บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 901: อีกามืดปรากฏอีกครั้ง
ตอนที่ 901: อีกามืดปรากฏอีกครั้ง
แต่หลูฉางหมิงไม่ได้โกรธ
เพราะเขารู้ดีว่าชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้จะต้องมีภูมิหลังอันยิ่งใหญ่สะท้านฟ้าอย่างแน่นอน
ไม่เช่นนั้น ม่ออู๋เหินทูตข้ามนทีคงไม่ถึงขั้นลงมือขั้นเด็ดขาดเพื่อถอดตัวตนในขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำอย่างเขาออกจากตำแหน่ง ‘ผู้อาวุโส’!
หลูฉางหมิงยิ้มพลางตอบ “บางทีนี่อาจจะเป็นวาสนาก็เป็นได้ คุณชายซูมาเมืองหิมะสวรรค์ในครั้งนี้ มีประสงค์จะไปสืบเสาะสาเหตุความเปลี่ยนแปลงของเมืองมืดในคืนวันพรุ่งนี้เช่นกันอย่างนั้นหรือ?”
ซูอี้พยักหน้า และกำลังจะสาวเท้าจากไป
เขาไม่ค่อยถูกโฉลกกับหลูฉางหมิงมากนัก
“คุณชายซูช้าก่อน” หลูฉางหมิงรั้งไว้
“มีเรื่องอันใด?” ซูอี้ถามโดยไม่หันกลับมามอง
หลูฉางหมิงสูดหายใจลึก ๆ ไปทีหนึ่งแล้วจึงกล่าว “คุณชายซูอาจจะไม่รู้ ครั้งนั้นหลังจากที่คุณชายออกไปได้ไม่นาน ทูตข้ามนที ‘ม่ออู๋เหิน’ บันดาลโทสะอย่างแรง…”
เขาบอกเรื่องที่นักบวชสูงสุดกับนักบวชลำดับสามถูกลงโทษ รวมถึงเรื่องที่ตนเองถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้อาวุโสให้ฟังอย่างละเอียด
ซูอี้ถึงกับตะลึง
เขารู้ว่าม่ออู๋เหินเป็นศิษย์น้องของ ‘อวิ๋นจื่ออิง’ ผู้เคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดของโถงหลงลืม
ทว่า เขาไม่คาดคิดเลยว่าเป็นเพราะตนเอง ม่ออู๋เหินถึงขั้นลงมือเด็ดขาดเช่นนี้ แม้กระทั่งตัวตนขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำอย่างหลูฉางหมิงก็ยังพลอยถูกลงโทษไปด้วย
“ก็ใช่ ครั้งนั้นตอนที่ข้าไปทดลองฝึกในถ้ำศักดิ์สิทธิ์แม่น้ำลืมเลือน สัตว์เหวลึกผู้เฝ้าทางเข้าเคยกล่าวไว้ว่า ตอนนั้นม่ออู๋เหินก็ปิดตนอยู่ในถ้ำศักดิ์สิทธิ์แม่น้ำลืมเลือนเช่นกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คนผู้นั้นคงจะเดาฐานะของตนเองออกตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว” ซูอี้เข้าใจได้ในทันใด
หลูฉางหมิงกล่าวถอนใจ “คุณชายซู เรื่องในครั้งนั้น พวกข้ามีความผิดและก็ได้รับการลงโทษไปแล้ว หวังว่าคุณชายอย่าได้ติดใจเอาความในเรื่องนี้อีก”
ซูอี้หัวเราะสบายอารมณ์ “เจ้าคิดมากไปแล้ว ซูผู้นี้ยังไม่ถึงกับต้องเก็บเอาเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้มาคิดหรอก”
หลูฉางหมิงราวกับโล่งอก เขายิ้มพลางกล่าว “ยิ้มเบิกบานลืมเลือนความโกรธแค้นเมื่อวันวาน รอยยิ้มลบเลือนความคับแค้น หากว่าคุณชายไม่รังเกียจ ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถไปเมืองมรณะกับคุณชายในคืนวันพรุ่งนี้”
นิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขาก็กล่าวขึ้นอีกว่า “คุณชายไม่ต้องกังวล ครั้งนี้โถงหลงลืมของพวกข้าร่วมมือกับผู้เป็นจักรพรรดิของขุมกำลังระดับสุดยอดอย่างโถงหลงลืมกับตำหนักเทพอัคคีกระจ่าง จึงจะสามารถรับมือกับอันตรายในเมืองมรณะได้ หากว่าคุณชายสามารถเดินทางไปพร้อมกันได้ จะได้คอยดูแลซึ่งกันและกันด้วย”
ซูอี้อึ้งไปชั่วครู่ด้วยความตะลึง
หลูฉางหมิงกล่าวจริงจังราวกับกลัวว่าซูอี้จะเข้าใจผิด “คุณชายเป็นคนที่บรรพชนม่ออู๋เหินของสำนักพวกเราให้ความสำคัญ ข้าทำเช่นนี้ ไม่ได้มีเจตนาอื่นอย่างแน่นอน”
ซูอี้ส่ายหน้า “ไม่จำเป็น”
หลูฉางหมิงอดเย้ยหยันตัวเองในใจไม่ได้
เขาไหนเลยจะมองไม่ออก แม้ว่าตนเองจะพยายามแสดงความเป็นมิตรออกมาอย่างเต็มที่แล้ว ทว่าคุณชายซูผู้มีภูมิหลังอันลึกลับคนนี้กลับไม่ค่อยอยากจะเป็นมิตรด้วย
“ข้าขอเตือนพวกเจ้า อย่าได้ไปเมืองมรณะเลย ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเมืองมืด เป็นเพียงกับดักหนึ่งที่วัดเสวียนหมิงตั้งวางไว้เท่านั้น”
จู่ ๆ ซูอี้ก็เอ่ยขึ้น
หลูฉางหมิงตะลึง จากนั้นก็หรี่ตาลงในทันใด
กับดักของวัดเสวียนหมิง!?
เขานึกถึงเซียวเป๋ยเหย่ นักบวชลำดับสองที่มาพร้อมกับตน แต่กลับหายตัวไปอย่างลึกลับในเมืองหิมะสวรรค์ขึ้นมา เขาสงสัยเช่นกันว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับวัดเสวียนหมิงด้วย
“คุณชายซูพูดจริงหรือ?”
หลูฉางหมิงอดถามขึ้นมาไม่ได้
“เชื่อหรือไม่เชื่อ แล้วแต่ตัวของเจ้าเอง”
ซูอี้พูดจบ ก็ก้าวเดินจากไปพร้อมกับโยวเสวี่ย
หลูฉางหมิงอ้าปากจะพูด ทว่าสุดท้ายยังคงเก็บไว้ไม่พูด
เพราะอย่างไรเสีย ระหว่างเขากับซูอี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์อันใดต่อกัน ยิ่งกว่านั้นยังเคยเกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างกันด้วย
เวลาเช่นนี้ ถึงแม้ในใจของเขาจะมีความสับสนและสงสัย ทว่าไม่อาจบากหน้าวิ่งตามไปถามได้
——
ในราตรีกาล
ณ ดินแดนที่ห่างจากทิศตะวันออกของเมืองหิมะสวรรค์สามร้อยลี้ บนพื้นที่รกร้างแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ ๆ กับเทือกเขาห้อยหัว
ผู้ที่ชายชุดผ้าเก่าเรียกว่า ‘ภิกขุซื่อเอ้อร์’ ก็คือนักบวชสูงสุดแห่งวัดเสวียนหมิง เขากำลังนั่งขัดสมาธิกับพื้น ขณะภาวนานับลูกประคำกระดูกสีดำในมืออย่างมีสมาธิ
ฉับพลัน หัวกะโหลกที่มีเลือดหยดเยิ้มก็แหวกอากาศลงมา
ดวงตาขุ่นมัวของนักบวชชราจีวรดำส่องประกายน่ากลัวออกมา พลางเอื้อมมือออกไปคว้า
หัวกะโหลกที่มีเลือดหยดเยิ้มก็ร่วงหล่นลงฝ่ามือ
ใบหน้าของหัวกะโหลกหัวนี้ผอมซูบ ในดวงตาโบ๋ลึกมีคางคกขนาดเท่ากับเมล็ดถั่วสองตัวยืนอยู่
“นายท่าน ผู้คุมรัตติกาลบอกว่า นับแต่วันนี้เป็นต้นไป หากว่าคนของวัดเสวียนหมิงเข้าไปในเมืองหิมะสวรรค์อีก จะต้องตายไม่เหลือแม้กระดูก”
เสียงของหัวกะโหลกผู้เฒ่าร่างผอมขาด ๆ หาย ๆ
เสียงยังคงดังกึกก้อง จากนั้นหัวกะโหลกก็ร้าวเป็นชิ้นย่อยนับไม่ถ้วนอย่างไร้สุ้มเสียง กลายเป็นเถ้าถ่านร่วงหล่นใส่มือของนักบวชชราจีวรดำ
นักบวชชราจีวรดำนิ่งไป ใบหน้าของเขาขาวซีดขึ้นมา
“ทีท่าเปลี่ยนไปเช่นนี้เด็ดขาดมาก”
ทว่าคืนนี้ เขาส่งบ่าวไปยังเมืองหิมะสวรรค์เพื่อเชิญหญิงชายคู่นั้น ไม่นึกเลยว่าสิ่งที่รอจะกลายเป็นผลลัพธ์เช่นนี้!
“หญิงชายคู่นั้นบอกว่าตนเองเป็นสหายเก่าของผู้คุมรัตติกาล แต่คืนนี้ ผู้คุมรัตติกาลฆ่าบ่าวคนสนิทของข้า รวมถึงท่าทีที่เปลี่ยนไป จะต้องเกี่ยวข้องกับหญิงชายคู่นั้นอย่างแน่นอน”
นักบวชชราจีวรดำนึกถึงชายหนุ่มชุดเขียวกับหญิงสาวชุดกระโปรงสีเรียบที่พบกันตอนเย็นวันนี้แล้ว เขาก็อดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้
“หรือว่า การมาของหญิงชายคู่นี้ จะทำให้ผู้คุมรัตติกาลไม่เกรงกลัวการคุกคามของวัดเสวียนหมิงอีก?”
“เรื่องนี้ จะต้องแจ้งให้ใต้เท้าอีกาดำรู้โดยเร็ว”
นานมาก เมื่อนักบวชชราจีวรดำพลิกฝ่ามือ ยันต์กระดูกประหลาดรูปร่างคล้ายกับขนอีกาก็ปรากฏขึ้น
ฉับพลัน เขาท่องคาถา
พรึ่บ!
ยันต์กระดูกประหลาดพลันเกิดประกายแสงบาดตาและลุกไหม้ขึ้นมา
ประกายแสงถักทอกลายเป็นอีกาดำที่มีความสูงจั้งกว่า ๆ ขนนกดำขลับราวกับราตรีมืดมิด ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับแดงราวกับโลหิต
อีกาเก้ามืดมิด!
เพียงแต่ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นพลังมุ่งมั่น ร่างของมันแลดูเลือนรางไม่แท้จริง
นักบวชชราพนมมือ ขณะก้มหน้าแสดงความเคารพ “คารวะใต้เท้าอีกาดำ”
“ภิกขุซื่อเอ้อร์ หรือว่าผู้คุมรัตติกาลที่เจ้าไปหาคนนั้น เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น?”
อีกาเก้ามืดมิดเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงหนักทุ้มมีอำนาจ
นักบวชชราจีวรดำรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างละเอียด
เมื่อฟังแล้ว ดวงตาสีแดงสดของอีกาเก้ามืดมิดก็เกิดประกายคมกริบ “ผู้คุมรัตติกาลคนนี้ พูดดีด้วยไม่รู้เรื่องอยากจะหาเรื่อง! คิดว่าหากไม่มีเขา พวกเราคงไม่อาจช่วยเทพยมบาลให้หลุดพ้นจากภัยอันตรายได้เช่นนั้นหรือ?”
“ใต้เท้า จากที่ข้ามอง ที่ผู้คุมรัตติกาลมีท่าทีเปลี่ยนแปลงไป จะต้องเกี่ยวข้องกับหญิงชายคู่นั้นอย่างแน่นอน”
นักบวชชราจีวรดำกล่าวเบา ๆ
นักบวชชราจีวรดำส่ายหน้า “ไม่ทราบขอรับ”
อีกาเก้ามืดมิดไม่พอใจ “ถ้าเช่นนั้นเจ้ารู้เรื่องอะไรบ้าง?”
นักบวชชราจีวรดำตัวแข็งทื่อ กล่าว “ผู้น้อยจำโฉมหน้าของฝ่ายตรงข้ามได้ ใต้เท้าโปรดพิจารณาดู”
พูดจบ เขาประสานมือทำสัญลักษณ์
วาบ!
สะเก็ดแสงสาดกระเซ็นออกมากลางอากาศกลายเป็นภาพวาดภาพหนึ่ง
รูปที่สะท้อนภายในภาพเป็นภาพของซูอี้กับโยวเสวี่ยกำลังรออยู่ที่ร้านตีเหล็กแห่งนั้น
เมื่อเห็นภาพชัดเจนแล้ว อีกาเก้ามืดมิดถึงกับตะลึง นัยน์ตาสีแดงสดเบิกกว้าง
นักบวชชราจีวรดำก้มหน้าอยู่ เขาจึงมองไม่เห็นอาการของอีกาเก้ามืด และกล่าวไปตามเรื่องตามราวของตัวเอง “ใต้เท้า ข้าสงสัยว่า หญิงสาวนางนั้นเป็นตัวตนที่น่ากลัวและร้ายกาจมาก ถึงแม้นางจะกลบเกลื่อนพลังในตัว แต่อานุภาพที่แสดงออกมาอย่างไม่ตั้งใจในทุกอากัปกิริยา เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิทั่วไปจะสามารถเทียบเทียมได้”
นักบวชชราทนความสงสัยไม่ไหว จึงเงยหน้าขึ้นและเขาก็เห็นดวงตาของอีกาเก้ามืดมิดจับจ้องดูชายหนุ่มชุดสีเขียวที่อยู่ในภาพไม่คลาดสายตา นัยน์ตาสีแดงชาดสับสนไม่นิ่ง
“ใต้เท้า?”
นักบวชชราจีวรดำเรียกเบา ๆ
อีกาเก้ามืดมิดจึงสะดุ้งตื่นจากภวังค์ มันกัดฟันกรอด ๆ พลางกล่าว “ข้ารู้แล้วว่าคนผู้นี้เป็นใคร!!”
ในน้ำเสียงแฝงไว้ซึ่งความเคียดแค้นที่ยากจะกลบเกลื่อน
นักบวชชราจีวรดำถึงกับตกใจ “ใต้เท้าจำชายหนุ่มคนนั้นได้?”
อีกาเก้ามืดมิดหัวเราะเย็นชาพลางกล่าว “ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ชื่อแซ่ของคนผู้นี้ แต่รู้ว่าเขามาจากตระกูลชุยเผ่าโบราณ ฐานะมีเงื่อนงำ คืนเทศกาลหมื่นโคมไฟในครั้งนั้น ก็เป็นเพราะเขาผู้นี้ทำลายแผนการของพวกเรา ทำให้แผนที่พวกเราเตรียมการไว้ต้องเสียเปล่า ไม่เป็นผล!”
นักบวชชราถึงกับสูดปาก
กองทัพใหญ่วิญญาณชั่วที่อีกาเก้ามืดมิดเป็นผู้นำทัพในครั้งนั้น ร่วมมือกับขุมกำลังเผ่าโบราณมากมายเพื่อบุกโจมตีเมืองตาข่ายม่วงพร้อมกัน เขารู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี
ยิ่งกว่านั้น เขายังรู้ด้วยว่ากลุ่มตัวตนน่ากลัวเช่นทูตรับใช้กาฬราตรีที่ออกปฏิบัติการร่วมกันล้วนถูกฆ่าตายจนเกลี้ยง แม้กระทั่งอีกาเก้ามืดมิดก็ยังเกือบโดนฆ่าไปด้วย!
“ใต้เท้า หรือว่าคนผู้นี้จะเป็น… ปรมาจารย์ดาบเสวียนจวิน!?”
นักบวชชรากล่าวด้วยความตื่นตะลึง
พูดถึงปรมาจารย์ดาบเสวียนจวินขึ้นมา เขาถึงกับเหงื่อย้อยหนาวสันหลัง ใจสั่นสะท้าน
อีกาเก้ามืดมิดสบถเสียงร้องฮึ “คนผู้นั้นก็เพียงแค่ยืมพลังมหาวิถีที่ตัวประหลาดซูทิ้งไว้ที่ตระกูลชุยเมื่อครั้งนั้น ตัวเขาเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณตัวกระจ้อยร่อยไม่อยู่ในสายตาคนหนึ่งก็เท่านั้น”
นักบวชชราจีวรดำจึงกล่าวขึ้นมาเบา ๆ ด้วยความโล่งอก “ไม่ใช่ก็ดี ไม่ใช่ก็ดี…”
“กลัวอะไร? เมื่อเทพยมบาลพ้นอันตรายจากเมืองมรณะ ต่อให้ตัวประหลาดซูกลับชาติมาเกิด ก็ไม่มีค่าให้พวกเราต้องหวาดกลัว!”
อีกาเก้ามืดมิดกล่าวอย่างหยิ่งทะนง
นักบวชชราจีวรดำพยักหน้า
“แต่ว่า ฐานะของคนผู้นี้ในตระกูลชุยค่อนข้างลึกลับ ข้าเคยส่งคนไปสืบที่เมืองตาข่ายม่วง แต่ไม่ได้ความอะไรกลับมา อีกทั้ง จิตสำนึกของพฤกษาหมื่นวิถีในตระกูลชุยก็ยังเคยออกเดินทางพร้อมกับเขา เช่นนี้แสดงว่าฐานะของเขาในตระกูลชุยจะต้องไม่ธรรมดา”
แววตาของอีกาเก้ามืดมิดเป็นประกาย “และคืนนี้ เขาก็ไปพบกับผู้คุมรัตติกาลอีก หรือว่า… ครั้งนี้เขาก็คิดจะไปเมืองมรณะด้วยเช่นกันอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ อีกาเก้ามืดมิดก็นึกขึ้นได้ว่า ครั้งแรกที่พบกับชายหนุ่มชุดเขียวคนนั้น อีกฝ่ายเคยบอกเรื่องราวของเมืองมรณะให้ตัวเองรู้
“เมืองมรณะมีพื้นที่ต้องห้ามมากกว่าร้อยที่ และในหมู่พวกมัน มีเพียงเก้าแห่งที่อันตรายที่สุด รวมถึง ‘เทือกเขาสวรรค์พิบัติร้าย’ และ ‘นภาโกลาหล’ หากข้าเดาถูก กาน้อยอย่างเจ้าคงจะมาจากหนึ่งสองดินแดนต้องห้ามนี้”
“อย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า ‘ท่านเทพจันทราโลหิต’ ตายในเมืองมรณะเพราะเหตุใด? ผู้ใดกันที่กักขัง ‘จักรพรรดิกระดูกขาว’ จนตกสู่ความมืดมิด? เหตุใด ‘เมืองเสี่ยวหมิง’ จึงมีเถาวัลย์ปีศาจประสานฟ้า?”
เมื่อนึกถึงคำพูดเหล่านี้ขึ้นมา อีกาเก้ามืดมิดก็ยิ่งตระหนักได้ว่าการที่ชายหนุ่มปรากฏตัวในเมืองหิมะสวรรค์ครั้งนี้อาจจะเพื่อมายังเมืองมรณะก็เป็นได้!
“หากว่าสามารถสืบรู้ได้ว่าใครเป็นคนฆ่าท่านเทพจันทราโลหิต และใครจับตัวจักรพรรดิกระดูกขาวไปกักขัง รวมถึงเถาวัลย์ปีศาจประสานฟ้าครอบครอง ‘เมืองเสี่ยวหมิง’ ได้เช่นใด อาจจะเดาได้ว่าเจ้าหนุ่มคนนั้นมีประวัติความเป็นมาอย่างไร?”
อีกาเก้ามืดมิดตกอยู่ในภวังค์ความนึกคิด