปยังทิศต่าง ๆ ของตัวเมือง พลันหายวับไป
โซ่กฎเกณฑ์เหล่านั้นมีความลึกลับซับซ้อน กลิ่นอายที่รายล้อมอยู่บนนั้นเงียบสงัดหนาวเย็นดุจราตรีกาล
โยวเสวี่ยเพียงแค่มองเฉย ๆ ก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามา อดตื่นตระหนกขึ้นมาไม่ได้
เห็นได้ชัดว่ามันเป็นพลังแห่งกฎเกณฑ์ที่กดทับอยู่ใต้เมืองหิมะสวรรค์! อานุภาพไม่ด้อยไปกว่าพลังแห่งขอบเขตสานพันธะลึกล้ำ!
“ใช้ ‘กฎทำลายล้าง’ ของแหล่งกำเนิดเมืองเฟิงตูฆ่าตัวตนเหล่านั้น ไม่ค่อยคุ้มเท่าใดนัก”
ซูอี้เอ่ยเบา ๆ
ผู้ชายในชุดผ้าพยักหน้าพลางกล่าว “ถึงแม้ไม่คุ้ม แต่ก็มีแต่วิธีนี้เท่านั้นที่สามารถฆ่าได้สะอาดหมดจด ไม่รอดแม้แต่คนเดียว”
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน…
ภายในตำหนักโอ่อ่าแห่งหนึ่งในเมืองหิมะสวรรค์
นางรำผู้งดงามกำลังเริงระบำอย่างสำราญ ร่างอรชรอวบอัดในชุดกระโปรงบางพลิ้วผลุบโผล่เป็นพัก ๆ เสียงเครื่องดนตรีกลองดังขันขานขึ้นเป็นพัก ๆ
ผู้ฝึกตนทั้งหลายกำลังเฮฮาสังสรรค์สนุกสนานรื่นรมย์
ทันใด โซ่ล่ามเส้นแล้วเส้นเล่าร่วงหล่นลงมาราวกับโซ่พันธนาการที่ร่วงหล่นจากสวรรค์
ผู้ฝึกตนในที่แห่งนี้ทั้งสิ้นสามสิบห้าคนยังไม่ทันได้ตอบโต้ ร่างของพวกเขาก็กลายเป็นผงธุลีมลายหายไป
เสียงหัวเราะเพลิดเพลินหยุดชะงัก
นางรำที่กำลังเริงระบำกับนักบรรเลงเครื่องดนตรีตกใจจนหน้าซีด ใบหน้าของพวกเขามีแต่ความงุนงง
นิ่งเงียบไปนาน เสียงหวีดร้องด้วยความน่าสมเพชก็ดังขึ้น
—–
บนเตียงที่มีม่านคลุม มีเสียงครางสยิวอารมณ์ดังออกมาเป็นพัก ๆ
ปีศาจใหญ่ผู้มีระดับการฝึกในขอบเขตจักรพรรดิกำลังฝึกวิชาปลุกหยินเสริมหยาง
ฉับพลัน โซ่ลามเส้นสีดำทะมึนก็ร่วงหล่นลงมา
จากนั้น เสียงร้องโอดครวญก็ดังขึ้น ม่านคลุมถูกกระชากออกในทันใด หญิงสาวที่ไร้ซึ่งเสื้อผ้าคลุมกายพยายามกระเสือกกระสนจะลุกขึ้นจากเตียง ทว่าอาจเป็นเพราะตื่นตระหนกจนเกินไป ขาทั้งสองของนางจึงอ่อนพับลงร่วงไปนั่งอยู่ตรงนั้น
ไม่มีม่านคลุมเตียงแล้ว บนเตียง นอกจากหญิงสาวที่ตื่นตระหนกอย่างแรงคนนั้น ก็เหลือแต่เพียงเถ้าธุลี
——
ภาพเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นแทบจะในเวลาเดียวกันในเขตแดนอื่นของเมืองหิมะสวรรค์ที่ถูกปกคลุมด้วยราตรีกาล
ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตจักรพรรดิที่มีระดับการฝึกอันแข็งแกร่ง หรือตัวตนที่มีระดับการฝึกอื่น ๆ ล้วนกลายเป็นผงธุลีร่างดับวิถีแตกภายในเวลาดีดนิ้ว
นี่ก็คือความน่ากลัวของกฎทำลายล้าง
คนที่ถูกฆ่าไม่เหลือแม้แต่ซาก!
ทว่าความเคลื่อนไหวของกฎทำลายล้างนั้นมีแต่ผู้ที่เป็นจักรพรรดิขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำเท่านั้นที่สัมผัสได้
ดังเช่นอวิ๋นซงจื่อแห่งวังธารเหลือง กับหลูฉางหมิงแห่งโถงหลงลืมเป็นต้น
แต่ต่อให้เป็นตัวประหลาดอย่างพวกเขา เมื่อต้องการจะสืบสาเหตุของวิกฤตในครั้งนี้ก็ยังไม่ได้ผลอันใด
เพราะว่าวิกฤตเช่นนั้นไม่ได้เจาะจงไปที่พวกเขา อีกทั้งยังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และจบลงอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน ระยะเวลาเพียงแค่ดีดนิ้วสามครั้งก็สูญหายไปจนสิ้นอย่างไร้สุ้มเสียง
“เรียบร้อย”
บนถนนสายยาวที่เงียบสงบวังเวงเส้นนั้น ชายในชุดผ้าเอ่ยขึ้น
“ตายหมดแล้วหรือ?”
โยวเสวี่ยทนไม่ไหวถามขึ้นมา
ชายในชุดผ้าพยักหน้า สีหน้าราบเรียบราวกับคร้านจะเอ่ยถึงเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้
สายตาของเขาเบนไปที่ซูอี้
ซูอี้ส่ายหน้าน้อย ๆ “อย่าเลย สถานที่เช่นนั้นของเจ้าอ้างว้างและน่าเบื่อ รอให้ข้ากลับมาจากเมืองมืดแล้ว ค่อยหาสถานที่ดี ๆ อีกครั้งก็ยังไม่สาย”
ชายในชุดผ้าส่งเสียงอืม จากนั้นก็หายไปไม่เห็นอีก
“ผู้คุมรัตติกาลคนนี้… สงบเงียบจนน่ากลัวจริง ๆ ข้าคิดว่าต่อให้ฟ้าถล่มลงมา ก็คงไม่อาจทำให้เขาสะทกสะท้านใจขึ้นมาได้”
โยวเสวี่ยร้องเบา ๆ
ซูอี้กล่าวทั้งรอยยิ้ม “พวกเราไปหาโรงเตี๊ยมกันเถอะ จะได้พักผ่อนเสียที”
พูดจบ เขาก็สาวเท้าก้าวเดินไปข้างหน้าแล้ว
โยวเสวี่ยเดินตามอยู่ข้างหลัง
เพียงแค่ชั่วครู่เดียว กลางอากาศที่ห่างไกลออกไป ร่าง ๆ หนึ่งก็บินโฉบมาท่ามกลางราตรีกาล
เมื่อมองเห็นซูอี้กับโยวเสวี่ยจากระยะไกล ร่าง ๆ นั้นก็หยุดลง
และในเวลาเดียวกันนี้เอง ซูอี้ก็เห็นคนที่มาเยือนเช่นกัน สายตาของเขาดูคาดไม่ถึง
ผู้มาเยือนมีผมและเคราขาวสลับดำ เขาสวมชุดขนนก ใบหน้าตอบซูบ นั่นคือหลูฉางหมิงผู้อาวุโสสูงสุดที่สามแห่งโถงหลงลืม!
เมื่อเห็นซูอี้ชัดเจนแล้ว หลูฉางหมิงก็รู้สึกคาดไม่ถึงเช่นกัน
เขาสงบสติอารมณ์ ก่อนจะเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหา หลูฉางหมิงก้มหัวแสดงความคารวะพลางกล่าว “วิถีมนุษย์คือ จากกันแล้วได้พบเจอ หลายเดือนไม่เจอกัน คุณชายซูงามสง่ายิ่งกว่าเดิมมาก”
ซูอี้กวาดตามองอีกฝ่ายด้วยสายตาราบเรียบ ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “วันนี้ตอนที่ข้าเข้าเมือง บังเอิญพบกับหยวนหลินหนิง ไม่คิดเลยว่า เวลานี้จะได้พบเจ้าอีก ช่างบังเอิญเสียจริง”
หลูฉางหมิงรู้สึกสับสนยิ่งนัก ครั้งนั้น ก็เป็นเพราะซูอี้เขาจึงถูกม่ออู๋เหินทูตข้ามนทีปลดจากตำแหน่งผู้อาวุโส!