บันทึกตำนานราชันอหังการ [ 剑道第一仙 ] - ตอนที่ 904: หญิงโง่ผู้ถูกคุมขัง
ตอนที่ 904: หญิงโง่ผู้ถูกคุมขัง
ค่ำคืนมืดมิด พระจันทร์สีแดงชาดลอยอยู่บนฟ้า
ประกายโลหิตชวนพิศวงสะท้อนบนบานประตูมายาที่มีความสูงร้อยจั้ง จึงเป็นผลให้ประตูบานใหญ่ซึ่งเปิดไปยังเมืองมรณะนี้ชวนขนลุกยิ่งขึ้น
บรรดาตัวตนขอบเขตจักรพรรดิที่อยู่ไกล ๆ ล้วนตะลึงระคนสงสัย
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่านักบวชชราจีวรดำจะเพ่งเป้าไปที่กลุ่มของซูอี้
ราวกับสำหรับนักบวชชราจีวรดำ ชายหนุ่มขอบเขตวงล้อวิญญาณผู้นั้นน่าสนใจกว่าตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอย่างพวกเขามาก
ซูอี้หาได้สนใจเรื่องพวกนี้ไม่
“ไปกันเถิด”
ชายหนุ่มย่างกรายเข้าไปในประตูใหญ่เมืองมรณะ จากนั้นร่างของเขาก็หายวับไปกลางอากาศ
โยวเสวี่ยตามหลังไปติด ๆ
หลังจากเหล่าตัวตนขอบเขตจักรพรรดิเข้าไปในเมืองมรณะแล้ว คล้อยตามเวลาที่ล่วงเลย พระจันทร์สีชาดบนนภาพลันถูกเมฆดำปกคลุมเสมือนเงามืด ส่งผลให้พระจันทร์กลมสีแดงชาดพร่าเลือนขึ้นมา
และในส่วนลึกของเทือกเขาห้อยหัว บ้านเรือนที่ก่อตัวจากหมอกดำก็สั่นคลอนขึ้นมา
“ในช่วงเวลาต่อจากนี้ ไม่ว่าผู้ใดหนีออกมา ฆ่าไม่เว้น!”
เสียงแหบแห้งเย็นยะเยือกเสียงหนึ่งดังขึ้นฉับพลัน
“ขอรับ!”
ท่ามกลางรัตติกาลมืดมิด เสียงดังขึ้นระลอกหนึ่ง
จากนั้น ทั้งเทือกเขาห้อยหัวตกอยู่ในบรรยากาศเงียบสนิท ปราศจากสุ้มเสียงใด
เมืองหิมะสวรรค์
นอกร้านช่างเหล็ก
ชายในชุดผ้าเก่าแหงนหน้ามองพระจันทร์สีแดงชาดที่ใกล้ถูกหมอกดำบดบังจนมิด ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
“ท่านอาจารย์ ท่านเป็นห่วงนักดาบท่านนั้นหรือ?”
ด้านข้าง อาเฉิง ชายหนุ่มรูปร่างกำยำถามอย่างอดไม่ได้
ชายในชุดผ้าเก่าสั่นศีรษะ “ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงเขา”
“แล้วเหตุใดท่านอาจารย์ถึงขมวดคิ้วเล่าขอรับ”
ชายในชุดผ้าเก่าเอ่ยเสียงเบา “พระจันทร์สีชาดแปลงจากพลังแหล่งกำเนิดส่วนหนึ่งของใต้หล้าภูมิมืดมิด ทว่าบัดนี้ พลังของพระจันทร์สีชาดไม่เหมือนเก่าอย่างเห็นได้ชัด ไม่แปลกที่หลายปีมานี้ ไม่ว่าเมืองมรณะหรือส่วนลึกของทะเลทุกข์ จะเกิดความเปลี่ยนผันมากมายเช่นนี้…”
เสียงราบเรียบในค่ำคืนนี้กลับเจือแววเคร่งเครียด
อาเฉิงเอ่ยด้วยท่าทีเป็นกังวล “ท่านอาจารย์หมายความว่าการปรากฏตัวของยมบาลและวัดเสวียนหมิง รวมถึงความพลิกผันในส่วนลึกของทะเลทุกข์ต่างเกี่ยวข้องกับพลังที่อ่อนแอลงของพลังแหล่งกำเนิดภูมิมืดมิดอย่างนั้นหรือ”
ชายในชุดผ้าเก่าพยักหน้า
ช่วงหลายปีมานี้ พลังแหล่งกำเนิดของภูมิมืดมิดอ่อนแอลงจริง ๆ
ทว่าสาเหตุที่อ่อนแรงลงนั้นไม่มีผู้ใดทราบ
ใต้หล้าภูมิมืดมิดใหญ่เกินไป
นับแต่สมัยโบราณกาล ดินแดนปรภพแสนยิ่งใหญ่อันเปรียบดั่งผู้พิพากษาแห่งใต้หล้ายังไม่อาจวัดขนาดของภูมิมืดมิดได้
“ยังดี หนนี้เจ้านั่นกลับมาแล้ว ไม่ฉะนั้น ไม่เพียงแต่เมืองใต้เท้าเรา เมื่อยมบาลออกสู่โลก ไม่รู้ว่าจะเกิดมรสุมสะท้านปฐพีปานใด”
ชายวัยกลางคนรำพันกับตัวเอง
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ อาเฉิงหวั่นใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ เขารู้สึกหนาววาบไปทั้งหลัง “ท่านอาจารน์ ภัยพับัตินี้น่ากลัวถึงเพียงนั้นเลยหรือ?”
ชายในชุดผ้าเก่าตอบอืม “วางใจเถิด มีเจ้านั่นอยู่ เคราะห์ร้ายทั้งปวงไม่เกิดซ้ำแน่นอน”
เหตุนี้เป็น ‘มหาภัยพิบัติสะท้านฟ้า’ ที่วางแผนมานานแล้วจริง ๆ
ยิ่งใหญ่ขนาดที่กระทบถึงรูปแบบของใต้หล้าภูมิมืดมิดอันมั่นคง
กระนั้น ชายในชุดผ้าเก่ารู้ดีกว่านั้น เมื่อนักดาบผู้นั้นหวนกลับมา มหาภัยพิบัตินี้ย่อมถูกสกัดก่อนเกิดเป็นแน่!
…
เมืองมรณะ
บนทุ่งแห้งเหี่ยวแห่งหนึ่ง หมอกควันสีเงินอ่อนอบอวลอยู่ในอากาศ
ท้องฟ้ามืดครึ้ม ดวงดาราสีแดงสดประดับประดาอยู่บนราตรี คล้ายดวงตาสีเลือดโหดเหี้ยมของปีศาจร้าย
พสุธาแห่งนี้ปราศจากต้นหญ้าขจี ซากศพที่ถูกทอดทิ้งเกลื่อนกลาด
ซูอี้มือไพล่หลัง ก้าวเดินไปข้างหน้าตามลำพัง
ดูเหมือนเดินทอดน่องไปเรื่อยเปื่อย แท้จริงแล้วทุกก้าวที่ย่างออกไปห่างกันร้อยจั้ง ความเร็วของเขาสูงมาก
บางครั้ง เขาก็แหงนมองดวงดาราสีเลือดบนนภา
ทว่าส่วนใหญ่ เขาเร่งเดินทาง
ที่นี่คือทุ่งร้างดาราเลือด ซึ่งเป็นหนึ่งในร้อยพื้นที่ต้องห้ามแสนอันตรายภายในเมืองมรณะ บนท้องนภา ดาวปีศาจเก้าดวงลอยสูง ใต้พสุธา ซากศพฝังลึกลงไปสามร้อยฉื่อ
หากให้พูดถึงความอันตราย ย่อมเทียบไม่ได้กับพื้นที่ต้องห้ามอย่างเทือกเขาสวรรค์พิบัติร้าย หรือนภาโกลาหล
ทว่า หากอยู่ในที่แห่งนี้นานเข้า จะพบกับความยุ่งยากที่แม้แต่ตัวตนขอบเขตจักรพรรดิยังต้องหวั่นใจ
ซูอี้ตั้งใจเดินทางไปยัง ‘เมืองเสี่ยวหมิง’ ก่อน ไปพบเถาวัลย์ปีศาจประสานฟ้าต้นนั้น เพื่อให้ได้ทราบสถานการณ์ภายในเมืองมรณะ แล้วค่อยไปช่วยเย่อวี๋ที่เมืองมืด
‘ทะลุผ่านทุ่งร้างดาราเลือดแห่งนี้ไป จากนั้นอ้อมทาง ‘ผาตรอมจิต’ แล้วข้ามมหานทีกระดูกขาว ก็จะถึงเมืองเสี่ยวหมิง’
ซูอี้ครุ่นคิดกับตัวเอง
เมืองเสี่ยวหมิงเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในพื้นที่ต้องห้ามที่อันตรายที่สุดในเมืองมรณะ
พื้นที่แห่งนั้นเป็นเมืองใหญ่โบราณที่อยู่มาตั้งแต่บรรพกาล สิ่งที่พำนักอยู่ในเมืองล้วนแต่เป็นวิญญาณร้าย
เมื่อชาติก่อน ซูอี้เคยให้ความช่วยเหลือปีศาจเถาวัลย์ตนหนึ่ง เขาบุกเข้าไปในเมืองเสี่ยวหมิง บั่นศีรษะวิญญาณร้ายขั้นจักรพรรดิถึงสามสิบสามหัว และยึดสถานที่สำคัญของเมืองเสี่ยวหมิงอย่าง ‘หอทัศนาสวรรค์’ ได้ในคราเดียว!
เถาวัลย์ต้นนั้น คือเถาวัลย์ปีศาจประสานฟ้า
หืม?
ขณะที่เดินทางอยู่ ซูอี้พลันสัมผัสถึงคลื่นพลังการต่อสู้ เสียงคำรามและเสียงดาบกู่ร้องดังจากระยะไกลเป็นระลอก
“ดูท่า มีคนโดน ‘หนอนไชศพ’ พันธนาการไว้เสียแล้ว”
ซูอี้พึมพำ
ในทุ่งร้างดาราเลือด สิ่งที่อันตรายที่สุดคือดาวปีศาจเก้าดวงบนนภา
นอกจากดาวปีศาจทั้งเก้าดวงนั้นแล้ว ในทุ่งร้างแห่งนี้ยังมี ‘หนอนไชศพ’ กระจายอยู่เต็มไปหมด ปกติแล้วพวกมันพรางตนอยู่ในกองศพใต้ดินหนาสามร้อยฉื่อ และดำรงชีวิตโดยดูดกลืนหลอมละลายเนื้อเปื่อยบนซากศพ
หากมีบางสิ่งทำให้พวกมันตื่นตัว บรรดาหนอนดุร้ายพวกนี้จักออกล่าเป็นกลุ่มโดยมีราชันย์หนอนไชศพเป็นแกนนำ อย่าว่าแต่ผู้ฝึกตนทั่วไปเลย กระทั่งตัวตนขอบเขตจักรพรรดิยังโดนหนอนพวกนี้พันธนาการก็ยังรอดได้ยาก
เช่นเดียวกับซากศพคณานับที่ถูกฝังอยู่ใต้ดินทุ่งร้างดาราเลือด คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ฝึกตนในอดีตที่จบชีวิตด้วยหนอนไชศพ
ซ้ำยังมีตัวตนขอบเขตจักรพรรดิอยู่ไม่น้อย!
ที่ซูอี้ต้องการออกจากพื้นที่ต้องห้ามแห่งนี้โดยเร็วก็เพราะไม่อยากโดนหนอนดุดันไม่กลัวตายพวกนั้นหมายหัว
ไม่ใช่ว่ากลัว แต่รำคาญ
ซูอี้คิดระหว่างเดินทางต่อ
เขาหาใช่คนใจไม้ไส้ระกำ เห็นคนตายต่อหน้าไม่ยื่นมือช่วยเหลือ
ทว่าผู้ที่เข้ามาในเมืองมรณะคราวนี้ นอกจากเขาแล้วล้วนเป็นตัวตนขอบเขตจักรพรรดิทั้งสิ้น
ขอเพียงรับมือได้เหมาะเจาะ ย่อมคลี่คลายภยันตรายนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องยากอันใด
ทว่า ผ่านไปเพียงครู่เดียว ซูอี้ก็ชะงักฝีเท้า จากนั้นเขาก็แหงนหน้ามองท้องฟ้า
บนนั้นมีดวงดาราสีเลือดน่ากลัวลอยอยู่เก้าดวง ทว่าเวลานี้ หนึ่งในนั้นมีเงาสีเลือดเงาหนึ่งกระโจนออกมา ดูคล้ายแสงโลหิตบาดตา พุ่งออกไปยังทิศทางที่อยู่ไกลออกไป
“ผีฟ้าสกัดดาราก็ออกโรงด้วยหรือ?”
ซูอี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ในทุ่งร้างดาราเลือดแห่งนี้ ดาวปีศาจสีเลือดเก้าดวงที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า
ทุกดวงต่างหลอมรวมจากพลังหยินชั่วร้ายซึ่งสั่งสมมาแต่โบราณกาล
พวกมันเปรียบเสมือนหลุมรัง กลายเป็นที่พำนักของวิญญาณชั่วร้ายสุดสยองขวัญอย่าง ‘ผีฟ้าสกัดดารา’!
โดยปกติ ขอเพียงไม่สร้างความวุ่นวายใหญ่โตในทุ่งร้างดาราเลือด น้อยนักที่เรื่องจะไปถึงวิญญาณชั่วร้ายอย่างผีฟ้าสกัดดารา
“ไม่รู้ว่าผีฟ้าสกัดดาราตนนี้หลอมรวม ‘ลูกแก้ววิญญาณเลือด’ ออกมาได้หรือยัง…”
ซูอี้นึกอยากได้ขึ้นมานิดหน่อย
ลูกแก้ววิญญาณเลือดเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ขอบเขตจักรพรรดิชนิดหนึ่งที่หาได้ยากยิ่ง ตัวลูกแก้วเจือพลังกฎเกณฑ์ของ ‘มหาวิถีชั่วร้าย’ อยู่
ถ้าจักรพรรดิขอบเขตรู้แจ้งลึกล้ำได้มาซึ่งลูกแก้ววิญญาณเลือด ขณะขัดเกลาตนเอง ย่อมเกิดประโยชน์อัศจรรย์ที่ไม่อาจคาดคิดแน่นอน
“เอาเถิด ไปดูสักคราวแล้วกัน”
ซูอี้เปลี่ยนทิศ และมุ่งหน้าไปทางที่มีเสียงต่อสู้ลอยมาอย่างฉับไว
เขาสังเกตเห็นตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ว่าผีฟ้าสกัดดารามุ่งหน้าไปทางเจ้าคนโชคร้ายที่โดนหนอนไชศพล้อมพันธนาการ
ครู่ต่อมา
และได้เห็นท่ามกลางฟ้าดินมืดมัว ปราณดาบสีม่วงเจิดจ้าสลับทับซ้อน ร่างอรชรซึ่งมีลมปราณขอบเขตจักรพรรดิแผ่ซ่านอยู่รอบตัวกวัดแกว่งดาบเข่นฆ่าศัตรู
คู่ต่อสู้ของนางคือหนอนไชศพท่วมท้นปฐพี ซึ่งเรียงรายลานตา
หนอนเหล่านี้มีขนาดเท่ากำปั้น เขี้ยวยาวหน้าตาดุร้าย ตัวแดงเถือก มีปีกคมดั่งปลายมีด รวดเร็วดุจสายฟ้า คล้ายว่าเคลื่อนที่ได้ในชั่วพริบตา
ต่อให้หญิงสาวเข่นฆ่าด้วยกำลังทั้งหมดที่มี ฟาดฟันจนซากศพหนอนไชศพร่วงหล่นลงมาดั่งสายฝน แต่หนอนพวกนี้มีจำนวนมากเกินไป ประดุจสายเลือดหลั่งริน มันถาโถมเข้ามาจากทั่วสารทิศไม่หยุดหย่อน
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือ…
ชายในชุดสีเลือด ผิวขาวซีดสกัดหญิงสาวไว้ได้
ชายผู้นี้มีรูปร่างสูงยาว ทั่วร่างปรากฏพลังชั่วร้ายล้นฟ้า ทุกอากัปกิริยาล้วนแผ่พลังที่น่ากลัวยิ่งกว่าขอบเขตจักรพรรดิออกมา
เมื่อเขาลงมือ ประกายโลหิตได้กลายเป็นดวงดารากระจายทั่วนภา กลิ่นอายพลังทำลายล้างสยดสยองไร้ที่สิ้นสุด สกัดการโจมตีของหญิงสาวได้อย่างสิ้นเชิง
“นางนี่เอง…”
ซูอี้มองปราดเดียวก็จำได้ว่าเจ้าคนโชคร้ายที่ถูกพันธนาการคือใคร
หยวนหลินหนิง นักบวชลำดับสามแห่งโถงหลงลืม!
เทียบกับครานั้น หยวนหลินหนิงในตอนนี้ฝึกฝนขัดเกลาจนได้กฎแห่งวิถีลึกล้ำอย่างสมบูรณ์ของตนเอง จึงมีพลังพุ่งพรวด
ทว่า หยวนหลินหนิงในตอนนี้อยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายยิ่ง
ชายชุดสีเลือดที่แปลงกายจากผีฟ้าสกัดดาราไม่ได้อ่อนแอไปกว่านาง
ผนวกกับการรุมล้อมโจมตีจากหนอนไชศพทั่วทุกทิศ ส่งผลให้นางตกอยู่ในสภาพจนตรอก
เห็นดังนั้น ซูอี้ก็ทนดูไม่ไหวอีกต่อไป เขาถอนหายใจแผ่วเบาพลางเอ่ย “เจ้านี่โง่จริง ๆ รู้ทั้งรู้ว่าคู่ต่อสู้แปลงจากภูตผีชั่วร้าย ไยไม่ใช้ ‘คาถาลำแสงขจัดฝันร้าย’ ซึ่งบันทึกอยู่ในม้วนที่สามของ ‘คัมภีร์ฝันร้ายสลักจิต’ อันเป็นมรดกทางเต๋าสูงสุดของโถงหลงลืมเล่า”
ในสมรภูมิ หยวนหลินหนิงผู้อยู่ในอารามร้อนรนระคนสิ้นหวังผงะ มีคนมารึ
ซ้ำยัง… ด่าตัวเองโง่!?
ในใจของหยวนหลินหนิงทั้งอายทั้งโกรธ
แต่เวลานี้นางอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย ไม่อาจมีความคิดอื่น จึงทำตามวาจานั้นโดยสัญชาตญาณ และรีดเร้นดาบเต๋าไปพลาง ใช้วิชาลับไปพลาง
ตู้ม!
ประกายแสงสีเขียวงดงามพวยพุ่ง กลายเป็นลำแสงสีเขียวท่วมฟ้า ราวกับอยู่ในห้วงแห่งความฝัน ปฐพีสว่างไสว
ทันใดนั้น ร่างของผีฟ้าสกัดดาราพลันแข็งทื่อ คล้ายแมลงที่ติดกับใยแมงมุม มีทีท่าเชื่องข้า
หยวนหลินหนิงยินดีปรีดาขึ้นมา ได้ผลจริงหรือนี่!!
คาถาลำแสงขจัดฝันร้ายเน้นทำลายจิตวิญญาณ หาใช่เคล็ดวิชาลับที่เก่งกาจ ระหว่างการต่อสู้กับตัวตนขอบเขตจักรพรรดิ จึงไม่อาจส่งผลกระทบต่อจิตใจของคู่ต่อสู้ด้วยซ้ำ
เป็นเหตุผลที่ทำไมในการต่อสู้เมื่อครู่ หยวนหลินหนิงจึงไม่เคยใช้วิชานี้
แต่ใครเล่าจะคิด เคล็ดวิชาลับเช่นนี้จะแสดงแสนยานุภาพน่าเหลือเชื่อออกมาได้ในยามนี้!
แม้ในใจจะรู้สึกยินดี กระนั้นหยวนหลินหนิงก็ไม่รอช้า นางตั้งใจฉวยโอกาสนี้ ปลิดชีพผีฟ้าสกัดดารา
แต่ขณะนั้น เสียงถอนหายใจดังขึ้นอีกครั้ง
“โง่จริง! ด้วยพลังวิถีของเจ้า ไม่สามารถฆ่าผีฟ้าสกัดดาราในประเดี๋ยวประด๋าว ไยไม่ใช้โอกาสนี้สังหารราชันย์หนอนไชศพก่อน เพื่อช่วยให้ตัวเองพ้นภัย”