บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 903: ความคิดของบรรดาสัตว์ประหลาดเฒ่า
ตอนที่ 903: ความคิดของบรรดาสัตว์ประหลาดเฒ่า
พวกเขาต่างได้เห็นอวิ๋นซงจื่อ ผู้อาวุโสแห่งวังธารเหลือง ประสานมือคำนับ ‘เด็ก’ ทั้งสองในสายตาพวกเขาตั้งแต่ยังอยู่ในระยะไกล พร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สหายเต๋าทั้งสอง ยังจำข้าได้อยู่หรือไม่”
คนทุกผู้ต่างเงียบงัน
ชายชุดสีแดงและเหล่าตัวตนขอบเขตจักรพรรดิในที่นี้ต่างตกใจกับภาพอวิ๋นซงจื่อคำนับ
หลูฉางหมิงยังอดตะลึงไม่ได้ อวิ๋นซงจื่อผู้มีนิสัยเย่อหยิ่งไม่สนผู้ใดมาแต่ไหนแต่ไร ไยจึงเป็นฝ่ายคำนับซูอี้ก่อนได้?
หรือว่า ตาเฒ่านี้ล่วงรู้ความเร้นลับของซูอี้เหมือนกัน?!
เมื่อได้พบซูอี้อีกครั้ง หน้าตาหยวนหลินหนิงก็ดูไม่เป็นธรรมชาติเท่าใด ในฐานะตัวตนขอบเขตจักรพรรดิ กลับเคยพ่ายแพ้ให้ชายหนุ่มวิถีวิญญาณ เรื่องแบบนี้ขายหน้าเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย
“หลินหนิง ข้าจะเข้าไปทักทายก่อน”
เสียงของหลูฉางหมิงดังขึ้นข้างหูหยวนหลินหนิง
เมื่อเห็นดังนั้น บรรดาตัวตนขอบเขตจักรพรรดิที่เคยเกลี้ยกล่อมซูอี้ และมองซูอี้และโยวเสวี่ยเป็น ‘เด็ก’ ต่างผงะไป สีหน้าเลื่อนลอยเล็กน้อย
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
เหตุใดสองผู้เฒ่าแห่งวังธารเหลืองและโถงหลงลืมต่างพากันคำนับชายหนุ่มขอบเขตวงล้อวิญญาณก่อน?
เด็กคนนี้เป็นผู้ยิ่งใหญ่จากแห่งหนใดกัน?
ช่วงเวลานี้ กระทั่งเฟิงอวี่จือแห่งตำหนักเทพอัคคีกระจ่าง รวมถึงตัวตนขอบเขตจักรพรรดิผู้เฒ่าผู้แก่คนอื่นในที่นี้ต่างตระหนักถึงความผิดปกติ และพากันมองซูอี้กับโยวเสวี่ยเสียใหม่… ด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป
ซูอี้หาได้สนใจสายตาที่แปลกไปในที่นี้ไม่
เขากวาดสายตามองหลูฉางหมิงและอวิ๋นซงจื่อ และไม่เอื้อนเอ่ยคำใด เพียงแต่ผงกหัวเบา ๆ ถือว่าเป็นการทักทาย
ท่าทีเช่นนี้ของเขา ส่งผลให้ขอบเขตจักรพรรดิคนอื่น ๆ ในที่นี้ตะลึงยิ่งกว่าเดิม
ในสายตาผู้ฝึกตนของโลกนี้ วิถีลึกล้ำเปรียบดั่งสวรรค์ ขอบเขตจักรพรรดิเปรียบดั่งเทพเทวะ
และเมื่ออยู่ต่อหน้าสัตว์ประหลาดเฒ่าขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำอย่างอวิ๋นซงจื่อและหลูฉางหมิง ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิส่วนใหญ่ในที่นี้ยังต้องไว้หน้า และเรียกขานพวกเขาว่าผู้อาวุโส
ใครจะกล้าคิด ชายหนุ่มขอบเขตวงล้อวิญญาณเมื่อเจอกับการคำนับจากปีศาจเฒ่าทั้งสอง จะมีปฏิกิริยาเรียบเฉยปานนี้
มิหนำซ้ำ ยังวางมาดใหญ่โต!
ขณะเดียวกัน เขาก็ได้ยินหลูฉางหมิงเรียกซูอี้ว่า ‘คุณชายซู’! วาจานี้ทำให้อวิ๋นซงจื่ออดตะลึงในใจไม่ได้ เพิ่งตระหนักได้ว่าตาเฒ่าหลูฉางหมิงรู้จักชายหนุ่มผู้นี้อยู่ก่อนแล้ว
ชั่วขณะนั้น ขอบเขตจักรพรรดิทุกคนในที่นี้ต่างมีความคิดของตน
ทว่า ไม่ว่าในใจจะคิดเห็นอย่างไร เขาก็ไม่กล้าปฏิบัติกับซูอี้เสมือนคนทั่วไปอีก
ซูอี้กับโยวเสวี่ยจึงตรงมายังหน้าประตูพร่ามัวคล้ายไม่ใช่ความจริงที่สูงหลายร้อยจั้งได้อย่างราบรื่น
“สหายเต๋า เมื่อคืนเจ้าได้เตือนเจ้าพวกนั้น ให้พวกเขาอย่ารนหาที่ แต่ดูแล้วพวกเขาไม่เชื่อ”
โยวเสวี่ยส่งกระแสปราณ
ซูอี้เอ่ยโดยไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ “เรื่องปกติของมนุษย์ ถึงอย่างไร พวกเขาก็เดินทางมาพร้อมตัวตนขอบเขตจักรพรรดิมากมาย ใครเล่าจะสมัครใจหยุดเพียงเท่านี้ อย่าว่าแต่คำเตือนด้วยความหวังดีของข้าเลย ต่อให้ผู้คุมรัตติกาลไปเกลี้ยกล่อมด้วยตนเอง น่ากลัวว่ายังไม่มีผู้ใดรับฟัง”
สายตาของเขาพินิจมองบานประตูสูงร้อยจั้ง
นี่คือประตูใหญ่ที่เชื่อมต่อกับเมืองมรณะ ซึ่งสร้างขึ้นด้วยพลังแห่งกฎเกณฑ์มิติ ทุกครั้งที่พระจันทร์ปรากฏ ประตูใหญ่บานนี้จะโผล่ออกมา
“ไม่เกินครึ่งเค่อ เราก็ลงมือได้”
ครู่หนึ่ง ซูอี้ก็ดึงสายตากลับมา จากนั้นเขาก็หยิบน้ำเต้าสุราออกมาและกระดกโดยไม่สนสิ่งใด
ส่วนโยวเสวี่ยยังคงยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง ประหนึ่งสาวใช้อ่อนโยนผู้เชื่อฟัง
…..
วาบ!
โดยปราศจากสุ้มเสียง เฟิงอวี่จือแห่งตำหนักเทพอัคคีกระจ่างสร้างม่านพลังเขตปลอดเสียง บดบังตัวตนขอบเขตจักรพรรดิซึ่งอยู่ฝ่ายเดียวกันไว้ด้านใน
จากนั้น นางก็หันมองอวิ๋นซงจื่อ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “สหายเต๋า ชายหนุ่มผู้นั้นเป็นผู้ยิ่งใหญ่จากแห่งหนใดกันแน่”
ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิคนอื่น ๆ ต่างมีสีหน้าใคร่รู้
อวิ๋นซงจื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงเอ่ย “ข้ากับสหายเต๋าผู้นั้นเคยมีวาสนาพบกันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ทว่าข้าจำได้ขึ้นใจ อีกฝ่ายมีภูมิหลังไม่ธรรมดา รายละเอียดนั้นประเดี๋ยวข้าจักเล่าให้ทุกท่านฟัง”
เว้นจังหวะนิดหนึ่ง เขาก็หันมองหลูฉางหมิง “ก่อนนี้ได้ยินสหายเต๋าหลูเรียกขานอีกฝ่ายว่าคุณชายซู ท่านคงรู้จักสหายเต๋าผู้นั้นใช่หรือไม่”
สีหน้าหลูฉางหมิงซับซ้อนขึ้นมาในบัดดล “ทุกท่านไม่ใช่คนอื่นคนไกล เรื่องนี้ใช่ว่าบอกกล่าวแก่ใครไม่ได้ เพียงแต่ ข้ารู้แค่ว่าคุณชายซูผู้นี้มีนามว่าซูอี้ มาจากโลกที่ชื่อว่ามหาทวีปคังชิง
มหาทวีปคังชิง?
ทุกคนในที่นี้ผงะ
หลูฉางหมิงกล่าวต่อ “สิ่งเดียวที่พิเศษคือภูมิหลังของคุณชายซูผู้นี้คงไม่ธรรมดา ผู้เฒ่าสำนักเราอย่างทูตข้ามนที และม่ออู๋เหินต่างเคารพนับถือคุณชายซูผู้นี้อย่างมาก”
เมื่อฟังมาถึงนี่ ทุกคนก็อดหวั่นใจไม่ได้
พวกเขาย่อมรู้ดีว่าฐานะของม่ออู๋เหินที่โถงหลงลืมนั้นวิเศษและอาวุโสเพียงใด
หลูฉางหมิงถอนหายใจ ยิ้มเจื่อน ๆ พลางกล่าว “ข้าไม่กลัวทุกท่านหัวเราะเยาะ ก่อนนี้เคยเกิดเรื่องเข้าใจผิดระหว่างข้าและคุณชายซูผู้นี้ ท่านอาวุโสม่ออู๋เหินบันดาลโทสะจนเพิกถอนตำแหน่งผู้อาวุโสของข้า”
เสียงสูดปากดังขึ้น
ทุกคนสบตากัน พวกเขาต่างตะลึงกับความหมายประโยคนี้ของหลูฉางหมิง!
หลูฉางหมิงเป็นการดำรงอยู่ขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ แต่เพราะเรื่องเข้าใจผิดเล็ก ๆ ระหว่างตนกับซูอี้ถึงกับถูกเพิกถอนตำแหน่งผู้อาวุโส
เรื่องนี้ชวนขนหัวลุกยิ่ง!
เท่านี้พอจะดูออกว่าตาเฒ่าคร่ำครึอย่างม่ออู๋เหินนับถือและให้เกียรติชายหนุ่มนามซูอี้ผู้นี้เพียงใด
เฟิงอวี่จือสงบจิตสงบใจ ทอดสายตามองอวิ๋นซงจื่อ “สหายเต๋า เล่าเรื่องของท่านบ้างสิ”
อวิ๋นซงจื่อไตร่ตรองก่อนเอ่ย “เมื่อวานช่วงตะวันตกดิน ข้านำ ‘ประกาศิตเฟิงตู’ ไปเยือนท่านอาวุโสลึกลับนามผู้คุมรัตติกาลผู้นั้น แต่ต่อให้ข้ามีประกาศิตเฟิงตูติดตัว ยังไม่ได้พบท่านอาวุโสผู้คุมรัตติกาลผู้นั้น”
ผู้คุมรัตติกาล!!
ทุกคนในที่นี้ตากระตุก
ไม่ว่าใครในพวกเขาซึ่งอยู่ ณ ที่นี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คุมรัตติกาลผู้นั้นก็ไม่ต่างจากชนรุ่นหลัง
ท่ามกลางบรรยากาศชวนอึดอัด อวิ๋นซงจื่อก็เอ่ยขึ้นเสียงเบา “ทว่าเกินความคาดหมายของข้า สหายเต๋าซูผู้นั้นยังอ้างตนว่าเป็นสหายเก่าของท่านอาวุโสผู้คุมรัตติกาล เพียงประโยคนี้ประโยคเดียวก็ได้เข้าพบท่านผู้คุมรัตติกาล”
เมื่อประโยคนี้ถูกเอื้อนเอ่ย ทุกคนในที่นี้ล้วนใจสะท้าน และก็ยิ่งตระหนักได้ว่าชายหนุ่มขอบเขตวงล้อวิญญาณนามซูอี้ผู้นั้นไม่ธรรมดา
กระทั่งหลูฉางหมิงยังอดขวัญสั่นไม่ได้ อย่างที่คิด ภูมิหลังของซูอี้ผู้นี้ลึกลับกว่าที่ตนได้รู้เสียอีก!
หยวนหลินหนิงเงียบ
ช่วงเวลานี้ เมื่อได้เห็นท่าทางอึ้งงันของตาเฒ่าแต่ละคน นางเบาใจลงไม่น้อยอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ตัวเองแพ้ให้กับเจ้าคนลึกลับเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องถือสาหาความเท่าใด…
“ดูท่า สหายเต๋าซูผู้นี้ต้องเป็นคนสุดแสนจะไม่ธรรมดาแน่นอน เช่นนี้ไม่สู้เราเชื้อเชิญเขามาร่วมขบวนการด้วยไม่ดีกว่าหรือ?”
ทันใดนั้น เฟิงอวี่จือโพล่งออกมา
‘จอมดาบเสวียนหลิว’ แห่งตำหนักเทพอัคคีกระจ่างผู้นี้ได้เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อซูอี้ไป กระทั่งสรรพนามยังเปลี่ยนเป็น ‘สหายเต๋า’
ชายหนุ่มที่ม่ออู๋เหินให้ความสำคัญ ซ้ำท่านอาวุโสผู้คุมรัตติกาลยังมองเห็นเป็น ‘สหายเก่า’ มีหรือที่ผู้ฝึกตนวิถีวิญญาณธรรมดาทั่วไปจะเทียบเทียมได้?
กระทั่งขอบเขตจักรพรรดิทั่วไปยังไม่อาจทัดเทียมเขา!
และบัดนี้ ชายหนุ่มและสตรีข้างกายต้องการเข้าไปในเมืองมรณะเช่นกัน หากเชื้อเชิญพวกเขามาเข้าร่วมขบวนการได้ ย่อมเป็นเรื่องดี
ทว่าเวลานี้ หลูฉางหมิงกลับหัวเราะเจื่อน ๆ “ทุกท่าน เมื่อคืนข้าได้ออกปากเชิญคุณชายซูไปแล้ว แต่ถูกเขาปฏิเสธ”
เฟิงอวี่จือผงะ ปฏิเสธรึ?
ขอบเขตวงล้อวิญญาณคนใดในโลกจะกล้าปฏิเสธคำเชิญจากระดับจักรพรรดิขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำ
เวลานั้น ใครบางคนเอ่ยขึ้นเสียงเบา “เท่าที่ข้าดู บางทีซูอี้ผู้นี้มีภูมิหลังไม่ธรรมดา กระนั้นพลังของเขายังอยู่ขอบเขตวงล้อวิญญาณ ปฏิบัติการเมืองมรณะครานี้ ด้วยพลังของเขาน่ากลัวว่าช่วยสิ่งใดไม่ได้มาก”
เมื่อวาจานี้ถูกเอื้อนเอ่ย จึงมีเสียงสำทับเห็นด้วยดังตามมาไม่น้อย
ชายหนุ่มขอบเขตวงล้อวิญญาณเมื่ออยู่ในการต่อสู้ นอกจากไม่เป็นประโยชน์แล้วยังจะกลายเป็นภาระอีกด้วย
ใครบางคนเอ่ยเสียงเข้ม “สถานะของเขาพิเศษเกินไป ขืนประสบเคราะห์ร้ายในเมืองมรณะ สำนักซึ่งอยู่เบื้องหลังเขา หรืออาจะเป็นกลุ่มก้อนอำนาจที่คอยหนุนหลัง น่ากลัวว่าต้องพาลมาที่พวกเราเป็นแน่ ผลที่ตามมานั้นผู้ใดเล่าจะรับไหว”
เมื่อฟังมาถึงนี่ เฟิงอวี่จือก็ชะงักไป และเขาก็ไม่ฝืนอีกต่อไป
ภูมิหลังส่วนภูมิหลัง พลังส่วนพลัง!
ต่อให้ภูมิหลังยิ่งใหญ่คับฟ้า กระนั้นหากพลังอ่อนด้อยเกินไป แล้วจะมีประโยชน์อันใดในเมืองมรณะ
“พลังของสหายเต๋าผู้นี้อาจอ่อนแอไปหน่อย แต่สตรีข้างกายเขาไม่ธรรมดา”
ทันทีที่อวิ๋นซงจื่อพูดมาถึงนี่ ก็มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นฉับพลัน…
และได้เห็นว่าภายใต้ท้องฟ้ารัตติกาลที่พระจันทร์เป็นสีแดงชาด นักบวชชราจีวรดำดวงหน้าชราย่างกรายเข้ามากลางอากาศ
คล้อยตามการปรากฏตัวของเขา พลังสยองที่มองไม่เห็นแผ่ขยายออกมา ส่งผลให้ขอบเขตจักรพรรดิทั้งหมดในที่นี้ใจสะท้าน พากันทอดสายตามอง
“เจ้านั่น!”
“คนผู้นี้เป็นใคร”
“ไม่รู้”
“ลมปราณจากตัวผู้ฝึกวิถีพุทธผู้นี้ประหลาดอยู่นิดหน่อย”
“หรือว่าเป็นคนของวัดเสวียนหมิง”
…บรรดาจักรพรรดิในที่นี้ตะลึงระคนสงสัย
เมื่อเผชิญกับสายตาเหล่านี้ นักบวชชราจีวรดำมีสีหน้าอบอุ่น ริมฝีปากคลี่ยิ้มอ่อนบาง เยื้องก้าวแช่มช้า
จนกระทั่งอยู่ห่างจากซูอี้และโยวเสวี่ยไม่ไกล เขาถึงชะงักฝีเท้า สองมือประนมทำทีเคารพพลางกล่าว
“เดิมทีข้าต้องการไปพบสหายเต๋าทั้งสองตั้งแต่เมื่อคืน ไม่คิดว่าจะเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย ยังดี ในที่สุดคืนนี้ก็ได้พบทั้งสองท่าน”
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ ขอบเขตจักรพรรดิทั้งหลายในที่นี้ล้วนตะลึง เพราะไม่มีผู้ใดคาดคิดว่านักบวชชราจีวรดำพิลึกกึกกือผู้นี้จะมุ่งหน้ามาหาชายหญิงคู่นั้น!
ซูอี้เลิกคิ้วขึ้น “เจ้ามาล้างแค้นรึ?”
เขาค่อนข้างประหลาดใจ ไม่คิดว่านักบวชสูงสุดแห่งวัดเสวียนหมิงผู้ถูกเรียกขานว่า ‘ภิกขุซื่อเอ้อร์’ จะกล้าปรากฏตัวเปิดเผยเช่นนี้
นักบวชชราจีวรดำส่ายหัว เขาอมยิ้มน้อย ๆ ขณะเอ่ย “ข้าไม่ห้ามผู้ใดเข้าเมืองมรณะหรอก รวมถึงสหายเต๋าทั้งสองท่านด้วย ถึงเวลานั้น หากมีวาสนาพานพบ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะสวดส่งวิญญาณให้ทั้งสองท่าน”
นัยน์ตาสุกสกาวของโยวเสวี่ยฉายแววเย็นเยียบ นางหมายมั่นจะพูดบางอย่าง
ทว่าร่างของนักบวชชราจีวรดำพลันกลายเป็นแสงทมิฬ และกระโจนเข้าไปในประตูใหญ่เมืองมรณะเสียแล้ว
หากคิดขวาง โยวเสวี่ยมั่นใจว่าหยุดอีกฝ่ายได้แน่
ทว่าซูอี้ห้ามนางไว้
“เข้าไปในเมืองมรณะเมื่อใด เขาหนีไม่พ้นแน่”
ซูอี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรื่อยเปื่อย “กลับกัน ข้าเฝ้ารอว่าวัดเสวียนหมิงของพวกเขาจะมาไม้ไหน”